1 เม.ย. 2020 เวลา 10:45 • ประวัติศาสตร์
อายุ 23 กับ ความฝันที่เปลี่ยนไป ตอน เส้นทางการเป็นโค้ชเทควันโดระดับประเทศ
ต่อจากบทความที่เเล้ว ผมได้เล่าถึงเส้นทางความฝันของผมตลอดอายุ 23 ปี ซึ่ง ผ่านไปเเล้ว 2 ความฝัน นั่นคือ อยากเป็นทหารในตอนเด็ก ที่เมื่อโตมากลับไม่อยากเป็นทหารซะอย่างนั้น เเละ ความฝันที่อยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ ที่ผมไปได้ไกลที่สุดเพียงเเค่การคว้าเเชมป์ระดับประเทศเเละได้ไปเข้าเเคมป์เก็บตัวทีมชาติ
เเละในวันนี้ผมจะมาเล่าต่อว่า ความฝันต่อไปของผมคืออะไร เเล้วผมจะสามารถคว้ามันมาครองได้ไหม เรามาลุ้นกันไปพร้อมกันครับ
- ความฝันอยากเป็นโค้ชกีฬาเทควันโดระดับประเทศ
จริงๆ ในช่วงที่ผมเป็นนักกีฬา ผมก็ได้เริ่มฝึกการเป็นโค้ชไปด้วย โดยผมได้รับโอกาสจากโค้ชของตัวเองในตอนนั้น ในนั่งเป็นโค้ชให้กับรุ่นน้องเวลาลงสนาม ตอนที่ผมยังอายุ 15 ปี
การเป็นโค้ชทำให้ผมได้เห็นมุมมองที่เเตกต่างจากการเป็นนักกีฬาในสนาม คือเราจะเห็นมุมมองของเกมส์ในภาพรวมที่กว้างขึ้น ซึ่งเป็นมุมที่นักกีฬาในสนามจะไม่เห็น เเละนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมนักกีฬาเก่งๆ ระดับโลก ถึงยังต้องมี “โค้ช”
ผมเริ่มจากการฝึกหัดเป็นครูสอนเทควันโดเเละโค้ชในสนามเเข่งในสังกัดของโรงเรียนที่ตัวเองเริ่มเรียนเทควันโดอยู่โดยไม่รับค้าจ้าง จนเริ่มได้รับค้าจ้างบ้างเดือนละ 2-4 พันบาท
จนเมื่อผมอยู่ ม.5 ก็ได้เข้าไปขอเปิดชมรมสอนเทควันโดในโรงเรียนมัธยมที่ตัวเองเรียนอยู่ โดยเก็บค่าเรียนจากนักเรียนที่มาสมัครเรียนกับผมคนละ 500 บาท/เดือน
ในช่วงนั้นผมมีรายได้จากการสอนเทควันโดอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท/เดือน เเต่เงินก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของผม เพราะเป้าหมายของผมคือ การปั้นนักกีฬาให้ไปถึงระดับประเทศให้ได้
เเต่ด้วยความโรงเรียนที่ผมสอนนั้นเป็นโรงเรียนระดับมัธยม การที่จะเริ่มฝึกเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไป ให้ไปถึงระดับประเทศมันยากมากๆ เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไปว่า เมื่อเข้าสู่วัยนี้ มันมีเเต่นักกีฬามืออาชีพทั้งนั้น
ดังนั้น การจะฝึกเด็กให้ไปสู่ระดับประเทศได้มันต้องฝึกกันตั้งเเต่ 4 ขวบ หรืออย่างมากสุดก็ 8 ขวบ นั่นจึงทำให้ผมไม่สามารถปั้นเด็กที่นี่ไปถึงระดับประเทศได้
หลังจากที่ผมเรียนจบมัธยม 6 เเละเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย ชมรมของผมก็ต้องปิดตัวลงเพราะผมไม่ได้ไปสอนเหมือนเดิม
ซึ่งในขณะที่ผมเรียนในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผมก็ได้เป็นนักกีฬามหาลัยไปเเข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยเเห่งประเทศไทยอยู่ เเละความฝันที่จะปั้นนักกีฬาระดับประเทศก็ยังคงอยู่
ผมจึงไปขอเปิดชมรมในโรงเรียนเเห่งหนึ่งในเมืองปัตตานี ที่มีตั้งเเต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมปลาย เพื่อที่จะได้สามารถปั้นนักกีฬาตั้งเเต่ยังเล็กๆ ได้
เเละสาเหตุที่ผมเข้าไปขอเปิดในโรงเรียนก็เพราะว่า ผมไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ลดความเสี่ยงเพราะไม่ต้องเช่าสถานที่ ไม่ต้องออกงบประมาณอะไร เพราะทางโรงเรียนจะจัดการให้ทั้งหมด
ถามว่าทำไมโรงเรียนต้องมาออกงบประมาณให้ ?
นั่นก็เพราะการมีชมรมเทควันโดอยู่ในโรงเรียนนั้นเป็นจุดขายที่ช่วยดึงดูดให้คนมาสมัครที่โรงเรียนเพิ่มขึ้น อีกอย่างถ้านักเรียนไปเเข่งได้รางวัลโรงเรียนก็ได้ชื่อเสียงอีก
เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในการตลาดของทางโรงเรียน เพราะโรงเรียนส่วนใหญ่จะชอบโปรโมทเเต่ผลงานวิชาการ เเต่ถ้าโรงเรียนที่มีดีด้านกีฬา ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการโปรโมทเเละดึงดูดคนเข้ามาสมัครเรียรเพิ่ม
หลังจากที่ผมเปิดชมรมอย่างเป็นทางการ ปรากฎว่ามีคนมาสมัครน้อยเกินคาด เพราะมีนักเรียนมาสมัครเเค่ 5 คนเท่านั้น ซึ่งผมก็เก็บค่าเรียนคนละ 500 เหมือนเดิม
เเต่ก็เป็นข้อดี เพราะการมีคนน้อยทำให้ผมสามารถฝึกสอนได้อย่างเต็มที่เเละทั่วถึง เเละมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะนักกีฬา 5 คนนี้ ถือว่าเทพมากๆ เพราะไม่ว่าจะไปเเข่งที่ไหน ทุกๆ สนามอย่างน้อยต้องคว้าเหรียญทองได้ 2 คน
เเต่ก็ถือว่าการฝึกเด็กเล็กนั้นยากกว่าการฝึกเด็กโตหลายเท่า คือ มันไม่ต่างอะไรจากการเลี้ยงลูกคนนึงให้หัดพูดหัดเดินเลย
ทั้งการสื่อสาร การใช้ภาษาก็ยากมากๆ (เพราะการเรียนจะต้องใช้คำสั่งภาษาเกาหลี) เรียกว่ามันเหนื่อยสุดๆเลยละ เเต่ถ้าปูพื้นฐานได้เเล้วเด็กเหล่านี้จะโตมาเเข็งเเกร่งมากๆ
หลังจากที่ 5 จอมเตะได้สร้างสื่อเสียงจนดังระเบิด ก็เริ่มมีคนสนใจเข้ามาสมัครเรียนเพิ่มขึ้นมานิดนึง จาก 5 คนเป็น 8 คน ซึ่งผมก็ปั้นเด็กไปเรื่อยๆ พาไปเเข่งทุกสนามในระดับสโมสร
จนวันหนึ่งก็มีเเม่ของเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม บอกว่า “จะขอให้ลูกหยุดเรียนก่อนชั่วคราว” เนื่องจากพ่อของเขาประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากตึก 4 ชั้น จน “นิ้วหัก” ในขณะที่กำลังรับจ้างทาสีอาคาร จึงต้องหยุดทำงานทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายค่าเรียน
เเต่ในใจคือผมไม่อยากให้เด็กคนนี้หยุดเรียน เพราะน้องเก่งมากๆ เรียกได้ว่า มีพรสวรรค์ เลยละ ผมไม่ต้องสอนอะไรมากก็ทำได้เลย เเข่งขันครั้งเเรกก็คว้าเหรียญทองเเล้ว มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่น้องจะเเพ้
ผมจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมจะให้น้องเรียนฟรีจนกว่าพ่อของเขาจะหายดีเเละกลับมาทำงานได้ปกติ มีเงินเมื่อไหร่ค่อยมาจ่ายผมเเล้วกัน”
หลังจากนั้นไม่นาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลบุญที่ผมทำในครั้งนั้นหรือเปล่า มีนักเรียนมาสมัครกับผมเกือบทุกวัน รวมเเล้วประมาณ 30 คน ทำให้รายได้ผมจาก 2,500 บาก เพิ่มขึ้นมาเป็น 15,000 บาทอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งจะเรียนอยู่ ปี 1 เท่านั้นเอง
ผมเริ่มปั้นนักกีฬาไปเรื่อยๆ จากระดับสโมสร ขึ้นไประดับภาคใต้ จนไปถึงระดับประเทศภายใน 2 ปี ผมได้นำนักกีฬาที่เก่งที่สุดในโรงเรียน 4 คน ขึ้นไปเเข่งในรายการชิงเเชมป์ประเทศไทย ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
เเต่ในครั้งนั้น นักกีฬาของผมก็ไปได้ไกลสุดเพียงเเค่รอบ 8 คนสุดท้าย พลาดเหรียญทองเเดงไปอย่างน่าเสียดาย
เเต่นี่เป็นเพียงครั้งเเรกของการเเข่งระดับประเทศของเด็กๆ เเละการเป็นโค้ชระดับประเทศ (ที่อายุน้อยที่สุด) ของผมเท่านั้น
ถึงเเม้จะไม่ได้รางวัลอะไรติดมือกลับมา เเต่อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์มากมายที่ผมเเละเด็กๆได้เก็บเกี่ยวเพื่อนำกลับไปเเก้ไขเเละปรับเเผนการซ้อมเพื่อมาสู้ใหม่ในปีหน้า
ซึ่งช่วงเวลานั้นผมก็ปรับเเผนการซ้อมให้เข้มข้นมากขึ้น ลงเเข่งขันในระดับสโมสรถี่มากขึ้น โดยในช่วงปิดเทอมของเด็กๆ ผมถึงขนาดพานักกีฬาที่จะไปเเข่งขันในรายการชิงชนะเลิศเเห่งประเทศไทยในปีต่อไป มาฝึกซ้อมเเบบกินนอนกับผมที่หอหักส่วนตัวถึง 2 เดือนเลยทีเดียว
ซึ่งช่วงเช้าผมจะพาเด็กๆไปวิ่ง ซ้อมเช้า สายๆ ผมก็จะไปเรียนตามปกติ เมื่อถึงเวลาเที่ยง ผมก็ต้องกลับมาพาพวกเขาไปทานข้าว ส่วนช่วงบ่ายที่เป็นคาบเรียนว่าง ผมก็จะมาซ้อมให้เด็กๆ ต่อ โดยผมจะจัดตารางการซ้อมไม่ให้ชนกับเวลาเรียนของผม
เรียกได้ว่านักกีฬา 4 คนนี้ เหมือนเป็นลูกของผมเลย
เเละในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง ผมในวัย 19 ปี พานักกีฬา 4 คน อายุ 6 ขวบ 2 คน 10 ขวบ 2 คน เดินทางจากจังหวัดปัตตานีขึ้นเครื่องบินมาลงกรุงเทพฯ ด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้ปกครองของเด็กๆตามมาด้วย
ซึ่งในครั้งนี้ทุกคนพร้อมลงสนามด้วยความมั่นใจ เเละค่อยๆฝ่าฝันเอาชนะคู่เเข่งไปได้ทีละรอบ โดย มี 2 คนที่ตกรอบ 8 คน สุดท้าย เเละอีก 1 คน ที่เเพ้ในรอบรองชนะเลิศได้เพียงเหรียญทองเเดงไปครอง ส่วนอีก 1 คน สามารถทะลุเข้าไปในรอบชิงชนะเลิศได้
การเเข่งขันรอบชิงชนะเลิศเริ่มขึ้น การเเข่งขันเต็มไปด้วยความดุเดือดคู่คี่สูสี ต่างฝ่ายต่างดวลเพลงเตะกันอย่างสุดฝีมือเเละพลัดกันทำคะเเนนนำ ทั้งสองฝ่ายถือว่าสู้กันด้วยศักศรีของ 2 นักกีฬา ที่เก่งที่สุดในประเทศ
จนสุดท้ายนักกีฬาของผมก็สามารถเอาชนะคู่เเข่งเเละคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ
เเละนั่นก็เป็นความสำเร็จตามความฝันของผมด้วยเช่นกัน นั่นคือ การปลุกปั้นนักกีฬาคนหนึ่งตั้งเเต่เล็กจนขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของประเทศได้เเละผมก็กลายเป็นโค้ชที่อายุน้อยที่สุดที่ทำมันได้สำเร็จ
หลังจากผมพาทุกคนไปเลี้ยงฉลองกันอย่างมีความสุข พวกเราก็กลับจังหวัดปัตตานีด้วยความภาคภูมิใจ เพราะนี่เป็นการคว้าเหรียญทองเหรียญเเรกในรอบ 5 ปี ของจังหวัดปัตตานี เเละเป็นความภาคภูมิใจของผมมาจนถึงวันนี้
เเต่เส้นทางความฝันของผมยังไม่จบ เพราะหลังจากที่ผมอยู่กับวงการกีฬามาถึง 12 ปี จนใครๆก็คิดว่าผมต้องเอาดีทางด้านนี้ เเละเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนเทควันโด ที่ใครหลายคนต่างก็พูดว่าผมมีหน้าที่การงานที่มั่นคงเเล้วตั้งเเต่วัยเรียน
เเต่ใครจะไปคิด ว่าอยู่ๆ ผมก็วางมือจากวงการนี้ เเล้วหันมาสนใจ “ธุรกิจ Start up” ซะอย่างนั้น
เเล้วเส้นทางการสร้าง ธุรกิจ Start up ของผมจะเป็นอย่างไรต่อ จะต้องพบเจอกับอุปสรรคอะไรบ้าง โปรดติดตามตอนต่อไปครับ...
โฆษณา