29 มี.ค. 2020 เวลา 03:00 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอ นิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 6
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
ความเดิมตอนที่แล้ว
ในระหว่างที่มหาอิ่ม ผู้ใหญ่ข้าว และแม่ฉัตรคุยกัน ได้เผลอพูดถึงความลับที่ปิ้กไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของทั้งสองคน พอดีกับที่ปามมาได้ยินและเธอตั้งใจจะหาทางสืบหาความจริงเรื่องนี้ ที่โรงพยาบาลบอกดิก หมอเวทย์มีโอกาสได้พบหน้ากับใจดีแบบจัง ๆ จนทั้งสองเริ่มมีอาการปีนเกลียวต่อกันเพราะไปรักเนิ้ตทั้งคู่
สุลูกสาวของพี่เจี๊ยบเจ้าของห้องเสื้อจริยามีโอกาสได้พบกับเสก ก้าวเล็ก และรู้สึกคุ้นเคยกับเสกมาก แต่เธอนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ส่วนแว่นเลี้ยงยายที่พยายามตีสนิทเพื่อหาความลับของเสก ได้ชวนเสกไปที่โชโกะเลาจ์ ที่นั่นเองที่เสกได้พบกับ สาวแซ่บสองพันปีเจ๊โชโกะ
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน “บางบอกดิก” ได้ ณ บัดนี้...
โชโกะเลาจ์
บางบอกดิก ตอนที่ 6
***เพื่อความเหมาะสม ผมขอปรับเปลี่ยนจากเจ๊โชโกะ เป็นมาดามโชโกะนะครับ (ผู้เขียน)
### คำเตือน ###
เนื่องจากมีภาพ และการบรรยายที่ไม่เหมาะสำหรับเยาวชน
โชโกะเลาจ์
เสกตะลึงกับความงามของมาดามโชโกะ ก่อนจะใช้สายตาโลมเลียไปตามเรือนร่างที่เห็นเพียงเงาลาง ๆ ในความมืดเมื่อแสงไฟสาดส่องผ่านร่างของมาดามโชโกะจากด้านหลังของหล่อน
มาดามโชโกะเหมือนไม่ได้ยี่หระต่อสายตาแบบนั้น มันเป็นเรื่องเคยชินไปแล้วสำหรับคนที่อยู่ในวงการนี้ สำหรับหล่อนเสกก็ไม่ต่างจากผู้ชายรักสนุก พ่อบ้านหนีเที่ยว หรือ หนุ่มโสดขี้เหงาที่เข้ามาใช้บริการคลายเหงาในสถานที่แห่งนี้
มาดามโชโกะ
มาดามโชโกะทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มข้าง ๆ เสก จะโดยตั้งใจหรือไม่มือของเธอวางแปะลงบนหัวเข่าของเสก จนทำให้เสกถึงกับสะดุ้งขึ้นมาวูบหนึ่ง สำหรับเสกที่ลุยมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เขายอมรับว่าไม่มีใครที่ดูร้อนแรงได้เท่ากับมาดามโชโกะมาก่อนเลย
“ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนะคะ คุณ...” มาดามโชโกะทิ้งท้ายรอคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม
“เสก...เสกครับ เสกก้าวเล็ก” เสกระร่ำระลั่กตอบแบบกลายเป็นไก่ตื่นไปเลย เจ้าตัวได้แต่ด่าตัวเองในใจ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเสก”
มาดามโชโกะยื่นมือให้เสกจับทักทายแบบฝรั่งนิยม
"ว่าแต่ว่า เล็กแต่ก้าวใช่ไหมคะ" มาดามโชโกะย้อนถามเสียงรัญจวนใจ
เสก ก้าวเล็ก
เสกรีบจับมือของมาดามโชโกะ ทั้งนุ่ม ยิ่งกลิ่นน้ำหอมรัญจวนใจที่เสกสูดได้จากการที่มาดามโชโกะนั่งแนบอยู่ข้าง ๆ ก็ทำเอาเสกแทบจะกำซาบเหลือจนบรรยายแล้ว จนลืมตอบคำถามเมื่อครู่ของมาดามโชโกะ
ยังไม่ทันจะรู้สึกอะไรต่อ การขัดจังหวะก็เกิดขึ้นเมื่อมีชายคนหนึ่งมายืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะของทั้งสาม มาดามโชโกะเงยหน้าขึ้น ยิ้มยั่วยวนเล็กน้อย
“อ้าว...คุณอ๊อด พากิน วันนี้มาถึงที่นี่ แล้วนายหัวเฉื่อยล่ะคะ นั่งอยู่ในห้องวีไอพีเหรอ?”
อ๊อด พากิน มือขวาของนายหัวเฉื่อยนั่นเอง ท่าทางอ๊อดดูหื่นอย่างชัดเจนทุกครั้งที่เห็นมาดามโชโกะ
“มาดามครับ นายหัวให้มาตามน้อง ๆ ไปหานายหัวครับ”
แต่ก่อนจะลุกขึ้น จะโดยตั้งใจหรือไม่มาดามโชโกะได้เลื่อนมือที่จับอยู่ตรงหัวเข่าเสก ลึกขึ้นไปถึงต้นขาแล้วบีบเบา ๆ หนึ่งครั้ง
“เดี๋ยวโชโกะหาเครื่องดื่มที่เหมาะสมให้คุณเสกดีกว่านะคะ แล้วจะเรียกน้อง ๆ มานั่งเป็นเพื่อน” เธอหันมาส่งยิ้มสายตายั่วยวนให้กับเสกก่อนจะเดินหายไปในความมืดพร้อมกับอ๊อด พากิน
เสกได้แต่มองตามอย่างเซื่องซึม ก่อนจะหันมามองหน้าแว่น แว่นยิ้มแล้วถามขึ้น
“ที่นี่ไม่ผิดหวังเลยใช่ไหมครับพี่เสก?”
“พระเจ้าจอร์จ มันยอดมากเลยแว่น”
ยังไม่ทันพูดอะไรกันต่อ เสียงเพลงก็ดังขึ้นมาจากที่เวที มีนักร้องสาวขึ้นมาร้องเพลงบสเต็จ เสกนั่งมองและฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม
น้องเหงี่ยมศรี มณีปัทม์
ร่างของนักร้องสาวที่ยืนโดดเด่นกลางเสต็ทที่แสงไฟจากสปอร์ไลท์ส่องลงมาที่เธอ เสียงร้องของเธอสามารถสะกดคนฟังไว้ แต่คงไม่มีใครเคลิบเคลิ้มไปกว่า ติ สวรรค์เลาจ์ เพราะที่กำลังครวญเพลงอยู่นั้นคือ น้องเหงี่ยมศรี มณีปัทม์ แฟนของตนเอง
ด้านล่างเวที ตรงมุมหนึ่ง โซฟาที่เสกและแว่นนั่งอยู่ มีสาวหุ่นเซ็กซี่มานั่งลงขนาบข้างซ้ายขวาของเสกฝั่งละคน และอีกหนึ่งคนที่นั่งอิงแอบอยู่ข้าง ๆ แว่น หญิงสาวนี้คือพิงค์ ดาวเด่นแห่งโชโกะเลาจ์
เมื่อพิงค์รู้ว่าวันนี้แว่น เลี้ยงยาย เด็กเนิร์ดขี้อายแวะมา เธอขอมาดามโชโกะปฏิเสธที่จะรับแขกคนอื่น เพื่อจะได้มีเวลาอยู๋กับแว่น
“แว่น มาแล้วเหรอ วันนี้แวะมาได้ด้วยเหรอจ้ะ” พิงค์ใช้นิ้วเรียวยาวลูบไล้ใบหน้าของแว่น
พิงค์
แว่นยิ้ม ด้วยท่าทีสุภาพและยังขี้อาย พิงค์เห็นแล้วก็หัวเราะขบขันก่อนจะพูดขึ้น
“แว่นรู้ไหม พิงค์ชอบแว่นมาก ๆ เลยนะ แว่นไม่เหมือนคนอื่น ที่มาแบบหื่น แต่แว่นจะสุภาพและปฏิบัติกับพิงค์เหมือนพิงค์เป็นผู้หญิงปกติทั่วไปเลย”
แว่นมองหน้าพิงค์ มองลึกไปในดวงตาเหมือนจะค้นหาความจริงจากคำพูดจากปากหญิงสาวแสนเซ็กซี่
“ก็พิงค์เป็นผู้หญิงทั่วไปจริง ๆ นี่นา” แว่นตอบ
“ไม่นะ...ผู้หญิงทั่วไปเขาไม่มาทำอาชีพเปลืองตัวแบบนี้หรอกนะ” พิงค์ตอบ
“ก็คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ เลือกไม่ได้จะรวยหรือจน บางทีเราก็ต้องทำในสิ่งที่เราไม่ได้อยากทำ” แว่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนหดหู่ พลางมองไปยังเสกที่กำลังนัวเนียกับสาวอีกสองคน ตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจว่ากำลังปลอบใจพิงค์หรือตัวเองกันแน่
แว่น เลี้ยงยาย
แว่นเอียงตัวไปกระซิบข้างหูของพิงค์ ใก้ลจนได้กลิ่นน้ำหอมชวนรัญจวนใจจากกายของพิงค์
“บอกน้อง ๆ สองคนนั้นหน่อยสิ หาทางสืบให้ได้ว่า ผู้ขายคนนี้มาที่บางบอกดิกทำไม ทำอาชีพอะไร พ่อเลี้ยงก้อมต้องการรู้ให้ได้”
“เดี๋ยวพิงค์บอกน้อง ๆ ให้นะ แล้วคืนนี้จะอยู๋กับพิงค์ไหม?” พิงค์ถามพลางส่งสายตาออดอ้อนให้แว่น
แว่นลังเล ใจหนึ่งก็ห่วงยายแม้จะฝากกับข้างบ้านไว้แล้ว แต่อีกใจก็อยากทำตามความปรารถนาของตนเอง แว่นไม่ค่อยได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพิงค์ ทั้งที่ใจจริงแว่นอยากชวนพิงค์ไปเที่ยวตอนกลางวันตามสถานที่ปกติที่คู่รักเขาไปกัน
แต่ในที่สุดแว่นก็พยักหน้า
พิงค์โอบกอดแว่นจนเรือนร่างอวบอัดเธอเบียดกับแว่นแนบแน่น
เสียงเพลงยังดังต่อไป ผู้คนยังสนุกกันต่อไป ราตรีนี้ยังอีกยาวนาน
ไม่ว่าจะเป็นเสก หรือแว่นก็ตาม
....
ในห้องแต่งตัวนักร้อง
น้องเหงี่ยมนั่งอยู่หน้ากระจก กำลังง่วนกับการเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้า เงาหนึ่งค่อย ๆ ย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งค่อย ๆ ยื่นเข้ามา ยื่นเข้ามาใกล้จะถึงตัวน้องเหงี่ยม
“ว๊ายยยย...” น้องเหงี่ยมร้องลั่น คว้ากระจกส่องหน้าทรงกลมที่วางบนโต๊ะหน้ากระจกฟาดโครมเข้าเต็มแรง
ติ สวรรค์เลาจ์
“โอ๊ยยยย” ติ สวรรค์เลาจ์ร้องเสียงหลง เอามือกุมศรีษะ เลือดไหลออกมาตามร่องนิ้ว
“ตายจริง พี่ติเหรอ เหงี่ยมไม่รู้ว่าพี่จะย่องมาข้างหลัง”
“เอ็งนี่เล่นถึงเลือดถึงเนื้อกับพี่ทุกทีเลยนะ” ติบ่นขึ้น “กะจะเข้ามาหยอก ๆ โอบกอดข้างหลัง สบายเลยกู เอ็งเรียกเลือดจากหัวพี่จนได้” ติบ่น
“พี่ไปโรงพยาบาลให้เขาเย็บแผลดีกว่าไหม เหงี่ยมขอโทษ เหงี่ยมไม่ได้ตั้งใจ”
“เอ็งก็พูดแบบนี้ทุกที คราวก่อนพี่กลับช้า ถูกตำรวจจับตอนตีสาม เอ็งก็หาว่าข้าไปกับเด็กนั่งในร้าน เอ็งก็ใช้มวยหย่งชุนกับพี่จนตับแล่บ พอเห็นใบสั่งเอ็งก็ค่อยมาขอโทษ” ติบ่นพลาง เอากระดาษทิชชู่ซับเลือดไปด้วย
“พี่จะตายเพราะเอ็งก่อนจะแก่ตายแน่”
“แล้วพี่รักเหงี่ยมรึเปล่าล่ะ?” เหงี่ยมส่งสายตาอ้อดอ้อนหวานซึ้งให้ติ
ติสะบัดหน้าไม่สนใจ หมุนเก้าอี้นั่งหันหลังให้ด้วยความงอน พลางซับเลือดไป
เหงี่ยมเห็นแบบนั้นจึงใช้นิ้วชี้กับนิ้วนางเล่นปูไต่ที่หลังของติ จนติสยิวขนลุกซู่ขึ้นมา
“เหงี่ยม เอ็งก็รู้อย่ามาเล่นปูไต่บนหลังพี่”
เหงี่ยมศรี มณีปัทม์
“ก็รู้ไง เหงี่ยมถึงเล่น” เหงี่ยมตอบท่าทีอ้อนสุด ๆ
“เอ็งก็รู้ว่า พอปูไต่ เอ็งจะโดนพี่จัดไปสองดอก” ติตอบ
“คืนนี้ให้ตองเลยก็ได้ถ้าพี่ติไหว”
ติตาลุกวาว คว้าข้อมือเหงี่ยม ฉุดออกไปจากห้องแต่งตัว
“พี่ ๆ จะไปไหน?”
“พี่จะรีบไปให้หมอเย็บแผล แล้วกลับไปอะจึ๊ย...อะจึ๊ย...อะจึ๊ย...กับเหงี่ยมไง”
“คนผีทะเล”
“กูเป็นหมดล่ะ จะผีทะเล ผีมหาสมุทร” ติตอบอย่างกระเหี้ยนกระหือพร้อมกับฉุกระชากลากถูเหงี่ยมออกไปทางประตูด้านหลังร้าน
เช้าวันถัดมา
ไม่ว่าจะเล่นผีผ้าห่มกับสาวเมื่อคืนนานแค่ไหน แต่พ่อเลี้ยงก้อมก็ยังคงตื่นแต่เช้าเหมือนเช่นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ที่มีการเรียกประชุมครั้งใหญ่บรรดาลูกสมุนทุกระดับและลิ่วล้อ
พ่อเลี้ยงก้อม และลูกสมุน
พ่อเลี้ยงก้อมยืนอยูตรงหัวโต๊ะ กวาดตามองดูลูกน้องทุกคน พลางวางบุหรี่ที่สูบลงที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟดำร้อนกรุ่นควันโขมงขึ้นมาด้วยท่าทีแหยง ๆ เพราะครั้งก่อนโดนลวกปาก หลังจากเป่าแล้วจิบเสร็จ พ่อเลี้ยงก้อมก็เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
“ชิบหายหมด ให้ไปข่มขู่ไอ้สอน ก็โดนลูกชายมันสอยกลับมา ไอ้แมนเอ๊ย...เอ็งนี่มันดีแต่ปั้นไข่คนปนไข่แข็งนะเอ็ง”
สภาพของแมน เมืองชลที่แขนและอกพันผ้าพันแผลไว้ ได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตาพ่อเลี้ยงก้อม
“มันคืออะไรครับนาย? ไอ้ปั้นไข่คนปนไข่แข็งเนี่ย” เต้กระชุ่นถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เอ็งก็ลองถามไอ้ม้าจัดหนักนี่ดูเองสิ” พ่อเลี้ยงเอ่ยประชดอย่างหัวเสียแล้วถามต่อ
“ว่าแต่เอ็งเป็นแบบนี้ คงคุมงานไม่ได้สิ วันนี้ต้องลำเลียงของไปส่งตรงตะเข็บชายแดนด้วย”
“เอ่อ...คือ...” แมนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
พี่เลี้ยงก้อม
พ่อเลี้ยงก้อมยกมือขึ้นห้าม “พอเลย พอเลย คือเอ็งไปไม่ได้ ไอ้เต้ เอ็งคุมงานนี้แทนไอ้แมน อาวุธสงครามคราวนี้เป็นล็อตใหญ่ เอ็งต้องส่งให้ถึงมือพวกผกค.ว้าแดงให้ได้”
“ครับ นาย” เต้ เบียร์วุ้นรับคำ
“เส้นทางลำเลียงของครั้งนี้ เป็นความลับ แม้แต่พวกตชด.ก็ไม่รู้ เอ็งน่าจะหลุดรอดหูตาทางการได้”
พ่อเลี้ยงก้อมมองหน้าลูกน้องทั้งหมด ก่อนจะยกกาแฟร้อนขึ้นซดอึกใหญ่
“ถุยยย” พ่อเลี้ยงบ้วนกาแฟทิ้งเพราะความร้อนลวกในปาก
“ทำไมมันยังร้อนได้นานขนาดนี้วะ หรือต้องเลิกกินกาแฟร้อนดีกว่า”
เต้มองท่าทีเหมือนตัวตลกของพ่อเลี้ยงก้อมแล้วก็คิดในใจ
“ทำไมเจ้านายต้องทำเหมือนตัวร้ายในหนังไทยวะ แดกกาแฟร้อนแล้วไม่เป่า บ้ารึเปล่า”
เต้โบกมือเป็นเชิงให้ลูกสมุนทั้งหมดขึ้นรถ รถจิ๊ปสองคันวิ่งนำหน้าเลี้ยวออกจากบ้าน ก่อนที่รถบรรทุกสิบล้ออีกหนึ่งคันที่จอดอยู่ริมรั้วด้านนอกจะจับตามหลังออกไปในทันที
กานต์ บัญชีเดินไปเคาะประตูห้องสองครั้งทุกอย่างยังเงียบงัน จึงเคาะแรง ๆ อีกสองครั้งก็ยังคงเงียบ ครั้งนี้กานต์เปลี่ยนเป็นใช้ฝ่ามือตบประตูแรง ๆ สองครั้ง
กานต์ บัญชี
สักครู่เสียงลูกบิดล็อกประตูเด้งออก พร้อมกับสาวคนหนึ่งท่าทางงัวเงียหัวยุ่ง เรือนร่างนุ่งเพียงผ้าขนหนูปิดบังไว้เท่านั้น กานต์มองลอดช่องประตูที่เปิดเข้าไป เห็นสาวอีกคนยังนอนคว่ำหน้าเปลือยแผ่นหลังอยู่บนเตียง ข้าง ๆ คือนายหัวเฉื่อยที่นอนเหมือนตัวสล็อธขึ้นอืดบนเตียง
กานต์หันมาถามหญิงสาวที่เปิดประตู
“นายหัวตื่นไหวไหม?”
“ไม่น่าจะไหวนะพี่กานต์ เมื่อคืนเบิ้ลพวกหนูไปคนละสองยก ไม่รู้ไปกินไอ้จ้อนม้ามารึไง พวกหนูงี้ปวดเมื่อยไปหมดเลย”
แม้จะบอกปวดเมื่อย แต่สาวคนนั้นก็ขยับตัวเข้ามาเกือบชิดกับกานต์ พลางใช้นิ้วชี้ทาเล็บสีแดงขีดเขียนบนหน้าอกของกานต์
กานต์จับมือของหญิงสาวไว้แล้วผลักออก ก่อนจะหันตัวเดินกลับลงบันไดไป
หญิงสาวหน้าเสียหงุดหงิดขึ้นมา ด่าไล่หลัง
“มีของดีให้กินฟรี ไม่กิน โง่รึเปล่า?”
กานต์ตอบทั้ง ๆ ที่ยังเดินลงบันไดโดยไม่หันกลับมา
“ผมไม่ชอบกินของเหลือจากใคร”
หญิงสาวกระทืบเท้าใส่พื้นปาร์แก้ดังลั่นตึงตัง ก่อนจะปิดประตูดังโครมไล่หลังกานต์
กานต์เดินออกไปที่หน้าบ้าน กวาดตามองหาอ๊อด พากิน ก่อนจะไปสะดุดตาที่เห็นอ๊อดกำลังเล่นกับแมวอ้วนตัวสีส้มอย่างมีความสุข พลางส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
เย็น
“เฮ้อ...มือปืนทาสแมว” กานต์บ่นเบา ๆ
กานต์ทำท่ากระแอม อ๊อดจึงวางแมวอ้วนตัวสีส้มลง ตบหัวน้องแมวเบา ๆ ก่อนจะเดินมาหากานต์อย่างเป็นปกติ
“นี่ถ้าใครรู้ว่าพี่อ๊อดรักแมว มันคงจับแมวพี่เป็นตัวประกันแน่”
“ตายห่าเลยนะ...ข้ายอมตายเลย ดีกว่าให้แมวของข้าเป็นอะไรไป”
“นี่พี่ดูไม่ออกเหรอว่าผมประชด” กานต์ถอนหายใจ
อ๊อดส่ายศรีษะด้วยท่าทีเป็นปกติ กานต์เห็นแบบนั้นแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“นายหัวเฉื่อยนอนขึ้นอืดอยู่ในห้องนอนข้างบนน่ะ”
อ๊อด พากิน
“ชิบหายล่ะ นายตายแล้วเหรอ?” อ๊อดอุทานด้วยความตกใจ “ข้าว่าแล้วเมื่อคืนให้นายกรึ้บช้างกระทืบโรงแค่เป้กเดียว นายล่อเข้าไปสองแก้วใหญ่ คึกตายห่า แล้วต้องเก็บศพสิเนี่ย”
“เฮ้อ...” กานต์ถอนหายใจ “ผมเปรียบเทียบหมายถึงนายหัวหมดแรงลุกไม่ขึ้นแล้ว เราคงต้องทำงานนี้กันเอง”
กานต์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ไปเถอะ เดี๋ยวผมคุมงานแทนเอง”
ทั้งสองเดินไปขึ้นรถเบนซ์และขับออกไปจากบ้านนายหัวเฉื่อยทันที
รถจิ๊บสองคันของพ่อเลี้ยงก้อมวิ่งนำขบวน โดยมีรถสิบล้อวิ่งตามรั้งท้าย ผ่านลัดเลาะตามเส้นทางขรุขระในป่าลึก มันไม่ใช่เส้นทางปกติที่ใช้สัญจรไปมา
หลังจากขบวนวิ่งตัดอ้อมเหลี่ยมเขาไปได้ก็เป็นถนนดินแดงแคบ ๆ จนรถสวนกันไม่ได้ ขบวนรถลัดเลาะไปตามขอบเขา มองไปริมซ้ายเป็นหุบเหวลึกน่าหวาดเสียว
รถทั้งสามคันแล่นโยกโยนไปมาด้วยความระมัดระวัง กระทั่งทางข้างหน้ามีต้นไม้ล้มขวางพาดเส้นทางจนทำให้ขบวนรถต้องหยุด
เต้ที่นั่งอยู่ในรถจิ๊ปคันแรก ชะโงกหน้ามองผ่านกระจกตรงที่นั่งข้างคนขับ รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงสั่งศักดิ์ หยักศกที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ไอ้ศักดิ์ เอ็งลงไปดู เอาเอ็ม 16 ลงไปด้วย ระวังตัว ข้าไม่ค่อยไว้ใจ”
ศักดิ์ หยักศก
ศักดิ์กระชับปืนเอ็ม 16 ในมือ ก่อนจะลงจากรถจิ๊ปเดินดุ่ม ๆ อย่างระแวดระวังไปถึงตรงไม้ล้ม แล้วเดินดูรอบ ๆ กะด้วยตาเป็นต้นไม้ขนาดสองคนโอบ จะเคลื่อนย้ายคงไม่ง่ายเลย ศักดิ์กวาตตามองรอบ ๆ บริเวณ ก่อนจะคืบคลานขึ้นไปตามแนวเขาแล้วสำรวจอีกครั้ง
ด้านซ้ายเป็นเหว ด้านขวาเป็นภูเขาไล่ระดับขึ้นไปถึงข้างบนยอด บนแนวเขาเป็นป่าโปร่ง มองไปเห็นแต่ไกล ไม่น่าจะมีคนแอบซ่อนได้เลย
ศักดิ์กลับลงมาแล้ววิ่งไปที่รถจิ๊ป
“ผมดูแล้วไม่มีใครซุ่มที่ด้านบนครับลูกพี่ แต่ปัญหาคือต้นไม้ใหญ่ที่ล้มมันขนาดสองคนโอบ คงต้องลากดันมันลงเหวไปครับ ง่ายที่สุด”
เต้มองหน้าศักดิ์ พลางชมเชย
“เออ...เอ็งนี่ฉลาดนะ ไม่เหมือนดาวร้ายในหนังไทย ที่มักโง่ทำตามคำสั่ง ครับนาย ครับลูกพี่”
เต้ลงจากรถจิ๊ป เดินไปด้านท้ายของรถจิ๊ป มีกระติกใส่น้ำแข็งใบใหญ่ เต้เปิดกระติก ในนั้นมีเบียร์สิงห์แช่เย็นอยู่ในกองน้ำแข็ง โผล่ให้เห็นเพียงปากขวด เต้ดึงขึ้นมาก่อนจะวางปากขวดพาดกับขอบรถจิ๊ป กระแทกมืออย่างคลอ่งแคล่วฝาเบียร์กระเด็นออกตกลงบนพื้น เต้ยกเบียร์นั้นขึ้นมาดวดอึกใหญ่
“เฮ้ย...พวกเอ็งทั้งหมดช่วยกันลงมาดัดต้นไม้นี้ให้ตกเหวลงไปเร็วเข้า จะได้ไปต่อ”
ลูกสมุนที่นั่งคุมอยู่ท้ายรถสิบล้อ สี่คนลงจากรถ พร้อมกับคนขับและคนนั่งด้านหน้า อีกสี่คนลงจากรถจิ๊ปคันที่สอง ต่างพากันกรูไปห้อมล้อมรอบต้นไม้นั้น และพยายามหาทางช่วยกันดันให้ตกเหว
เต้ยืนอยู่หน้ารถจิ๊ปคันหน้า ดวดเบียร์พลาง ดูไปพลาง สั่งไปพลาง แต่เหมือนต้นไม้จะขยับทีละนิดเท่านั้น
เต้แหงนหน้าขึ้น เห็นแสงแดดแรงเปรี้ยงเริ่มส่องตรงหัว จึงย้ายเข้ามานั่งในรถจิ๊ปที่ตำแหน่งเดิม พลางดวดเบียร์รอคอย
ระหว่างที่สาละวนกับการดันต้นไม้ ที่ด้านหลังของรถสิบล้อท้ายขบวน ห่างออกไปร้อยเมตร มีชายกลุ่มหนึ่งค่อย ๆ ปีนขึ้นมาจากหน้าผาด้านซ้าย และคืบคลานตรงไปที่รถสิบล้อท้ายขบวน
หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ย่องขึ้นไปบนท้ายรถสิบล้อ แล้วตรวจสอบของในท้ายรถ มันปั๊มชื่อเป็นภาษาอังกฤษบนลังขนาดยาว ที่จัดตั้งเรียงกันไว้ห้าแถว แถวละห้ากล่อง รวมเป็นยี่สิบห้าลัง ยังมีลังเหล็กขนาดเล็กใหญ่กว่าลังใส่ส้มเล็กน้อย เปิดฝาลังออกเป็นระเบิดลูกเกลี้ยงเรียงอยู่ในช่องเก็บอย่างดี
เงาสายนั้นโผล่ออกมา พลางทำมือสัญลักษณ์ OK หนึ่งในกลุ่มคนที่ซุ่มรออยู่ท้ายรถพยักหน้า
กลุ่มคนลึกลับจัดการยืนเรียงกันโดยเว้นระยะห่างเรียงแถวไปจนถึงหน้าผา โดยมีคนหนึ่งยืนซุ่มดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายเต้อยู่หลังท้ายรถสิบล้อ
คนบนรถขนลังระเบิดออกมาส่งให้และมันถูกลำเรียงไปจนถึงคนสุดท้ายที่หน้าผา แล้วลังนั้นถูกหย่อนลงไปยังเหวเบื้องล่างจนหมด
หลังจากนั้น ลังอาวุธค่อย ๆ ถูกยกลง และถูกแบกออกไปได้สิบลัง
คนบนรถเทน้ำมันราดจนทั่วภายในท้ายรถสิบล้อแล้วปีนลงมา พลางตบบ่าเป็นสัญญาณบอกกับคนที่เฝ้าดู
คนที่เฝ้าดูกระชับเอ็ม 16 ในมือ แล้วค่อย ๆ คืบคลานล่าถอย
คนกลุ่มน้้นค่อย ๆ ล่าถอยกลับไปที่หน้าผาเป็นขบวน
ระหว่างที่เต็กระดกขวดเบียร์ดวดนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาขบวนคนจากกระจกมองหลังในรถจิ๊ป
เต้ เบียร์วุ้น
เร็วเท่าความคิด เต้คว้าปืนเอ็ม 16 ของตัวเองออกมา พลิกตัวลงจากรถแล้วรัวกระสุนปืนใส่คนกลุ่มนั้น พร้อมกับวิ่งไปหลบด้านหลังที่ด้านหน้าของรถจิ๊ปคันที่สอง
เสียงกระสุนปืนดังขึ้นก้องหุบเขา
พวกของศักดิ์รีบคว้าปืน โดดข้ามไปหลบหลังต้นไม้ล้มเพื่อใช้กำบัง พลางสาดกระสุนรัวใส่กลุ่มคนลึกลับ
เสียงกระสุนปืนสาดใส่กัน ลิ่วล้อฝ่ายของเต้ ถูกยิงล้มลงไปสามคน
ส่วนฝั่งกลุ่มคนลึกลับถูกยิงล้มลงไปสองคนแล้ว
หนึ่งในจำนวนนั้นที่รั้งท้าย ดึงขวดน้ำมันออกมา ดึงเศษผ้าออกจุ่มลงไป แล้วดีดไฟแช็ก เอาเปลวไฟมาจ่อจนไฟลุกที่ผ้า ก่อนจะปาเข้าไปในรถสิบล้อ ทีเดียวห้าขวด
ขวดน้ำมันลอยละลิ่วเข้าในท้ายรถสิบล้อ กระแทกโดนแล้วแตกออก น้ำมันที่ติดไฟไหลลามไปทั่ว
กลุ่มคนลึกลับ ค่อย ๆ ล่าถอยออกมาพลางยิงปืนต่อสู้พลาง
คนสุดท้ายของขบวนหยิบระเบิดลูกเกลี้ยงออกมา ดึงสลัก แล้วปาเข้าไปในท้ายรถสิบล้อ
ชั่วอึดใจเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา ไฟร้อนแรงลุกเผารถสิบล้อคันนั้นจนเป็นจุล
เต้ตกใจจนหน้าเสีย ได้แต่ชะโงกหน้าออกมามองดูรถบรรทุกที่ขนอาวุธสงครามถูกพระเพลิงลามเลียไปทั่วทั้งคัน
ส่วนกลุ่มคนลึกลับอาศัยเปลวไฟเป็นม่านกำบัง ค่อย ๆ ไต่ลงไปตามหน้าผาและกลืนหายไปในแนวป่ารกชัฏด้านล่าง
เต้เห็นเสียงปืนตอบโต้เงียบลง รออยู่ชั่วครู่จึงค่อย ๆ คืบคลานออกมาอย่างระแวดระวัง แต่เมื่อไม่พบอะไรจึงออกมายืนมองดูความพินาศของรถสิบล้อที่ถูกไฟเผาผลาญ
เต้เหน้าเสียกว่าครั้งไหน ๆ ในใจได้แต่คิดว่า
“กูจะถูกพ่อเลี้ยงยิงกบาลรึเปล่าวะ?”
รถเบ็นซ์ของนายหัวเฉื่อยจอดหลบอยู่ในร่มของที่พื้นที่โล่งที่ถูกปรับให้เป็นลานขึ้นลงของเครื่องบินเซสน่า กานต์นั่งรอในรถอย่างใจเย็น ในขณะที่อ๊อดยืนรอเดินวนไปมาพร้อมกับอัดบุหรี่เข้าปอดเป็นพัก ๆ
สักครู่เสียงเครื่องบินดังขึ้นแต่ไกล กานต์ลงรถเบนซ์ เดินมาหยุดยืนที่ชอบทาง ใช้มือซ้ายป้องแดดตรงเหนือหว่างคิ้ว พลางจับจ้องมองเครื่องเซสน่าที่กำลังแลนดิ้งลงจอด
กานต์รอจนเครื่องบินนั้นจอดสนิทนิ่งเลยออกไปจากจุดที่รถเบนซ์จอดอยู่ร่วมร้อยเมตร กานต์ทำสัญญาณมือให้อ๊อดประจำที่รถเบนซ์ ส่วนตนเองสาวเท้าตรงไปที่เครื่องเซสน่า
ยังไม่ทันถึง ประตูเครื่องเซสน่าก็ถูกผลักออก มีคนสองคนลงจากรถ หนึ่งนั้นเป็นคนขับเครื่องบิน อีกหนึ่งคนเป็นชายชาวจีนผิวสีเหลืองวัยกลางคน ตัดผมทรงสกินเฮด ไว้หนวดเครา แต่งกายในชุดสูทสากล ในมือถือกระเป๋าเอกสารแบบที่เห็นในหนังเจมส์บอนด์ตอน From Rusia with Love
กานต์เดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับยื่นมือจับทักทายกับชาวจีนคนนั้น พลางพูดทักทายเป็นภาษาจีน
“หนี่ห่าว มิสเตอร์ท็อป เหลียง” กานต์ทักพร้อมกับยิ้มให้
มิสเตอร์ ท็อป เหลียง
“สวัสดีครับ” ชายชาวจีนตอบกลับมาเป็นภาษาไทยด้วยความชัดประมาณ 70%
กานต์ขมวดคิ้ว อดแปลกใจไม่ได้
มิสเตอร์ท็อปเหลียงคล้ายดูออก จึงตอบกลับไปว่า
“คุณแม่ผมเป็นคนไทย ผมพูดไทยได้ครับ มิสเตอร์กานต์”
“โอ้...เยี่ยมมากเลยครับ งั้นผมสามารถพูดไทยกับมิสเตอร์ท็อปได้ใช่ไหมครับ?”
“ได้ครับ” มิสเตอร์ท็อปตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม
กานต์ผายมือ แล้วเดินนำหน้าเมื่อใกล้ถึงพยักหน้าเป็นสัญญาณให้อ๊อดพากินสตาร์ทรถเบนซ์ได้เลย
รถเบนซ์เคลื่อนตัวออกไปจากสนามบินลึกลับแห่งนั้นในทันที
ในป่ารกชัฏด้านล่างของหุบเหว
คนลึกลับกลุ่มนั้นรวมตัวกันอยู่ มีประมาณสิบเก้าคน ต่างก็ล้อมเป็นวงกลม โดยมีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง ซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
กลุ่มคนลึกลับ
“ทางเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ทางเราตายสองคน บาดเจ็บแต่ไม่มากอีกสาม”
คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มผงกศรีษะ
“นับว่าเสียหายเล็กน้อย ขอบใจพวกเอ็งทุกคนที่ร่วมแรงกับข้า”
“พี่มีบุญคุณกับผมและครอบครัว พี่ว่าไงผมว่าตามอยู่แล้วครับ” คนเดียวกับที่รายงานความเสียหายเป็นคนตอบ
คนที่เป็นหัวหน้าเดินมาตบบ่าแทนคำขอบคุณ ก่อนจะกวาดตามองทุกคน
“บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะล้างแค้นแล้ว งานนี้ไอ้พ่อเลี้ยงก้อมคงแทบอกแตกตาย แต่ยังหรอกยังไม่สาแก่ใจที่มันทำไว้ รายต่อไปคือไอ้ผู้ใหญ่ข้าว ได้เวลาทวงแค้นจากมันแล้ว”
คนที่เป็นหัวหน้าประกาศเสียงกร้าว พร้อมกับเสียงเฮของคนลึกลับทั้งกลุ่มดังขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป
หลังกล้อง “บางบอกดิก” ตอนที่ 6
เดินทางมาถึงตอนที่ 6 กันแล้วนะครับ ตอนนี้เรื่องน่าจะได้ 15% แล้วนะ ในตอนนี้เราจะมาดูกันว่านักเขียนบีดีคนไหนที่ปรากฏตัวเพิ่มบ้าง
มาดามโชโกะ หรือเดิม เจ๊โชโกะ ผมขอเปลี่ยนสรรพนามเรียกใหม่เป็นมาดาม มันจะดู ‘อลัง’ กว่าเดิมในเลเวลยานแม่มาเอง ซึ่งเจ้าตัวก็อินกะบทจนไปโพสต์ยั่วยวนทุกเม้นท์ของเหล่าชายในบีดีให้เลือดกำเดาไหลกันเลย สำหรับพี่โชโกะที่สมัครใจรับบทแรง ๆ แบบนี้ โดยผมไม่ต้องหาตัวละครสมมติมาใส่
ถัดมาคือตัวละคร พิงค์ ที่มาตามคำขอของเจ้าตัวที่อาจจะย้อนแย้งกับเพจจริง พิงค์สาวเลาจ์ที่ชอบหนุ่มแว่นเลี้ยงยาย อันที่จริงตัวละครนี้ค่อนข้างแรง ไม่ได้คิดจะจับใครมาสวมบทนี้เพราะเดี๋ยวเขาจะด่าเอา แต่พิงค์กี้เจ้าของเพจ ‘วันนี้สีชมพู’ อยากจะเล่นบทนี้ ผมเลยต้องควานหาร่างอวตารที่จะทำให้ระดับท็อปของเลาจ์ และทำให้หนุ่ม ๆ อิจฉา มาจบตรงที่เจ้าแม่อีเวนท์ผู้ชายตะลึง แนท เกศริน เชื่อว่าหลายคนน่าจะอิจฉาหนุ่มแว่นเลี้ยงยายกันเป็นแถว (โดยเฉพาะป๋อเสก)
หลังจากรอคอยมานาน น้องเหงี่ยมหรือครูป้ทม์ก็ได้ออกโรงเสียที ในบทเหงี่ยมศรี มณีปัทม์ ดีว่าประจำเลาจ์ ที่มีแฟนคือพี่ติ ผมเลยไปขอให้น้องเหงี่ยมร้องเพลงเตรียมไว้ให้ก่อนจะนำมาแปะลงเป็นเพลงประกอบเพื่อเพิ่มอรรถรส ร่างอวตารของเธอจึงต้องเป็นนักร้องสาว ผมเลือกหญิง รฐา หรือ ญาญ่าหญิงมารับบทนี้ เดิมทีผมตั้งใจให้ปัทม์รับครูแต่พักหลังเธอร้องเพลงบ่อย และไอเดียนี้ก็มาจากน้องปิ้ก กระเรียนน้อย
เปิดตัวละครใหม่เพิ่ม ก็คือ มิสเตอร์ท็อป เหลียง ซึ่งก็คือการหาทางดึง ท็อป จากเพจ Top Ranking มาอยู่ในนิยาย ผมไปนึกถึงหนังของอาหลอง ฉลอง ภักดีวิจิตร ที่เอานักแสดงชาวต่างชาติมาแสดงด้วย แล้วพากษ์ภาษาไทยทับลงไปเลย มันดูเป็นอินเตอร์ขึ้น ดังนั้นมันน่าจะมีตัวร้ายเป็นมาเฟียจากต่างประเทศด้วย ท็อป จึงได้ปรากฏตัวเสียที ในบทนี้ ร่างอวตารเขาผมเลือกเหลียงเจียฮุย มาเป็น ท็อป เหลียง มาเฟียจีน
นั่นช่วยให้การที่ผมมีตัวละครเป็นคนต่างชาติด้วย จะทำให้ผมสามารถใส่ตัวละครอื่น ๆ เข้ามาได้อีก โดยหันไปใช้ร่างอวตารที่อินเตอร์ขึ้น และเพิ่มทางเล่นกับพล็อตของเรื่องออกไปได้ไกลขึ้นอีก
น้องเย็น ลูกสาวของพี่มูฟวี่ ได้ร่วมแสดงในตอนนี้ ในบทแมวของอ๊อด พากินด้วยครับ (โปรโมทนิดนึง)
มาถึงกลุ่มคนลึกลับ ผมยังไม่เปิดเผยตัว ก็ทายกันไปก่อนว่าใครจะมารับบทในกลุ่มคนลึกลับนี้บ้าง ส่วนจะเปิดเผยตัวเมื่อไรก็ต้องติดตามอ่านกันต่อไปนะ
อยากจะบอกว่า ผมพยายามเก็บเอาบรรยากาศหนังไทยทุกแนวมาใส่ไว้ในนิยายเรื่องนี้ เพิ่มความซับซ้อนให้แก่พล็อตเรื่อง และเติมความลึกให้แก่ตัวละครทุกตัวซึ่งจะมีความขัดแย้งในบางเรื่อง อันจะนำไปสู่ปมดรามาซึ่งช่วยให้ผมสามารถสร้างเส้นเรื่อง และเกลี่ยบทให้พวกเขาเป็นที่จดจำของคนอ่านมากน้อยตามแต่ความสำคัญของตัวละครครับ
หวังว่าจะสนุกกับนิยายในตอนนี้นะครับ พบกันใหม่ในสัปดาห์ถัดไปครับ
มูฟวี่ เมืองกรุง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา