29 มี.ค. 2020 เวลา 10:48 • ประวัติศาสตร์
อายุ 23 กับ ความฝันที่เปลี่ยนไป
29 มีนาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของผมเองครับ ซึ่งตอนนี้ผมก็มีอายุครบ 23 ปี บริบูรณ์พอดี ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าฝันคนหนึ่งที่มี Passion อันเเรงกล้ามากๆ กับความฝันของตัวเอง
เเต่เมื่อมองย้อนกลับไปตลอด 23 ปี ที่ผ่านมา ผมพบว่าความฝันของผมนั้นเปลี่ยนไปหลายอย่างมาก บางสิ่งที่ฝันว่าอยากจะเป็น อยู่ๆก็ไม่อยากเป็นเเล้ว บางอย่างที่ฝันว่าอยากจะได้มาก็ทำไม่ได้ หรือ บางครั้งเมื่อทำความฝันนั้นสำเร็จเเล้วกลับรู้สึกเฉยๆกับมันซะอย่างนั้น เเต่ก็มีความฝันหลายอย่างที่ทำสำเร็จเเละยังภูมิใจกับมันจนถึงวันนี้ รวมถึงมีความฝันครั้งใหม่ที่กำลังพยายามไขว่คว้ามันมาให้ได้
วันนี้ผมจึงอยากจะมาเล่าเส้นทางความฝันของผมตั้งเเต่เด็กจนถึงปัจจุบันให้เพื่อนๆฟังกันครับ
- อยากเป็นทหาร
ตั้งเเต่ผมจำความได้ น่าจะอายุราวๆ 4-5 ขวบ ความฝันเเรกๆของผมก็คือการอยากเป็นทหาร ซึ่งคงไม่ต่างกับเด็กๆ ทั่วไปในยุคนั้น ที่ส่วนใหญ่ก็อยากเป็นทหารตำรวจกัน ผมบ้าถึงขนาดใส่ชุดทหารทุกวัน เเละถือปืน M-16 เด็กเล่นไปทุกที่ ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าความฝันนี้มันหายไปตอนไหน เเละที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อโตขึ้นผมกลายเป็นคนที่ไม่อยากเป็นทหารเอามากๆ ถึงขนาดสมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหารเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้ารับเกณฑ์โดยเฉพาะเลยด้วยซ้ำ
- นักกีฬาเทควันโดทีมชาติ
นี่เป็นความฝันที่อยู่กับผมมามากกว่า 1 ทศวรรษ เลยละ ผมจำได้ว่าผมรู้จักกีฬาเทควันโดตอนอายุ 6 ขวบ ตอนนั้นผมอยู่อนุบาล 3 ผมเห็นกีฬาชนิดนี้ทางทีวี เห็นว่าชุดมันเท่ดี เเละด้วยความที่ตัวเองชอบการต่อสู้เป็นทุนเดิมอยู่เเล้วผมจึงรู้สึกหลงไหลกีฬาชนิดนี้มากๆ
1
เเต่กว่าผมจะได้เรียนเทควันโด ผมต้องรอคอยถึง 3 ปี เนื่องจากในเวลานั้นผมไม่รู้ว่าโรงเรียนสอนเทควันโดนั้นเปิดสอนกันที่ไหน จนกระทั่งตอนผมอายุ 9 ขวบ น้าสาวที่ทำงานอยู่สถานีวิทยุก็เอาใบปลิวของโรงเรียนสอนเทควันโดมาให้
1
เเล้วถามว่าสนใจเรียนไหม ?
ทันทีที่ผมเห็นไปปลิว ผมก็วิ่งไปอ้อนวอนขออนุญาตเเม่อยู่หลายวันกว่าจะได้ไปเรียน จนสุดท้ายเเม่ก็อนุญาตให้ผมเรียนจนได้ ตอนนั้นผมเข้าไปเรียนกับน้องชาย 2 คน
1
เเละความฝันวันเเรกที่ผมก้าวเข้าไปเรียน ก็คือ การเป็นนักกีฬาเทควันโด “ทีมชาติ” ให้ได้ ผมตั้งใจฝึกซ้อมมากๆ นอกจากซ้อมที่โรงเรียนเเล้วผมยังกลับมาซ้อมที่บ้านอีกด้วย
อีกทั้งระยะทางระหว่างบ้านผมกับโรงเรียนเทควันโดมันก็ไกลเอามากๆ ผมต้องเดินทางข้ามจังหวัด สงขลา-ปัตตานี เพื่อไปซ้อมในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นระยะทางไป-กลับรวมถึง 60 กิโลเมตร ใช้เวลารวมประมาณ 2 ชั่วโมง
ปล.คนข้างๆไม่ใช่น้องชายผมนะครับ เเต่เป็นเพื่อนในโรงเรียนเดียวกัน
หลังจากเรียนได้ 1 ปี ผมก็เข้าร่วมการเเข่งขันในระดับสโมสร ที่จังหวัดสงขลา เเละผมมั่นใจมากๆ ว่าผมจะได้เหรียญทองในครั้งนี้
เเต่ทันทีที่ผมก้าวลงสนามผมรู้เลยว่ามันไม่เหมือนตอนซ้อม ผมหูอื้อไปหมด มันตื่นเต้นมากๆ ผมทำอะไรไม่ถูก เตะไม่ออก จนสุดท้ายผมเเพ้มาเลเซียไปด้วยคะเเนน 3-0 ตกรอบเเรกเเบบไม่ได้เหรียญอะไรกลับมาเลย
ผมต้องรอชัยชนะเเรกของตัวเองจนถึงการเเข่งขันครั้งที่ 3 ที่จังหวัดปัตตานี ตอนนั้นผมอายุ 11 ปี ซึ่งครั้งนั้นผมเริ่มชินสนามเเล้ว เเละการเเข่งขันครั้งนี้ผมก็คว้าเหรียญทองมาได้สำเร็จ เเละหลังจากนั้นผมก็ไล่หวาดเหรียญจากการเเข่งขันมาเรื่อยๆ
เเต่เส้นทางการเป็นนักกีฬานั้นบอกเลยว่ามันไม่ง่าย เพราะในช่วงที่ผมอายุ 13 ปี ผมต้องเจอกับความยากลำบากมากๆ เพราะในปีนั้น ผมไม่ชนะเลยเเม้เเต่สนามเดียวจากทั้งหมด 8 สนาม (ถ้าจำไม่ผิด)
เพราะเมื่อเข้าสู่วัยนี้ มันไม่ได้มีเเต่นักกีฬาสมัครเล่นเเล้ว ทุกคนเป็นมืออาชีพเเละเก่งมากๆ ผมจึงต้องซ้อมหนักมากขึ้น ถึงขนาดที่ไปกินนอนซ้อมที่โรงเรียนเทควันโดในช่วงปิดเทอมเเบบไม่กลับบ้านเลย เเต่ถึงเเม้ว่าผมจะซ้อมหนัก เเละเอาชนะคู่เเข่งได้หลังจากที่เเพ้มาตลอด 1 ปี
เเต่ทว่าผมก็ไม่เคยคว้าเหรียญทองได้เลยเป็นเวลานานมาก ส่วนใหญ่จะได้เเค่เกือบเท่านั้น คือ เข้ารอบชิงชนะเลิศหลายครั้ง เเต่ก็เเพ้ในรอบนั้นได้เพียงเหรียญเงินทุกที
ผมจึงถามตัวเองว่า หรือ เราต้องไปซ้อมในโรงเรียนที่เก่งกว่านี้ ?
1
หลังจากที่ผมตอบคำถามตัวเองได้ ผมก็เริ่มไปหาโรงเรียนเก่งๆ ในเมือง เพื่อพัฒนาฝีมือของตัวเอง โดยมีพ่อเเม่คอยซัพพอตเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ตลอด
คือ ต้องบอกว่ากีฬาเทควันโดเป็นกีฬาที่ต้องใช้เงินเยอะมากๆ พูดง่ายๆคือ ถ้าใครจะเรียนฐานะทางบ้านต้องดีประมาณนึง เเต่ไม่ถึงกับต้องรวยมาก
เมื่อผมเข้ามาฝึกซ้อมในโรงเรียนที่มีมาตรฐานสูงขึ้น บอกตามตรงว่าการซ้อมมันโหดมาก ซ้อมหนักจนกินข้าวไม่ลง ซ้อมหนักจนต้องไปร้องให้ในห้องน้ำด้วยความเหนื่อย เเต่ผมไม่เคยถอดใจเลยสักครั้ง เพราะตอนนั้นความฝันผมมันเเรงกล้ามากกว่า
หลังจากที่ผมได้ฝึกซ้อมในมาตรฐานที่สูงขึ้น ผมรู้เลยว่าตัวเองเก่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลย คือ ผมเตะได้เร็วขึ้น หนักขึ้น การเคลื่อนที่นั้นคล่องตัวมากๆ ผมสามารถทำทุกอย่างในสนามได้ดั่งใจคิด ผมไล่กวาดเหรียญทองมาเรื่อยๆหลายสนาม
1
จนเมื่ออายุครบ 15 ปี ผมก็ได้ก้าวขึ้นไปติดเป็นนักกีฬาจังหวัด เเละไปคัดตัวเพื่อไปเเข่งในกีฬาระดับประเทศ
เเต่บอกเลยว่าปีเเรกที่ผมเข้าไป ผมตกรอบหมดทุกทัวร์นาเมนต์การเเข่งขัน ทั้งกีฬานักเรียนนักศึกษาเเห่งชาติ กีฬาเยาวชนเเห่งชาติ เเละกีฬาเเห่งชาติ
ผมกลับมาฝึกซ้อมใหม่ เเละหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมพลาดการเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของกีฬาระดับประเทศ
ถึงเเม้ว่าผมจะเข้ามาเล่นในกีฬาระดับประเทศได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคว้าเหรียญในการเเข่งขันระดับนี้ อย่าว่าเเต่จะเอาเหรียญทองเลย เเค่ติดเหรียญทองเเดงยังยาก เพราะเเต่ละคนที่มานั้น มีเเต่เเชมป์ของเเต่ละภาคทั้งนั้น ให้นึกภาพการเเข่งขันฟุตบอลถ้วยยูฟ่าเเชมเปียนส์ลีกที่เอาเเชมป์ของเเต่ละประเทศในยุโรปมาเเข่งกัน นี่ก็ใช้หลักการเดียวกันเลยครับ
ดังนั้นการจะคว้าเเชมป์ระดับนี้ได้มันเป็นอะไรที่หินมากๆ ผมพยายามอยู่หลายปี ผิดหวังมาหลายครั้ง จนมันเริ่มเข้าใกล้มากเรื่อยๆ คือ เข้าไปได้เหรียญทองเเดงบ้าง หลุดเข้าไปในรอบชิงชนะเลิศเเต่ก็เเพ้ในรอบชิงได้เพียงเหรียญเงินบ้าง
เเต่ก็มีเพียง 2 ครั้งเท่านั้นที่ผมคว้าเหรียญทองในระดับนี้ได้ คือในรายการ กีฬาเยาวชนเเห่งชาติ เเละกีฬาเเห่งชาติ
ซึ่งคนที่ได้อันดับ 1 เเละ 2 จากรายการนี้จะได้สิทธิ์เข้าไปเก็บตัวในเเคมป์ทีมชาติ เพื่อคัดเลือกเข้าไปเเข่งขันในระดับนานาชาติ เช่น รายการระดับนานาชาติที่เเต่ละประเทศเป็นเจ้าภาพ กีฬาซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ ชิงเเชมป์เอเชีย ชิงเเชมป์โลก เเละ โอลิมปิก
1
เเต่ผมไม่เคยได้ไปถึงในระดับนั้นเลย ผมก้าวเข้ามาสูงสุดได้เพียงการเข้ามาเก็บตัวในเเคมป์ทีมชาติเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่า เเม้เราจะพยายามมากเเค่ไหน ก็ใช่ว่าเราจะเป็นคนที่เก่งที่สุดได้ เพราะมันมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ตำเเหน่งนั้น เเละคนๆนั้นเขาก็มีอะไรที่เราไม่สามารถทำได้เช่นกัน
สรุปคือ ผมไม่สามารถไปถึงความฝันที่ยาวนานตลอด 10 ปีได้ เเต่สิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ได้มีเพียงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เเต่คือระหว่างทางที่เราก้าวไปนั้นมันให้อะไรเราบ้าง
การเล่นกีฬานั้นให้อะไรผมหลายอย่าง ทั้งเรื่องชื่อเสียงจากการที่ผมได้เป็นนักกีฬาดีเด่น วิ่งคบเพลิงประจำโรงเรียนเเละมหาวิทยาลัยทุกปี ได้เงินทองจากรางวัลเเละวิชาความรู้ที่ผมนำไปเปิดโรงเรียนสอน มิตรภาพเเละเพื่อนฝูงทั่วประเทศ
ให้การศึกษากับผม เนื่องจากผมจะได้เข้าเรียนในระดับมัธยมเเละมหาวิทยาลัยด้วยโควต้านักกีฬาโดยไม่ต้องไปสอบเเข่งกับใคร มีความสามารถพิเศษติดตัวจนได้รับรางวัลเดือนมหาวิทยาลัย
เเละสุดท้ายคือ ปรัชญาเเละเเนวทางการดำเนินชีวิตเเบบนักกีฬาที่ติดตัวผมมา เเละได้นำไปใช้ทั้งในการเรียนเเละการทำงาน จนทำให้ผมดูเหมือนจะโตเเละมีความสามารถมากกว่าคนอื่นในรุ่นเดียวกัน...
เรื่องราวความฝันของผมยังไม่จบ โปรดติดตามเส้นทางความฝันของผมได้ใหม่ ในตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ครับ...
1
โฆษณา