2 เม.ย. 2020 เวลา 04:57 • กีฬา
ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ คือกองกลางที่เก่งที่สุดในโลก และเขาต้องใจพลังใจทั้งหมดเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ หลังจากเครื่องบินตกที่มิวนิค นี่คือเรื่องราวของตำนานที่อยู่ในความทรงจำของแฟนแมนฯยูไนเต็ดเสมอมา
แฟนแมนฯยูไนเต็ดหลายคน คงเคยได้ยินชื่อของดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ แต่คงนึกไม่ออกว่าเขาเก่งขนาดไหน ซึ่งคนที่จะเล่าได้ดีที่สุดคือวิลฟ์ แม็คกินเนสส์ อดีตเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงของเอ็ดเวิร์ดส์เอง ที่อธิบายว่า
"เอาส่วนที่ดีที่สุดของรอย คีน, ไบรอัน ร็อบสัน, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เชส ฟาเบรกาส มารวมกัน จากนั้นตัดเอาความบ้าบิ่น กับอารมณ์ร้อนออกไป นั่นล่ะคือดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์"
[ นี่คือซีรีส์โศกนาฏกรรมมิวนิค Part 5 เป็นตอนของนักเตะคนหนึ่งที่เคยถูกยกย่องว่าเก่งที่สุดในโลก '"ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์" ]
แกลดสโตน เอ็ดเวิร์ดส์ ที่ทำงานเป็นช่างตีเหล็ก กับแอนนี่ อาชีพแม่บ้าน ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสองคน คนโตเป็นลูกชายชื่อดันแคน ส่วนคนเล็กคือลูกสาวชื่อแคโรล
แต่แคโรลมีชีวิตแค่ 14 สัปดาห์เท่านั้นก็เสียชีวิต ทำให้ดันแคนกลายเป็นลูกคนเดียวของที่บ้าน และเขาคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวเอ็ดเวิร์ดส์
ดันแคน เกิดที่เมืองดั๊ดลีย์ ทางภูมิภาคเวสต์มิดแลนด์ ของอังกฤษ โดยสโมสรที่ใกล้บ้านเขามากที่สุดคือวูล์ฟแฮมป์ตัน ระยะห่างจากบ้านของเขากับสนามโมลินิวซ์ ห่างไม่ถึง 10 กิโลเมตร ซึ่งคุณพ่อของดันแคน ก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวูล์ฟส์ และอยากให้ลูกชายได้เล่นกับวูล์ฟส์สักครั้งในอนาคต
ดันแคนโตขึ้นมาเรื่อยๆและรักในกีฬาฟุตบอล ยิ่งเวลาผ่านไป คนก็เห็นความเก่งของดันแคนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนอายุ 15 ปี เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นเด็กอัจฉริยะที่สุดในรอบยี่สิบปี
จากนั้น เมื่อถึงอายุ 16 ก็ได้เวลาที่เขาต้องเลือกว่าจะย้ายไปอยู่กับสโมสรอาชีพทีมไหน ซึ่งวูล์ฟส์ที่เป็นทีมใหญ่ในอังกฤษขณะนั้น มั่นใจว่าจะได้ตัวแน่ๆ เพราะคุณพ่อของดันแคนเป็นแฟนวูล์ฟส์ ดังนั้นก็ไม่แปลกถ้าลูกชายจะเลือกทีมที่คุณพ่อชอบ แถมสโมสรก็อยู่ใกล้บ้านอีกต่างหาก เขาไม่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอะไรเลย
แต่ก็มีสโมสรอื่นๆ ที่ให้ความสนใจเช่นกัน เช่นโบลตัน วันเดอเรอร์ส ที่หัวหน้าแมวมองของสโมสร พาดันแคนไปคุย Exclusive กับสตาร์เบอร์หนึ่งของทีมชื่อแนท ลอฟต์เฮาส์ แถมผู้บริหารยังพาเดินทัวร์สนามอีกต่างหาก
จริงๆยังมี เวสต์บรอมวิช และแอสตัน วิลล่า ที่ยื่นข้อเสนอให้ดันแคนด้วย แต่เขาไม่ตกลงกับที่ไหนเลย สาเหตุเพราะเขารอแค่สโมสรเดียวเท่านั้น และเป็นทีมที่เขาอยากเล่นด้วยมากที่สุด นั่นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
"ดันแคนเคยบอกว่า แมนฯยูไนเต็ดคือสโมสรอันดับหนึ่งในประเทศ และถ้ามีโอกาสเขาจะย้ายไปโอลด์แทรฟฟอร์ดแน่นอน" คุณแม่แอนนี่เล่า
1
และในที่สุดความสามารถของดันแคน ก็ไปเข้าหูแมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมปีศาจแดง ซึ่งเขาก็ทึ่งที่ไอ้เด็กคนนี้ใจอยากมาอยู่แมนฯยูไนเต็ด แม้จะมีทีมอื่นรุมจีบเพียบ จึงนัดพูดคุยกันตัวต่อตัว และเมื่อเจอกันดันแคนก็บอกบัสบี้ว่า "นอกจากยูไนเต็ด ผมไม่อยากเล่นให้ทีมไหนทั้งนั้น"
นั่นทำให้แมนฯยูไนเต็ดเซ็นสัญญาคว้าตัวดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ในเดือนกรกฎาคม 1952 โดยวันที่ดันแคนเป็นนักฟุตบอลอาชีพ คุณแม่แอนนี่ ถึงกับร้องไห้ยินดีกับความสำเร็จของลูก
ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นเด็กที่จริงจังกับการพัฒนาตัวเองมาก ในช่วงคืนวันเสาร์ ปกตินักเตะจากทีมเยาวชนจะรวมตัวกันดื่มเบียร์ เพราะในวันอาทิตย์ทุกคนไม่ต้องซ้อม แต่ดันแคนเขาไปผับกับเพื่อนด้วย แต่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ นั่นเพราะเขารู้สึกว่า แอลกอฮอล์จะส่งผลต่อเกมการเล่นในสนาม
การไม่ดื่มเหล้า ทำให้เขาไม่เจอความวุ่นวายอื่นๆด้วย "เวลาพวกเราออกไปดื่มกัน ก็มีเหตุการณ์ชกต่อยกับคนอื่นตลอดเวลา แต่ผมไม่เคยเห็นดันแคนชกกับใครเลย เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจเรื่องไร้สาระแบบนี้ เขาไม่ทำอะไรโง่ๆให้ตัวเองต้องลำบาก" วิลฟ์ แม็กกินเนสเล่า
ตามปกติแมตต์ บัสบี้ จะไม่อยากส่งดาวรุ่งลงสนามเร็วเกินไปนัก เพราะเด็กๆควรเริ่มต้นจากทีมเยาวชนไปก่อน พออายุ 18-19 ก็ค่อยขยับมาเล่นทีมชุดใหญ่ เป็นขั้นเป็นตอนไป แต่กรณีของดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์นั้นไม่เหมือนกัน เขายังเด็กมากก็จริง แต่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่มาก ฝีเท้ายอดเยี่ยม ทัศนคติถูกต้อง
ศุกร์ที่ 3 เมษายน 1953 บัสบี้เรียกดันแคนเข้าไปที่ออฟฟิศ เมื่อมาถึงบัสบี้บอกให้ดันแคนนั่งลง ซึ่งตอนแรกเขาก็กลัวว่าตัวเองไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า แต่สุดท้ายมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
1
"พรุ่งนี้นายจะได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ในเกมเจอคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้"
ดันแคนช็อกมาก ความฝันของเขามาเร็วเหลือเกิน เขาเพิ่งย้ายมาแมนฯยูไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำก็จะได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่แล้วหรือนี่
1
ดังนั้นพอออกจากห้องทำงานของบัสบี้ เขารีบโทรไปหาพ่อแม่แล้วบอกว่าจะได้ลงในเกมพรุ่งนี้ ซึ่งแกลดสโตน กับแอนนี่ ละทิ้งกิจกรรมทุกอย่างเพื่อมาดูลูกชายที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งนัดนี้ ดันแคน ได้ออกสตาร์ตเป็น 11 ตัวจริง ด้วยวัย 16 ปีกับอีก 185 วัน เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด ที่ได้ลงสนามในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกอังกฤษ
จากนั้นมาก็ไม่มีใครหยุดดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ได้อีกต่อไป เขาออกสตาร์ตเป็นตัวจริงต่อเนื่อง และตอนอายุ 17 ปีเต็ม ก็ได้สัญญาอาชีพ ค่าจ้างสัปดาห์ละ 15 ปอนด์
ตำแหน่งที่ดันแคนเล่นคือ Left Half ในระบบการเล่นดั้งเดิมของฟุตบอลอังกฤษ คือ 3-2-2-3 ตำแหน่ง Left Half คือมิดฟิลด์ตัวรับด้านซ้าย ว่าง่ายๆคือตำแหน่งการเล่นของดันแคนในยุคปัจจุบันก็ลักษณะคล้ายๆ ปาทริก วิเอร่า นั่นเอง
จุดเด่นของดันแคน คือเขาแข็งแกร่งมาก ร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า คือตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ คุณต้องปะทะกับคู่แข่งทั้งเกม ซึ่งแม้ดันแคนจะอายุยังไม่ยี่สิบ แต่ไม่มีใครหน้าไหนเอาเขาลง นอกจากนั้นยังมีสปีดต้นที่รวดเร็วและมีการจ่ายบอลที่แม่นยำอีกต่างหาก คือครบเครื่องมาก
เพื่อนร่วมทีม และสื่อมวลชน จึงตั้งฉายาให้เขาว่า "The Tank" (ไอ้รถถัง) ทั้งๆที่ตัวดันแคนอายุแค่ 17 ปีเท่านั้น
ในเกมที่แมนฯยูไนเต็ดชนะสเปอร์ส 2-1 เกมนี้ดันแคนยิงสองลูก โดยประตูที่เกิดขึ้นในนัดนี้คือความมหัศจรรย์บนพื้นหญ้า โดยวิลฟ์ แม็คกินเนส ที่ยังจำเหตุการณ์ได้ดีเล่าให้ฟังว่า
"บ๊อบบี้ สมิธ กองหน้าของสเปอร์ส หลุดแผงหลังมาแล้ว และถ้าเขาผ่านดันแคนไปได้ ก็คงได้ยิงโล่งๆ แต่ดันแคนสกัดบอลได้อย่างดุดันจนบ็อบบี้ สมิธกลิ้งไปเลย จากนั้น เขาจ่ายบอลยาว 50 หลา ให้เดวิด เพ็กก์ ก่อนเพ็กก์จะส่งไปยังแดนหน้าให้บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ซึ่งจังหวะนั้นเอง ดันแคนจากที่เพิ่งสกัดบอลในเขตโทษตัวเอง เขาสปรินท์ 70 หลา ก่อนที่ชาร์ลตันจะดึงจังหวะเล็กน้อย แล้วพอเห็นดันแคนเติมขึ้นมา ก็จ่ายบอลให้ตรงกลาง ดันแคนได้บอล ล็อกหลบสามผู้เล่นสเปอร์ส ก่อนยิงไกล 30 หลาเสียบตาข่ายอย่างมหัศจรรย์ ทำให้คนทั้งสนามลุกขึ้นโห่ร้องแล้วเรียกชื่อ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ยิ่งใหญ่"
ทุกคนในอังกฤษยอมรับว่า ไม่มีกองกลางคนไหน จะเก่งไปกว่าดันแคนอีกแล้ว และนี่เขาอายุแค่นี้ ยังมีเวลาพัฒนาได้อีกเยอะมาก ใครๆก็อยากเห็นว่า ดันแคนจะไปได้ไกลขนาดไหน
ดันแคน เป็นตัวจริงของแมนฯยูไนเต็ดตั้งแต่อายุ 17 และในที่สุดเขาก็พาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สองสมัยซ้อนในฤดูกาล 1955-56 และ 1956-57
ขณะที่กับทีมชาติอังกฤษ เขาติดทีมสิงโตคำรามครั้งแรกด้วยอายุ 18 ปีกับอีก 183 วัน เป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่สถิตินี้จะโดนไมเคิล โอเว่นทำลายลงในปี 1998
1
ดันแคนลงเล่นทุกเกมให้ทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก 1958 รอบคัดเลือก และพาอังกฤษเข้ารอบสุดท้ายได้อย่างสวยหรู และก็แน่นอนว่าเมื่อฟุตบอลโลก 1958 ที่สวีเดนมาถึง เขาจะติดทีมเข้าร่วมแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน
ด้วยฝีเท้าที่หาตัวจับได้ยาก ทำให้ในการประกาศรางวัลบัลลงดอร์ปี 1957 ดันแคนติดเข้ามาเป็นอันดับ 3 โดยพ่ายแพ้ให้กับอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ จากเรอัล มาดริด ที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ แต่ใครๆก็เชื่อว่าอีกไม่นาน ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ จะไปถึงบัลลงดอร์ได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่ทำให้แฟนๆแมนฯยูไนเต็ดรักเขามากๆ นั่นเพราะดันแคนเป็นอัจฉริยะของจริง ฝีเท้าในสนามไม่ต้องพูดถึง นอกจากนั้นยังมีทัศนคติที่ดีมาก เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ มีวินัยในการเล่น ไม่ออกนอกลู่นอกทาง มีความรับผิดชอบสูงมากเกินกว่าเด็กทั่วๆไป และเหตุผลข้อสำคัญที่สุด คือดันแคนเป็นแฟนแมนฯยูไนเต็ด เขาปฏิเสธทุกสโมสรเพื่อมาอยู่โอลด์แทรฟฟอร์ด คือให้ใจกันตั้งแต่ยังไม่ได้ย้ายมาด้วยซ้ำ
ส่วนเรื่องเงินทอง เขาไม่ได้แคร์มากมาย แค่มีพออยู่พอกินเขาก็โอเค แม้จะเป็นสตาร์ระดับโลก แต่เอ็ดเวิร์ดส์ ยังคงติดดินมาก เขาได้ค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นสัปดาห์ละ 17 ปอนด์
เงินที่ได้ เขาส่งให้พ่อแม่แทบทั้งหมด ส่วนตัวเองอาศัยอยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ ที่สโมสรจัดหาให้ บ้านของมิสซิสดอร์แมน ซึ่งดันแคนก็ไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไร เขาก็มีความสุขดีกับที่นี่
ลักษณะนิสัยส่วนตัวนอกสนามของดันแคน จะเป็นคนขี้อาย ถึงเขาจะเป็นคนหน้าตาดี และเป็นสตาร์ดังระดับชาติ แต่เขาไม่กล้าเลยที่จะคุยกับผู้หญิง
ตอนไปเที่ยวผับกัน เดวิด เพ็กก์ แต่งตัวดี หล่อเหลามาก มีสาวเข้าหาตลอด ส่วนทอมมี่ เทย์เลอร์ กับ แจ๊กกี้ แบลนช์ฟลาเวอร์ ก็แฮปปี้เสมอในร้านเหล้า แต่ดันแคนจะนั่งเงียบๆ เหมือนแค่ไปนั่งกับเพื่อนเฉยๆมากกว่า
ครั้งหนึ่งเอ็ดเวิร์ดส์ นัดกินกาแฟกับเพื่อนสนิทชื่อเดฟ โดยบนโต๊ะนอกจากเดฟกับแฟนสาวชื่อแพทแล้ว ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
เธอมีชื่อว่า มอลลี่ ลีช เป็นเพื่อนของแพท คือมอลลี่ไม่ใช่คนที่สวยเหมือนนางแบบ แต่เธอมีความน่ารักกำลังพอดี มอลลี่เป็นคนมีเสน่ห์ มีผมสีบรูเนตต์ และยิ้มเก่งมาก ซึ่งดันแคนรู้สึกปิ๊งทันที
พอมาคุยกัน มอลลี่เป็นคนสบายๆ ง่ายๆ เธออายุ 19 ทำงานเป็นเลขานุการอยู่ที่โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งแรกๆดันแคนก็เขินอายไม่รู้จะคุยอะไร แต่กลายเป็นมอลลี่เองที่เอาความอายของดันแคนมาล้อซะเอง ไปๆมาๆ ทั้งสองคนสนิทกันเรื่อยๆ โดยสิ่งที่มอลลี่เหนือกว่าผู้หญิงคนไหน คือเธอทำให้เขาสบายใจ และเป็นตัวเองอย่างที่สุด เขาไม่ต้องฝืนอะไรเลย
1
ทั้งสองคนเริ่มไปออกเดทกัน ดันแคนชอบดูหนังคาวบอย ส่วนมอลลี่ชอบหนังโรแมนติก คอมเมดี้ โดยเฉพาะเรื่องอะไรก็ตามที่ออเดรย์ เฮปเบิร์นเป็นคนแสดง ซึ่งนักฟุตบอลทื่อๆอย่างดันแคนจะไปชอบหนังรักได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่เคยบ่น เธออยากทำอะไร เขาก็ทำด้วย
สิ่งที่ทั้งสองคนชอบทำด้วยกันมากที่สุด คือจะไปนั่งดูเครื่องบินขึ้นและลง ที่สนามบินริงเวย์ตอนกลางคืน มอลลี่บอกกับดันแคนว่า สักวันเธออยากจะแปลงร่างเป็นเหมือนเครื่องบินเหล่านี้ ได้บินไปไหนก็ได้ที่ใจต้องการ ดันแคนก็อยู่ข้างๆ และรับฟังเธอ แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว
ดันแคน พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในชีวิตของมอลลี่ หลังเขาซ้อมเสร็จตอนเช้า เขาจะรีบไปที่โรงงานของมอลลี่เพื่อกินอาหารเที่ยงด้วยกัน ซึ่งพอเพื่อนร่วมงานของมอลลี่เห็นซูเปอร์สตาร์ของแมนฯยูไนเต็ด มาที่โรงงาน ก็ต่างรุมขอลายเซ็นกันใหญ่ ซึ่งหลังๆ ดันแคนก็ต้องแอบปลอมตัวใส่หมวกใส่โค้ท เพื่อไม่ให้คนอื่นจำได้ เดี๋ยวจะเอิกเกริกกันไปใหญ่
หลังจากคบกันมานานพอสมควรแล้ว ด้วยความรักที่มีเอ่อล้นในใจ ดันแคนจึงขอหมั้นมอลลี่ และในอนาคตเมื่อเขาพร้อมทุกอย่างแล้ว สัญญาว่าจะมาขอเธอแต่งงาน
ชีวิตของดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ กำลังดีทุกอย่าง การงานดี ความรักดี แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเกิดเหตุที่มิวนิค
6 กุมภาพันธ์ 1958 เกิดเหตุเครื่องบินไถลรันเวย์ที่มิวนิค มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 21 คน รอดตาย 23 คน ซึ่งในช่วง 4 โมงเย็น ที่อังกฤษต่างรู้ข่าวนี้กันแล้ว
1
มอลลี่ ขี่จักรยานกลับจากทำงาน เธอได้ยินเสียงเด็กขายหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นตะโกนว่า "เครื่องบินแมนฯยูไนเต็ดชน" เธอหยุดจักรยานทันที คว้าหนังสือพิมพ์มา และกังวลใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับดันแคน น้ำตาเธอไหลไม่รู้ตัว มอลลี่รีบปั่นจักรยานไปหากอร์ดอน เคลย์ตัน เพื่อนนักเตะของแมนฯยู ที่ไม่ได้ไปเบลเกรดด้วย ถามว่ารู้เรื่องอะไรมากกว่านี้ไหม ซึ่งแน่นอนตัวเคลย์ตันเองก็ยังไม่รู้อะไรมากกว่านี้เหมือนกัน
มอลลี่กลับบ้านนั่งทรุดอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เธอเปิดวิทยุและโทรทัศน์เพื่อรออัพเดททุกอย่าง ดันแคนจะเป็นอะไรหรือเปล่า และเธอจะอยู่อย่างไรถ้าดันแคนไม่รอดชีวิต
เหตุการณ์คล้ายกัน เกิดขึ้นที่เมืองดั๊ดลีย์ คุณพ่อและคุณแม่ของดันแคน เดินวนรอบๆวิทยุเพื่อรออัพเดทข่าวเพิ่มเติม ซึ่งสำหรับแอนนี่ เธอเสียลูกสาวมาแล้วหนึ่งคน เธอมีแค่ดันแคนคนเดียวที่เป็นความฝัน และความหวัง สวรรค์จะพรากเขาไปไม่ได้อีกเป็นอันขาด
หลังจากรอคอยมาหลายชั่วโมง ในที่สุดข่าวจากมิวนิคก็มาถึงพร้อมรายชื่อผู้รอดชีวิต ผู้ประกาศไล่ชื่อไปทีละคน เริ่มจากแมตต์ บัสบี้, บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน, เดนนิส ไวโอเล็ต, แฮร์รี่ เกรก, บิลล์ โฟ้กส์ และไล่มาเรื่อยๆ จนถึงคนสุดท้าย คือ "ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์" ซึ่งคุณพ่อ และคุณแม่ ปิดกั้นความดีใจไม่อยู่ ลูกชายของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอาการจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังรอด
สำหรับมอลลี่ เมื่อเธอรู้ข่าว เธอร้องไห้ดีใจ เพราะคู่หมั้นของเธอยังไม่ตาย เธอเก็บข้าวของและเตรียมบินไปมิวนิคทันที ในใจเธอนึกขอบคุณพระเจ้าที่ไว้ชีวิตว่าที่สามีของเธอ
ไม่ใช่แค่ครอบครัวเท่านั้น แต่วงการฟุตบอลอังกฤษก็โล่งใจเช่นกัน นี่คือนักเตะพรสวรรค์สูงสุดในรอบหลายสิบปี ถ้าเขายังอยู่ ทีมชาติอังกฤษจะไปได้ไกลถึงแชมป์โลกแน่ๆ รวมถึงแชมป์ยุโรปที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดรอคอย ดันแคนจะพาทีมปีศาจแดงไปถึงจุดนั้นแน่ๆ
แต่การรอดชีวิตที่รันเวย์ มันไม่ได้แปลว่า เขาจะรอดชีวิตที่โรงพยาบาล หนทางการต่อสู้ของดันแคนเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ข้ามไปที่เยอรมัน ในวันแรกที่เข้าโรงพยาบาล ดร.จอร์จ เมาเรอร์ หัวหน้าทีมศัลยกรรม ได้ลิสต์รายชื่อของดันแคนเอาไว้ว่า "Mortally injured" หรือบาดเจ็บสาหัสใกล้ความตาย ซึ่งแปลว่า แพทย์เองเห็นอาการของดันแคนแล้ว ว่าตรงๆคือเขาไม่น่ารอดได้
อาการของดันแคน คือขาหักสองข้าง กระดูกเชิงกรานหัก และซี่โครงร้าว ซึ่งจุดนั้นก็หนัก แต่แพทย์ยังรักษาได้ ปัญหาใหญ่กว่าคือ อวัยวะภายใน เพราะไตของเขาโดนกระแทกจนเสียหายอย่างรุนแรง
และด้วยอาการแบบนี้ต่อให้รอดได้ ก็ไม่มีวันกลับมาเตะฟุตบอลได้อีกครั้ง
ด้วยความสามารถของดร.เมาเรอร์ ที่เป็นแพทย์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเป็นแพทย์สนามที่สมรภูมิดันเคิร์ก ช่วยชีวิตทหารอังกฤษ และเยอรมันมาแล้วมากมาย รวมกับพลังใจอันแข็งแกร่งของดันแคนเอง ทำให้ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ยื้อมีชีวิตรอดได้สำเร็จ และสุดท้ายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้ หลังเกิดอุบัติเหตุมาเกือบสัปดาห์
ที่อังกฤษ ผู้คนลุ้นทุกวัน ว่าอาการของดันแคนเป็นอย่างไรบ้าง และเมื่อรู้ข่าวว่าดันแคนฟื้นขึ้นแล้ว ทุกคนล้วนมีความสุข ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความโล่งใจ แม้จะเสียใจที่ดันแคนจะเตะฟุตบอลไม่ได้อีกแล้ว แต่อย่างน้อย ขอให้เขามีชีวิตรอดก็ยังดี
เมื่อรู้ว่า ดันแคนลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว จิมมี่ เมอร์ฟี่ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมแมนฯยูไนเต็ด รีบบินจากอังกฤษมาเยอรมันทันที และเมื่อมาถึงโรงพยาบาล พอดันแคนเห็นเมอร์ฟี่ คำแรกที่เขาพูดก็คือ "คุณจิม วันเสาร์นี้เราแข่งกี่โมงนะ?" ดันแคนยังนึกว่าเกมกับวูล์ฟแฮมป์ตัน ในวันที่ 8 ก.พ. กำลังจะแข่งขันอยู่เลย ซึ่งจริงๆเวลามันผ่านมานานแล้ว ปัจจุบันคือ 11 กุมภาพันธ์ และเกมกับวูล์ฟก็โดนเลื่อนไปแล้วด้วย
เมื่อจิมมี่ เมอร์ฟี่ได้ยินดังนั้นเขาแทบใจสลาย เพราะสิ่งแรกที่ตัวดันแคนคิดถึงคือสโมสร แต่เขาเองไม่รู้เลยว่าตัวเองอาการหนักแค่ไหน และไม่มีวันจะเล่นฟุตบอลได้อีกแล้ว
"บ่าย 3 โมงเหมือนเดิม ไอ้หนู" เมอร์ฟี่ตอบโดยพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
"ถล่มให้ยับเลยนะ" ดันแคนตอบกลับ ก่อนจะนอนหลับไป
อาการของดันแคนขึ้นๆลงๆ ปัญหาตอนนี้คือไตของเขาเสียหายอย่างหนัก แต่ดร.เมาเรอร์ ใช้ไตเทียมในการยื้อชีวิตของเขาเอาไว้อยู่
1
12 กุมภาพันธ์ คุณพ่อแกลดสโตน และคุณแม่แอนนี่ เดินทางมาถึงมิวนิค เมื่อเจอหน้าแม่ ดันแคนมีสีหน้าที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน แอนนี่เดินเข้าไปจูบหน้าผากเขาและกระซิบว่า ทุกอย่างมันจะโอเค ซึ่งแม้ตัวเอ็ดเวิร์ดส์ จะเป็นซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษ แต่เขาก็เพิ่งอายุ 21 ปีเท่านั้น เมื่อมีแม่ให้กำลังใจอยู่ข้างๆ มันทำให้จิตใจของเขาเองก็ดีขึ้นไปด้วย
ปัญหาของดันแคนคือเรื่องไนโตรเจนในเลือด ที่บางครั้งพุ่งสูงจนเกินไป และมันทำให้ตัวดันแคนถึงขั้นหมดสติไปเลย แต่ดันแคนไม่ยอมแพ้แม้เจ็บเขาก็สู้ ลืมตาตื่นมาเจ็บต่อก็สู้ต่อ ซึ่งทีมแพทย์ที่เยอรมัน ถึงกับยอมรับว่าถ้าเป็นคนอื่นเจออาการแบบนี้คงตายไปนานแล้ว แต่มันไม่ใช่กับดันแคน
ดร.เมาเรอร์ อธิบายว่า ดันแคนต้องใช้ไตเทียมวันละ 7 ชั่วโมงเพื่อป้องกัน ไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเขาย้ำกับดันแคนว่า ให้พูดให้น้อยที่สุด อย่าพูดเกินจำเป็น เขาต้องเก็บพลังงานเอาไว้ด้วย
17 กุมภาพันธ์ หลังเกิดเหตุมาได้ 11 วัน ดันแคนมีอาการดีขึ้น เขาหายใจได้แรงขึ้น โดยแพทย์บอกว่า ไตของดันแคนหนึ่งข้าง เริ่มทำงานแล้ว ซึ่งนั่นทำให้คุณพ่อ คุณแม่ และมอลลี่ หายใจได้โล่งขึ้นเล็กน้อย ทุกคนยังมีความหวังอยู่ ซึ่งจนกว่าไตจะฟื้นฟูจนทำงานได้เป็นปกติ ก็จำเป็นต้องใช้ไตเทียมยื้อกันต่อไปเรื่อยๆก่อน
แต่วันต่อมา ร่างกายของเขาก็ทรุดอีกครั้ง ดันแคนอ่อนแอเกินไป เขาทรงๆทรุดๆ อยู่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 วัน
ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่ ทำการสวดมนต์ภาวนาขอพรกับพระเจ้า แอนนี่ยังเชื่อว่าลูกชายของเธอไม่มีวันตาย เขาแข็งแกร่งเสมอ และจะกลับมาได้ เหมือนที่เคยทำทุกที
แต่สุดท้ายปาฏิหาริย์ไม่มีจริง 02.15 น.ของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ เสียชีวิตระหว่างที่กำลังหลับ เขาสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มีแล้ว 15 วันแห่งการต่อสู้อันยาวนาน ถ้าเป็นคนอื่นทุกอย่างคงจบไปนานแล้ว แต่ดันแคนยังสู้มาได้เกินกว่า 2 สัปดาห์
คุณพ่อแกลดสโตนยื่นนิ่งไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว คุณแม่แอนนี่ร่วงลงไปกองกับพื้น ส่วนมอลลี่น้ำตาไหลร่วงอาบแก้ม
คนที่พวกเขารัก จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว ด้วยวัยแค่ 21 ปีเท่านั้น
ข่าวการเสียชีวิตของดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ทำให้วงการฟุตบอลอังกฤษเต็มไปด้วยความโศกสลด เพราะดันแคน คือความฝัน คือความหวัง คือตัวแทนของวัยเยาว์ เขาคือกัปตันทีมชาติอังกฤษในอนาคต
บ๊อบบี้ มัวร์ นักเตะเวสต์แฮม ที่อนาคตจะเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก 1966 กล่าวว่า "เมื่อผมรู้ข่าวผมร้องไห้ ผมไปหามัลคอล์ม อลิสสัน และ โนเอล แคนท์เวลล์ และเราก็นั่งร้องไห้ด้วยกันหมดทุกคน"
ไม่ต้องพูดถึงว่าแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะรู้สึกอย่างไร นักเตะที่ว่ากันว่า เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรต้องจบชีวิตลงทั้งๆแบบนี้ แฟนบอลเห็นดันแคนตั้งแต่เล็กๆ ค่อยๆเติบโตขึ้นมาอย่างน่าภูมิใจ แต่สุดท้ายทุกอย่างสลายไปแค่ในพริบตา
26 กุมภาพันธ์ ได้มีการนำร่างของดันแคนจากมิวนิค มาฝังศพที่ดั๊ดลีย์บ้านเกิดของเขา โดยตลอดสองข้างทางมีชาวเมืองยืนไว้อาลัยจำนวนมากมาย ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยความเงียบกริบ
ศพของดันแคนถูกฝังที่สุสานควีนครอสส์ โดยที่หน้าหลุมศพ มีการทำดอกกุหลาบเรียงกันเป็นเลข 6 ซึ่งเป็นเบอร์เสื้อที่ดันแคนจะใส่เป็นประจำทั้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ
คุณพ่อแกลดสโตนและคุณแม่แอนนี่ ต้องใช้เวลาเยียวยาหัวใจนับสิบปี กว่าจะกลับมาเล่าเหตุการณ์ต่างๆได้อีกครั้ง ขณะที่คู่หมั้นสาว มอลลี่ ลีช เธอทำใจไม่ได้เลย สุดท้ายเธอเปลี่ยนประเทศ และขอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา
ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ คือกองกลางที่เก่งที่สุดในโลก แต่เขาได้ลงเล่นฟุตบอลอาชีพเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น
เป็นคำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบ ว่าถ้าเขามีชีวิตอยู่ ดันแคนจะไปได้ไกลแค่ไหน
ในฟุตบอลโลก 1958 สี่เดือนหลังจากโศกนาฏกรรมมิวนิค ทีมชาติบราซิลประกาศความยิ่งใหญ่เมื่อคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ โดยสตาร์ในทัวร์นาเมนต์นี้คือ "เปเล่" กองหน้าอัจฉริยะวัย 17 ปี
ซึ่งแน่นอน ทุกคนรู้ดีว่า หลังจากนั้นมา เปเล่ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะเบอร์ 1 ของโลก
ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ถ้า ณ เวลานั้น ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ มีชีวิตอยู่บางทีเขาอาจจะเป็นดาวจรัสแสงในวงการฟุตบอล และแย่งชิงความเป็นเบอร์ 1 กับเปเล่ได้อย่างสูสีก็ได้
แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่จินตนาการเท่านั้น
เพราะความจริงก็คือ แสงประกายของดาวดวงนั้น มันดับลงไปแล้ว
[ จบ PART 5 ]
โฆษณา