28 มี.ค. 2020 เวลา 03:32 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 5
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
ความเดิมตอนที่แล้ว
แมนพาพวกไปที่ไร่สอนดอยกาแฟเพื่อข่มขู่ให้สอนขายไร่กาแฟ แต่ถูกซ้อนกลและเป็นฝ่ายตกในวงล้อมแทน แมนท้าใจดี ชนแดนดวลมีดสั้น ใครโดน 3 แผลก่อนแพ้ แต่ปรากฏผลเสมอกัน แมนกับพวกจึงยอมถอย ส่วนใจดีแผลโดนกรีดลึกต้องเย็บ สอนเลยรีบพาไปโรงพยาบาลบอกดิก ที่นั่นใจดีได้พบกับเนิ้ต พยาบาลวิชาชีพที่เป็นเพื่อนเล่นสมัยมัธยม และใจดีคือรักแรกรักเดียวของเนิ้ต ทำให้หมอเวทย์ที่แอบรักเนิ้ตต้องปวดใจ ใบตองน้องสาวของใจดีมารอใจดีที่โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อพบว่าไม่เป็นอะไรจึงแยกไปทำธุระต่อ
ที่วัดบอกดิก เต้ เบียร์วุ้นเกือบวางมวยกับอ๊อด พากินคนของนายหัวเฉื่อยเรื่องแย่งกันเป็นประธานงานฝังลูกนิมิต แต่หลวงลุงทับตัดสินให้ผู้ใหญ่ข้าวเป็นประธานฝ่ายฆราวาสแทน ยังความไม่พอใจให้แก่นายหัวเฉื่อยเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน
"บางบอกดิก" ได้ ณ บัดนี้....
บางบอกดิก ตอนที่ 5
ที่วัดบอกดิก
หลังจากกลุ่มนายหัวเฉื่อย และกลุ่มของเต้ เบียร์วุ้นจากไปแล้ว หมวดชอและจ่าเปื่อยก็กราบลาหลวงลุงทับกลับไปก่อน ในขณะที่ปิ้ก, ปาม แว่น และเสก ขอลาเพื่อจะไปทำธุระในตัวเมือง ส่วนผู้ใหญ่ข้าว กู๊ด และมหาอิ่ม ยังนั่งล้อมวงคุยกันอยู่ในโบสถ์ โดยหลวงลุงทับได้ปลีกตัวไปสอนสามเณรน้อยในวัด
เสก ก้าวเล็ก เดินออกมาพร้อมกับปิ้ก ปาม และแว่น เลี้ยงยาย
ปิ้กแย้มยิ้มระหว่างเดินและเอ่ยขึ้น
“นี่คือพี่แว่น เป็นรุ่นพี่ของปิ้กเองค่ะ...นี่คุณเสก ก้าวเล็ก มาจากบางกอกนะพี่แว่น”
แว่น เลี้ยงยาย
แว่นยกมือสวัสดีเสกด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม ในขณะที่เสกแทบจะรับไหว้ไม่ทัน
“โธ่...ไม่ต้องไหว้ผมก็ได้นะครับน้องแว่น” เสกรู้สึกเขิน ได้แต่ยิ้มแหะ ๆ
“คุณเสกเป็นเพื่อนกับผู้ใหญ่ข้าว ก็เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ล่ะครับ” แว่นตอบ
“เอ่อ...แบบนี้ผมจะดูแก่ไปเลยน่ะสิ เอางี้แล้วกัน...เรียกพี่เสกดีกว่านะ กันเองดี”
“ครับ” แว่นยังคงความสุภาพอ่อนน้อมเช่นเดิม “งั้นผมขออนุญาตเรียกว่าพี่เสกตามนั้นครับ”
แต่ในใจแว่นกำลังครุ่นคิด นี่เป็นโอกาสเหมาะสมที่จะตีสนิทเพื่อล้วงความลับจากเสกเป็นใครกันแน่
“พี่เสก มาบ้านป่าแดนไกลอย่างบ้านบางบอกดิกทำไมเหรอครับ”
“พี่เดินทางไปเรื่อย ๆ ครับ พี่ดั้นด้นไปเรื่อย ๆ จนมาถึงที่นี่เพื่อเหตุผลบางอย่างครับ”
แว่นทวนคำในใจ “เหตุผลบางอย่าง....” จึงกระตุ้นถามต่อ “เหตุผลอะไรเหรอครับ”
เสกมองไปไกลสุดตา ที่เขาเห็นคือทุ่งนาสีเขียวสดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าวัด และไม่พูดอะไรต่อ
เสก ก้าวเล็ก
แว่นทำท่าจะถามต่อ แต่ปิ้กรีบกระตุกแขนเสื้อของแว่น พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม
เสียงของปามดังขึ้นทำลายจังหวะนั้น
“ตายจริง...”
ทุกคนหันมามองหน้าปามด้วยความตกใจ
ปามเห็นสายตาทุกคนแล้วมองมาที่ตนเอง ต้องยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะตอบว่า
“ปามเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนเย็นต้องไปจ่ายตลาดกับแม่ฉัตรน่ะพี่ปิ้ก ปามคงไปด้วยไม่ได้แล้ว”
ปาม
ปิ้กยิ้มให้น้องสาวพลางบีบจมูกปามเบา ๆ
“น้องสาวชั้น ยังไม่ทันแก่เลย ขี้ลืมเสียแล้ว”
ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ในขณะที่ปามรู้สึกเขินอายม้วนที่โดนพี่สาวตนเองแซว
“ก็พอรู้ว่าจะเข้าไปที่ตัวเมือง ก็อยากไปนี่ ปามจะได้เข้าไปดูที่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ที่ร้านพี่เจี๊ยบน่ะ เลยลืมเรื่องนัดกับแม่ไปเลย”
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะ จะไปกับพวกพี่ หรือ จะไปกับแม่?”
“งั้นพวกพี่ปิ้กไปเถอะ ปามนัดแม่ฉัตรไว้แล้ว ไม่อยากให้แม่งอนปาม”
“นี่ล่ะน้า...ลูกสาวคนโปรดของแม่”
“โธ่...พี่ปิ้กก็ลูกสาวคนโปรดของพ่อข้าวเหมือนกันนะ”
ปิ้ก
พี่น้องสองสาวหัวเราะกันขึ้นด้วยความผูกพัน ปามจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่โบสถ์ ปิ้กมองน้องสาวเดินดุ่ม ๆ ไปด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของพี่สาวคนหนึ่งที่จะห่วงน้องยิ่งกว่าตนเอง ปิ้กยิ้มและเมื่อหันกลับมาเธอก็เห็นชายหนุ่มสองรุ่นกำลังคุยกันอย่างถูกคอ
คนขับสามล้อ
ระหว่างนั้นเอง คนขับสามล้อสองคันก็ถีบรถมาถึงตรงหน้าวัดที่ทั้งสามยืนอยู่พอดี ปิ้กขึ้นไปนั่งที่สามล้อคันหน้า และเสกกับแว่นนั่งบนสามล้อคันหลัง
เสกนั้นเป็นคนกันเอง ติดดินที่พร้อมจะมอบมิตรภาพให้แก่ทุกคนที่ได้พบ แต่กลับกันกับแว่นที่พยายามทำตามคำสั่งของพ่อเลี้ยงที่ต้องสืบหาความลับให้ได้ว่าเสก ก้าวเล็กคือคนของทางการหรือไม่ แม้ในใจลึก ๆ ของแว่นจะรู้สึกขัดแย้งและไม่ได้ยินยอมกับการกระทำแบบนี้ก็ตาม
สิ่งที่แว่นคิดในใจคือพยายามพ่วงไปกับเสกในแทบทุกที่ คงจะมีความลับหลุดออกมาที่ใดที่หนึ่ง
....
ในโบสถ์ขณะนี้เหลือเพียง มหาอิ่ม ผู้ใหญ่ข้าว และแม่ฉัตร ที่ยังนั่งล้อมวงกันหน้าองค์พระประธาน
มหาอิ่ม
“ข้าล่ะสะใจเลยว่ะ ตอนที่หลวงลุงตัดสินใจให้เอ็งเป็นประธานฝ่ายฆราวาส เอ็งเห็นหน้าของนายหัวเฉื่อยกับไอ้เต้ไหมวะ”
มหาอิ่มเอ่ยขึ้นพลางเอาผ้าขาวม้าที่พาดบ่ามาเช็ดหน้าเช็ดตา
“ไม่ทันสังเกตหรอกพี่อิ่ม ทำไมเหรอ?” ผู้ใหญ่ข้าวย้อนถาม
“อ้าว...ก็หน้าเสียไง มันถึงได้ลุกออกไปกันหมดเลยไง” พูดจบมหาอิ่มก็หัวเราะเสียงลั่นโบสถ์ จนแม่ฉัตรต้องจุ๊ ๆ ปาก
“พี่อิ่ม นี่ในโบสถ์วัดนะ”
“ตายจริง ลืมไปเลย โทษที โทษที” มหาอิ่มยิ้มหน้าแหย ๆ ก่อนจะมองหน้าแม่ฉัตร
“เออ..ไอ้ปามมันยิ่งโตยิ่งเหมือนแม่ฉัตรนะ”
“อ้าว...ก็ปามมันลูกสาวชั้นนี่พี่อิ่ม เหมือนชั้นน่ะดีแล้ว อย่าเหมือนพี่ข้าวเลย...” แม่ฉัตรเอ่ยถึงตอนนี้หันไปชำเลืองมองสามีของตัวเองด้วยความรักก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวมันจะไม่สวย”
“ถึงหน้าตาไม่ดี แต่มีดีที่เมียสวยนะเธอ” ผู้ใหญ่ข้าวตอบขึ้น พลางส่งสายตาหวานฉ่ำให้แม่ฉัตร
“เซี้ยวจริง พี่ข้าวเนี่ย...” แม่ฉัตรหน้าแดงพร้อมกับตีแขนผู้ใหญ่ข้าวเบา ๆ
ผู้ใหญ่ข้าว กับ แม่ฉัตร
มหาอิ่มมองดูคู่สามีภรรยาหยอกล้อกันอย่างน่าเอ็นดู พลางถอนหายใจ
“เฮ้อ...สงสารก็แต่ไอ้ปิ้กมันนะ...”
ขณะนั้นเองปามเดินมาถึงหน้าโบสถ์ทันพอจะได้ยินสิ่งที่มหาอิ่มกำลังจะพูดต่อ
“ถ้าพ่อกับแม่มันยังอยู่นะ คงดีใจเห็นลูกสาวโตขึ้นแล้วสวยขนาดนี้”
ปามตกใจจนใจสะท้าน เธอแอบหลบอยู่นอกโบสถ์ด้วยความรู้สึกสับสน
“พี่อิ่มจะพูดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย...เรื่องมันผ่านมายี่สิบปีแล้วนะ ทุกวันนี้ปิ้กก็เป็นลูกสาวคนโตของฉันนะพี่อิ่ม”
ผู้ใหญ่ข้าวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดพอ ๆ กับหน้าตาที่เครียดลง สีหน้าของแม่ฉัตรก็ไม่ต่างกัน
แม่ฉัตรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความเศร้า
“ปิ้กมันเป็นลูกสาวชั้นนะพี่อิ่ม ฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นลูกของ....”
ผู้ใหญ่ข้าวจับมือของภรรยาเบา ๆ
“เราสัญญากันไว้จะไม่พูดเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอแม่ฉัตร”
“จ้ะพี่ข้าว” แม่ฉัตรก้มหน้าแล้วถอนหายใจไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ก็ข้ายังทำใจไม่ได้นี่หว่า เอ็งก็รู้ว่าพ่อของมันเป็น...”
“พี่อิ่ม!!” ผู้ใหญ่ข้าวตวาดเสียงแข็ง จนมหาอิ่มสะดุ้ง
ถ้าใครได้เห็นหน้าผู้ใหญ่ข้าวเวลานี้ จะได้เห็นใบหน้าที่ไม่มีใครเคยเห็น ไม่ใช่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทีดูตลก ๆ แบบที่ชาวบ้านคุ้นชิน
“ข้าขอโทษว่ะไอ้ข้าว” มหาอิ่มหยุดพูดต่อ
แต่ที่นอกโบสถ์ ปามได้ยินสิ่งที่ทั้งสามคนสนทนากันทั้งหมด ปามได้แต่สับสน น้ำตาเธอหยดลงบนหลังมือโดยไม่รู้ตัว ในสมองมีนงง สับสน ภาพในอดีตเท่าที่เธอจำความได้ค่อย ๆ ปรากฏอย่างชัดเจนเสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ปาม
วันที่เธอยังเป็นเด็กน้อยวิ่งตามพี่สาวของตัวเอง แล้วล้มคะมำ เธอนั่งร้องไห้ตรงนั้นเพราะหัวเข่าถลอกเป็นแผลจนเดินไม่ได้ แต่พี่ปิ้กรีบวิ่งกลับมา แล้วให้ปามขี่หลังเดินตัดทุ่งนากลับบ้าน แล้วเย็นนั้นพี่ปิ้กถูกแม่ฉัตรดุที่พาน้องไปวิ่งเล่นจนได้แผล
สำหรับปามตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ พี่ปิ้กก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของเธอ แต่แล้วความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้แต่เธอกลับได้ยิน
“เป็นไปไม่ได้...พี่ปิ้กต้องเป็นพี่สาวเราสิ....ทำไมแม่ฉัตรถึงปิดบัง....แล้วใครคือพ่อแม่พี่ปิ้ก...”
หลายต่อหลายคำถามผุดขึ้นในใจและในความคิดของปาม แต่เหมือนตื่นจากภวังค์ เมื่อปามได้ยินเสียงของผู้ใหญ่ข้าวจากในโบสถ์
“ชั้นว่าเรากลับกันเถอะแม่ฉัตร”
ผู้ใหญ่ข้าวประคองภรรยาตัวเองลุกขึ้น ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป ก็หันกลับมาที่มหาอิ่มและเอ่ยเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงที่น่ายำเกรง
“ลืมมันไปเสียพี่อิ่ม ถึงลืมไม่ได้ พี่ก็ต้องลืมให้ได้ เข้าใจใช่ไหม?”
ผู้ใหญ่ข้าวใช้สายตาจ้องมองลึกเข้าไปในตาของมหาอิ่ม มหาอิ่มมองสายตาของผู้ใหญ่ข้าวแล้วรู้สึกเหน็บหนาวจนต้องพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว ข้าขอโทษ”
ผู้ใหญ่ข้าวไม่ได้ฟังคำตอบของมหาอิ่ม ก็เดินจูงมือแม่ฉัตร พอดีกับที่ปามได้ยิน และรีบวิ่งไปตั้งหลักแต่ไกลจากตัวโบสถ์
ในใจปามคิดว่าเธอต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ และจะต้องค้นหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้
ผู้ใหญ่ข้าวกับแม่ฉัตรเดินออกมานอกโบสถ์มองไปเห็นลูกสาวคนเล็กกำลังเดินมาที่โบสถ์ สีหน้าของผู้ใหญ่ข้าวกลับเป็นพ่อผู้แสนตลก และเป็นมิตรกับทุกคนอีกครั้ง
แม่ฉัตรเอ่ยถามลูกสาวด้วยความงุนงง
“อ้าว ไหนว่าจะเข้าไปตัวเมืองกับพี่ปิ้กนี่ ทำไมย้อนกลับมาล่ะ”
“ก็ปามนึกขึ้นได้ว่านัดกับแม่ไว้ว่าจะไปจ่ายตลาดด้วยกันนี่จ้ะ”
ปามพยายามกลบเกลื่อนและแสดงท่าทีให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
สามคนพ่อแม่ลูกหัวเราะให้กันอย่างมีความสุขก่อนจะเดินไปพร้อม ๆ กัน
วัดบอกดิก
ทั้งหมดอยู่ในสายตาของชายคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ในเงามืดครึ้มใต้ต้นไม้ ชายคนนั้นใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นจ้องมองไปที่ทั้งสามเนิ่นนาน กระทั่งมหาอิ่มเดินพ้นออกมาจากประตูโบสถ์ ชายคนนั้นคล้ายรู้สึกตัว และรีบสาวเท้าถอยหลังก่อนจะค่อย ๆ ห่างออกไป และกลืนหายไปจากเงาในแนวต้นไม้นั้น
โรงพยาบาลบอกดิก
หมอเวทย์ที่ให้คำแนะนำเรื่องยาเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัด ระหว่างทางเดิน หมอเวทย์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู จะบ่ายแล้วเหรอ หมอเวทย์คิดในใจเลยตัดสินใจเดินเลี้ยวไปที่ร้านอาหารข้างโรงพยาบาล ร้านเจเจ๊มีตามสั่ง
เจเจ๊มีตามสั่ง
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้าน หมอเวทย์ก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังผลักเขาตกลงไปในเหวลึก มันเป็นการก้าวพลาดอย่างที่สุด เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือ เนิ้ตกับใจดีกำลังทานข้าวกันอย่างมีความสุข
หมอเวทย์ปวดแปลบในใจอีกครั้ง เขาเตรียมถอยหลังออกไปจากร้าน แต่ช้าไปเสียแล้ว เจเจ๊เอ่ยถามขึ้น
“อ้าวคุณหมอเวทย์ รับอะไรดีคะ บ่ายแล้วนะ”
เสียงดังของเจเจ๊ มันดังพอจะทำให้เนิ้ตหันมาตามเสียงและทันเห็นหมอเวทย์ที่กำลังยืนอยู่หน้าร้านพอดี
เนิ้ตลุกขึ้น โบกมือให้หมอเวทย์ และทำมือเป็นเชิงให้มานั่งด้วยกัน
หมอเวทย์
หมอเวทย์กระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมาก เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะที่เนิ้ตและใจดีนั่งอยู่ พลางได้แต่ตำหนิตัวเองในใจ
หมอเวทย์หยุดยืนหน้าโต๊ะ เขาลังเล เพราะไม่แน่ใจควรจะนั่งฝั่งไหน ทางซ้ายมือข้าง ๆ เนิ้ต หรือ ทางขวามือที่ชายแปลกหน้าคนนี้กำลังนั่งอยู่
เนิ้ตดึงข้อมือซ้ายของหมอเวทย์ พลางขยับตัวเลื่อนเข้าไปนั่งข้างในเพื่อให้หมอเวทย์นั่งลงข้าง ๆ เธอ หมอเวทย์จึงตัดสินใจนั่งลงโดยแทบไม่ต้องคิด
อากัปกริยาที่เนิ้ตทำมันมากพอจะทำให้ใจดีรู้สึกชะงักไปชั่วขณะ ผู้ชายสวมแว่น ท่าทางดูเงียบขรึม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา สวมแว่นสายตา แบบเดียวกับภาพของหมอที่ทุกคนคุ้นชิน
หมอเวทย์นั่งลงตรงข้ามกับใจดี และใช้เวลาชั่วครู่สังเกต ผู้ชายตรงหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วแขน ใบหน้ามีปล่อยหนวดเคราขึ้น ดูแล้วคงไม่ได้โกนมาสามถึงสี่วัน เสื้อที่ใส่ปลดกระดุมสองเม็ดบนออก บนคอห้อยพระขุนแผนเลี่ยมทองไว้ ดูก็รู้ว่านี่คือภาพของนักเลงผู้นิยมตีรันฟันแทงชัด ๆ
หมอเวท์ - ใจดี
ชายหนุ่มทั้งสองสบสายตากัน ต่างฝ่ายก็ไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย
แต่เหมือนเนิ้ตจะไม่รู้อะไรเลย เธอจึงเอ่ยแนะนำ
“คุณหมอคะ นี่พี่ใจดีค่ะ....พี่ใจดี นี่คือหมอเวทย์ หมอมือหนึ่งประจำโรงพยาบาลเราค่ะ”
แทบจะพร้อมกันที่ชายทั้งสองเอ่ยขึ้น “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คำพูดตามมารยาทแค่นั้นจริง ๆ
“สั่งหรือยังคะพี่หมอ?” เนิ้ตเอ่ยถามขึ้น
เนิ้ต
“ยังจ้ะ” หมอเวทย์ตอบพร้อมกับหันเหสายตามาที่เนิ้ต “อะไรก็ได้น่ะแหละ”
“เหมือนเดิมอีกล่ะสิ ข้าวกะเพราะหมูสับไข่ดาว สุกปานกลาง ช่วยซับน้ำมันออกให้ด้วย” เนิ้ตตอบคำถามตัวเองโดยที่หมอเวทย์ยังไม่ทันจะเอ่ยตอบ
“เนิ้ตนี่รู้ใจพี่นะ” หมอเวทย์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ชำเลืองมองไปทางใจดี
ใจดีเริ่มหน้าตึง เขาแปลกใจที่เห็นเนิ้ตสนิทสนมกับหมอเวทย์ พอ ๆ กับที่รู้ดีว่าหมอเวทย์ชอบทานอะไร
เนิ้ตลุกขึ้นไปสั่งเมนูโปรดของหมอเวทย์กับเจเจ๊มีตามสั่ง เนิ้ตและตะโกนกลับมา
“บ่ายกว่าแล้ว เนิ้ตต้องเข้าเวรแล้วล่ะ...”
ใจดี ชนแดน
สายตาของใจดีปะทะกับหมอเวทย์อีกครั้ง ก่อนที่ใจดีจะเป็นฝ่ายลุกขึ้น เขาโค้มศรีษะเล็กน้อย ไม่พูดอะไรแล้วก็เดินไปจ่ายเงิน ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเนิ้ต
หมอเวทย์ใช้สายตามอง ในแววตาในจิตใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ภาพของเนิ้ตกับชายท่าทีนักเลงหัวไม้ค่อย ๆ เดินห่างออกไปจนลับตา
กะเพราตามสั่งมาวางตรงหน้าได้พักหนึ่งแล้ว แต่หมอเวทย์ไม่รู้สึกอยากจะทาน มันตั้งอยู่อย่างนั้น นานจนเย็น
.รถสามล้อสองคันแล่นมาจอดตรงหน้าท่ารถบ้านบอกดิก มันเป็นที่เดียวกับที่เสกเคยลงรถสองแถวเมื่อวันก่อน
เหมือนเสกเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาเดินไปที่ร้านเฮียหมูบางบอกดิก
“เฮียหมูครับอยู่ไหม?”
เฮียหมูเดินออกมาตามเสียงเรียก แล้วก็เห็นชายต่างถิ่นที่เมื่อวานมีเรื่องกับคนของพ่อเลี้ยงก่อนจะจากไปโดยไม่ทันได้จ่ายเงินค่านมเย็น
“อ้าว...คุณนั่นเอง”
เฮียหมูน้อย บอกดิก
“ผมว่าผมลืมจ่ายเงินเฮียนะเมื่อวานนี้ ค่านมเย็นเท่าไรครับ?”
เฮียหมูแย้มยิ้ม “คุณนี่เป็นคนจริงนะ ไม่ชักดาบด้วย แถมเมื่อวานคุณก็ยังไม่ทันได้กิน ไอ้พวกหมาบ้านั่น..” คำว่า “ไอ้พวกหมาบ้านั่น” เฮียหมูแทบจะกระซิบที่ข้างหูของเสกคล้ายกลัวใครจะได้ยิน “ก็แย่งแดกไปเสียก่อน”
เสกหัวเราะ พลางถาม “เท่าไรล่ะครับ?”
เฮียหมูโบกมือ “อั้วก็คนจริงนะ ในเมื่อคุณย้อนกลับมาจ่ายทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ดื่ม อั๊วก็คนจริงพอจะไม่เก็บ
กะไอ้แค่เครื่องดื่มแก้วเดียว ชงให้หมาแดกยังมากกว่านี้...”
เสกสะดุ้งโหยง “อ้าวเฮียหมู งั้นที่เฮียชงให้ผมก็เท่ากับผมเป็น...”
“ชิบหายเลี้ยว...โทษที ๆ “ เฮียหมูหัวเราะ “อั้วก็พูดไปเรื่อย”
แว่นที่ยืนอยู่ตรงท่ารถกับปิ้ก มองดูเสกก่อนถามขึ้น
“ปิ้ก ตกลงชายแปลกหน้าคนนี้เขาเป็นใคร ทำมาหากินอะไร ไว้ใจได้ไหม?”
แว่นถามขึ้น เพราะตลอดเส้นทางมาที่นี่ แม้จะพยายามตะล่อมถามแต่ก็ไม่ได้คำตอบจากปากเสกเลย
“ปิ้กก็ไม่รู้เหมือนกันนะพี่แว่น” ปิ้กตอบ
“อ้าว...แล้วผู้ใหญ่ข้าวแกไม่ถามไถ่รึไง?”
“พี่แว่นก็รู้จักพ่อปิ้กนี่ เป็นมิตรกับทุกคน ใครจะมาใหม่ ใครจะทำอะไร แกไปตระเวนตามบ้านพวกเขาหมดล่ะ”
ปิ้กตอบด้วยน้ำเสียงที่ภูมิใจในตัวพ่อของเธอมาก ๆ
“ไม่ได้เรื่องอีก วันนี้ท่าจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้วเรา” แว่นคิดในใจ
แว่น เลี้ยงยาย
“ปิ้กไปร้านพี่เจี๊ยบก่อนนะ” ปิ้กตัดบท
“อ้าว...ไม่รอไปพร้อมกันเหรอ” แว่นเอ่ยถาม
ปิ้กโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ได้ ไม่ได้ นี่มันร้านตัดเสื้อผู้หญิงนะพี่แว่น จะมาตามปิ้กไปได้ไง...ไปละ”
พูดจบปิ้กก็เดินจากไป
“อ้าว...แล้วน้องปิ้กไปไหนเสียแล้วล่ะแว่น” เสกที่เดินออกมาจากร้านเฮียหมูเอ่ยถาม
“ไปร้านพี่เจี๊ยบครับ”
“ร้านพี่เจี๊ยบ?” เสกทวนคำ “ร้านตัดเสื้ออะไรนั่นเหรอ?”
“ใช่ครับพี่เสก...แต่เราอย่าไปยุ่งกับเรื่องของผู้หญิงเลยครับ ผมมีที่เด็ด ๆ จะพาพี่เสกไปนะ”
“ที่ไหนเหรอ?” เสกดูจะสนใจข้อเสนอของแว่นไม่น้อย
“ไม่บอกหรอกพี่...ถ้าอยากรู้ต้องรอตอนค่ำ ผมจะพาไป รับรองพี่เสกมาถึงบบางอกดิกแน่ ๆ”
“โอเค...โอเค...” เสกหัวเราะเหมือนจะรู้เลา ๆ ว่ามันคือสถานที่ใด
....
ปิ้กเดินลัดเลาะมาตามแนวร้านตลาดเก่า ผ่านหน้าร้านเสริมสวย เพ็ญ-ภา เธออดแปลกใจที่วันนี้ร้านรูดประตูลูกรงปิดตั้งแต่บ่ายคล้อย เดินลัดเลาะไปจนสุดทางเลี้ยวซ้ายไปก็ถึงจุดหมายของเธอ
“ห้องเสื้อจริยา”
จริยาคือชื่อจริงเจ้าของร้าน แต่ใคร ๆ รู้จักและเรียกขานในชื่อ “พี่เจี๊ยบยั่วยั่ว” มากกว่า
ปิ้กผลักประตูเข้าไป เสียงกระดิ่งดังขึ้น มันถูกแขวนไว้เวลาที่คนผลักประตูเข้ามาคนในร้านจะได้รู้ ปิ้กเห็นหญิงสาววัยอ่อนกว่าแม่ฉัตรยืนอยู่หลังโต๊ะตัดเสื้อ สาวผมสั้นทาปากสีแดงสด
“สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ”
พี่เจี๊ยบ
พี่เจี๊ยบเงยหน้าขึ้นจากงานตัดเสื้อ ก่อนส่งยิ้ม แต่ที่เห็นเด่นก่อนรอยยิ้มคือริมฝีปากสีแดงสดดูยั่วยั่วของพี่เจี๊ยบ
“อ้าว ปิ้กแวะมาเอาเสื้อที่สั่งตัดเหรอ พี่ทำเสร็จแล้วใส่อยู่ในถุงโชคดีที่วางข้าง ๆ ปิ้กนั่นล่ะ”
ปิ้กกวาดตามอง เห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่ เขียนที่หน้าถุงว่า “โชคดี”
“ถุงนี้เหรอคะ?”
ถุงโชคดี
“ใช่จ้ะ...พี่ตัดชุดให้ปิ้กกับน้องเสร็จแล้ว เอาเก็บไว้ใส่ออกงานราตรีได้เลยนะ รับประกันว่าทั้งปิ้กและปามจะต้องโดดเด่นที่สุดในงานแน่นอน ขนาดส่งไปประกวดนางสาวสยามกันได้เลยนะ”
“แหม...พี่เจี๊ยบก็พูดเกินไป” ปิ้กบอกด้วยท่าทีขวยเขิน “พี่เจี๊ยบสวยกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า ผู้ชายถึงได้รุมจีบตั้งมากมาย”
“พี่ตัดใจเรื่องผู้ชายแล้วล่ะ เรื่องงานพี่ไม่เคยยอมแพ้ แต่เรื่องรักแท้พี่แพ้ทุกที”
พี่เจี๊ยบถอนหายใจ
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้น ปิ้กเหลียวกลับไปดูว่าใครเข้ามาในร้าน ก็เป็นหญิงสาวไว้ผมบ็อบสวมแว่นตา ท่าทางน่ารัก ดูใจเย็น
“นั่นไง รักแท้หนึ่งเดียวของพี่” พี่เจี๊ยบพยักเพยิดไปยังสาวที่เดินเข้ามา
“พี่สุ....ไม่เจอกันนาน สบายดีนะคะ” ปิ้กเอ่ยทักทาย
พี่สุ
“อ้าว ปิ้ก...สวัสดีจ้ะ...พี่สุเพิ่งกลับมาจากลำพูนจ้ะ เดี๋ยวเอาแคปหมูกับน้ำพริกหนุ่มไปฝากพ่อข้าวแม่ฉัตรด้วยนะ”
“ขอบคุณค่ะ ของโปรดปิ้กเลย” ปิ้กยกมือไหว้ขอบคุณ
“หิวไหมสุ แม่ทำอะไรให้ทานไหม?” พี่เจี๊ยบเอ่ยถาม
“รอมื้อเย็นเลยดีกว่าค่ะแม่ สุอยากทานข้าวพร้อมกับแม่มากกว่า” สุยิ้มพร้อมกับเข้าไปกอดแม่ของเธอ
“อยู่ทานข้าวด้วยกันไหมปิ้ก?” สุหันมาถาม
“ไม่ล่ะพี่สุ ปิ้กก็จะกลับไปทานข้าวกับพ่อข้าวแม่ฉัตร แหม...ได้ของโปรดมาแล้วนี่” ปิ้กพูดพร้อมกับยกมือชูถุงแค็ปหมูในมือขึ้นอวด
“อ้าว...แล้วตั้งหลายถุง จะถือกลับคนเดียวไหวเหรอ?” พี่เจี๊ยบถามขึ้น
ปิ้ก
“ได้สิคะ ส.บ.ม.ย.ห.”
“ให้พี่ช่วยถือไปบ้านเป็นเพื่อนไหม” สุเอ่ยถามด้วยน้ำใจ
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ ปิ้กถือได้”
“สองสาวคุยกันไปก่อนนะ แม่จะเข้าครัวก่อนนะ เดี๋ยวจะทำเมนูที่สุชอบให้ทาน”
“ขอบคุณค่ะแม่” สุยิ้ม
หลังจากที่พี่เจี๊ยบเดินหายไปด้านหลังร้านแล้วเสียงกระดิ่งเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง สองสาวเหลียวหน้าไปดู แว่น เลี้ยงยายเดินเข้ามา พร้อมกับหนุ่มต่างถิ่น...เสก ก้าวเล็ก
สุมองเลยแว่นไปที่ชายแปลกหน้า เธอรู้สึกมีความรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้
เช่นเดียวกับเสกที่เดินเข้ามาในร้าน และมองตรงไปที่หญิงสาวผมบ็อบสวมแว่นตา เขามีความรู้สึกคุ้นเคยกับเค้าหน้าของสุแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
แว่นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ปิ้ก คืนนี้พี่จะพาพี่เสกไปเปิดหูเปิดตานะ ฝากบอกผู้ใหญ่ข้าวให้ได้วย”
“ค่ะ...คงไม่ใช่ไปที่...” ปิ้กจะเอ่ยต่อแต่กระดากปากเลยไม่พูดดีกว่า
“ฝากแจ้งผู้ใหญ่ข้าวด้วยนะครับน้องปิ้ก คืนนี้ผมคงหาที่หลับนอนที่อื่น”
เสกยิ้มแห้ง ๆ เหมือนโดนรู้ทัน
“เดี๋ยวปิ้กบอกพ่อข้าวให้ค่ะ”
ว่าแล้วสองหนุ่มก็ขอตัวออกไป โดยแว่นเดินนำหน้า เสกเดินตามข้างหลัง แต่ก่อนจะออกจากประตู เสกก็หยุดเท้าและหันกลับมามองหน้าสุอีกครั้ง พลางโค้งให้ก่อนจะออกไป
สุเอ่ยถามขึ้น
“ใครเหรอ? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“อ๋อ คุณเสก ก้าวเล็ก มาจากบางกอกน่ะพี่สุ เขาเดินทางไปทั่ว เหมือนว่าจะตามหาอะไรบางอย่างนะ แต่เขาไม่ออก”
“อืมย์....ประหลาดจัง พี่รู้สึกคุ้น ๆ เค้าหน้าของเขามากเลย เหมือนเคยเจอมาก่อน แต่นึกไม่ออกเหมือนกัน”
สุขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามทบทวนความจำว่าเธอเคยเห็นหน้าเสกมาก่อนรึเปล่าถึงรู้สึกคลับคล้ายแบบนี้
“ลูกค้ามาเหรอ?” พี่เจี๊ยบเดินออกมาจากด้านหลัง
“เปล่าค่ะ แว่น เลี้ยงยาย กับคนต่างถิ่นค่ะแม่” สุตอบ
พี่เจี๊ยบพยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าครัวอีกครั้ง โดยปล่อยให้สองสาว สุ-ปิ้กคุยกันอย่างสนุกสนาน
โชโกะเลาจ์
ถ้าจะหาสถานที่คึกคักยามค่ำคืนที่สุดของบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบบ้านบางบอกดิกก็คงมีที่เดียวเท่านั้นคือ
"โชโกะเลาจ์"
ด้วยสโลแกน “สวรรค์ของคนรักสนุก”
แว่นและเสกมาหยุดยืนที่หน้าสถานที่แห่งนี้แล้ว
ชายหนุ่มทรงผมแอฟโฟร่วิ่งโร่เข้ามาหา เห็นยกมือไหว้แต่ไกล
“สวัสดีคร๊าบบบบบบบบบ” หนุ่มแอฟโฟร่เอ่ยทัก
พี่ติ สวรรค์เลาจ์
“สวัสดีครับพี่ติ วันนี้ผมพาพี่ชายจากแดนไกลบางกอกมาเที่ยวครับพี่” แว่นเอ่ยทัก
“สวัสดีคร๊าบบบบบบ กระผมติ สวรรค์เลาจ์ ยินดีต้อนรับนักเที่ยวทางไกล คนผลัดแคว้น สู่แดนสวรรค์ งั้นเชิญทางนี้เลยคร๊าบบบบบบบบ”
ติลากเสียงครับยาวเหยียดพร้อมกับผายมือ และกุลีกุจอไปเปิดประตูให้
ภายในโชโกะเลาจ์ ทำให้เสกต้องตกตะลึง และไม่คาดคิดว่า บ้านป่าไกลปืนเที่ยงแบบบ้านบางบอกดิก จะมีคอกเทลเลาจน์ที่อลังการขนาดนี้ ชนิดที่ว่าเลาจ์ในบางกอกบางแห่งก็สู้ไม่ได้เลย
ติพามาที่มุมหนึ่งของเลาจน์
“เชิญคร๊าบบบบบบบบ.....เดี๋ยวต้องการอะไรสั่งกับน้อง ๆ ได้เลย ขอตัวก่อนนะคร๊าบบบบบบ” ติโค้งให้หนึ่งครั้งก่อนแว่บหายไปในความมืด
เสกและแว่นทรุดนั่งลงบนโซฟาหนังแสนนุ่ม เสกยังเหลียวมองดูบรรยากาศภายในร้านอย่างตื่นตาตื่นใจ
ส่วนแว่นนั่งมองอากัปกริยาของเสก พร้อมกับครุ่นคิด
“บางทีมอมเหล้าเข้าปาก หรือให้เด็กพี่โชโกะสักคนตะล่อมถามอาจจะล้วงความจริงมาได้”
“อ้าว...น้องแว่น...วันนี้พ่อเลี้ยงก้อมมาด้วยไหม?”
เสียงเจื้อยแจ้วแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างอ้อนแอ้นร้อนแรงค่อย ๆ เดินผ่านความมืดตรงมาหยุดยืนเบื้องหน้าแว่นกับเสก
สำหรับแว่น อาจเป็นความคุ้นชินกับเจ้าของเสียงนี้ แต่ต่างจากเสกมองดูด้วยความตกตะลึง จนแทบจะหยุดหายใจ
เบื้องหน้าของเสกเวลานี้คือสาวใหญ่ที่เซ็กซี่และเต็มไปด้วยเสน่ห์อันร้อนแรง ที่แทบฉุดดึงผู้ชายทุกคนให้ยอมขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ได้ทั้งนั้น
เจ๊โชโกะ
แว่นเอ่ยเรียกชื่อสาวใหญ่คนนั้น
“มาดามโชโกะ!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
มาถึงตอนที่ 5 แล้ว ถ้าใครได้อ่านจนจบ ผมไม่แน่ใจว่าจะถูกใจกันหรือไม่ ที่ในตอนนี้มีการพลิกเรื่องราว และเปลี่ยนโหมดเรื่องไปแนวที่มีเงื่อนงำทิ้งปริศนาไว้หลายเรื่อง ซึ่งต้องบอกว่าผมกำลังทดลองเอาวิธีสร้างเรื่องแบบไม่อิงลำดับเวลา และทิ้งเบาะแสไว้ตลอดทาง แบบที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน ทำให้หนังของเขา ชอบหรือไม่ก็อย่าลืมบอกกัน เพราะตอนนี้กำลังพยายามเอาหลาย ๆ แนวมาผนวกกันเพื่อให้สนุก ครบรส
มีการเปลี่ยนหน้าร่างอวตารของตัวละครที่พี่ข้าวน้อยชอบมากเป็นพิเศษ
แว่น เลี้ยงยาย ที่ตอนนี้เจ้าของเพจ Just Read It แค่อ่านก็มันส์ กำลังทำตัวเป็น วาคิม ฟินิกซ์ อินจัดจนเข้าโหมดเม้นท์ถึงยายตามเพจเพื่อน ๆ ไปแล้ว ผมเลยเปลี่ยนหน้าให้แว่นเป็นหนุ่มเนิร์ดมากขึ้น ด้วยร่างอวตารของเบสท์ ณัฐสิทธิ์
เฮียหมูน้อยออมสิน ก็ปรากฏตัวอีกครั้งในบทรับเชิญ ร่างอวตารของ หมูน้อยออมสิน ที่เจ้าตัวขอจองบทนี้เลย
นักอ่านอย่าง พี่คนขับสามล้อ จะแวะเวียนมาโผล่ในนิยาย ด้วยบท “คนขับสามล้อ” ที่พี่เขาถนัดเหมือนหลับตาขี่สามล้อ
เจเจ๊มีเรื่องเล่า ปรากฎตัวรับเชิญเป็นพัก ๆ ในบท เจเจ๊มีตามสั่ง ร้านอาหารข้างโรงพยาบาลบอกดิก
เปิดตัวละครใหม่ เจ้าของร้าน “ห้องเสื้อ” จริยา ที่มีเจ้าของร้านเป็นแม่ม่ายปากแดงยั่วยั่ว พี่เจี๊ยบ จากเพจ Plan To Perfect ตัวจริงพี่เจี๊ยบยังโสดแซ่บนะครับ แต่จิตใจพี่เจี๊ยบหัวใจทองคำเลย กักตุนแอลกอฮอล์เจลไว้เพื่อบริจาค ไม่ได้เก็งกำไร แบบนี้จะไม่ให้พี่เจี๊ยบมีบทเด่น ผมคงต้องตำหนิตัวเอง สวยแซ่บแบบนี้ ร่างอวตารคือ เอ๋ พรทิพย์ จะเหมาะสมที่สุด
ตัวจริงพี่เจี๊ยบยังโสดนะครับ
พี่เจี๊ยบไม่ห้ามถ้าจะจีบ แต่จะถูกถีบถ้ามาหลอกกัน
ส่วนลูกสาวดูนุ่มนวล เรียบร้อย ใจเย็น ผมบ็อบ สวมแว่น ลุคแบบนี้ต้องเป็น น้องสุ Stop and Smell The Rose ที่มารับบทเป็นลูกสาวของพี่เจี๊ยบ ช่างขัดแย้งกันจนดูไม่ออกใครเป็นแม่ใครเป็นลูกสาว สำหรับร่างอวตารของสุเป็นอะไรที่หายากมาก ๆๆๆๆๆๆ เลย จนมาได้ ไอซ์ ปรีชญา ในลุคผมบ็อบ สวมแว่นสายตา เหมาะเหม็งเลย
มาถึงฉากที่หนุ่ม ๆ รอคอย สำหรับสวนสนุกยามค่ำคืนของหนุ่ม ๆ “โชโกะเลาจ์...สวรรค์ของคนรักสนุก”
แล้วก็ถึงเวลาที่เขาจะปรากฏตัว พี่ติ แอฟโฟร่ ที่ออกโรงแล้ว ด้วยบท ติ สวรรค์เลาจ์ ผู้จัดการฝ่ายเชียร์แขกแห่งโชโกะเลาจ์ ในเมื่อทรงผมแอฟโฟร่ ร่างอวตารจะเป็นใครดีล่ะถ้าไม่ใช่ ดีเจพล่ากุ้ง
ทิ้งท้ายด้วย การเปิดตัวแบบให้หนุ่ม ๆ หยุดหายใจของ “มาดามโชโกะ” บทที่เจ้าตัวเป็นคนขอรับบทแรง ๆ แบบนี้เองสำหรับพี่สาวแดนไกลของพวกเรา พี่โชโกะ แห่งเพจ Happiness D.I.Y. แซ่บสองพันปีก็ต้องให้ พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ เป็นร่างอวตารล่ะครับ
น่าจะหมดแล้ว อ้อ...ลืมไป ชายลึกลับใต้ต้นไม้ ที่เฝ้ามองครอบครัวผู้ใหญ่ข้าวด้วยความแค้น เขาคนนั้นก็คือ...
ไม่บอก ตามอ่านกันต่อไปเรื่อย ๆ เดากันไปก่อนนะจ้ะ
เอ้า...เชิญคอมเมนท์กันตามอัธยาศัยได้เลย แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 6
ขอบคุณครับ
มูฟวี่ เมืองกรุง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา