3 เม.ย. 2020 เวลา 10:06 • บันเทิง
ถ้าจะบอกว่า Forrest Gump ทำให้ That Thing You Do! ถือกำเนิดขึ้นมา ก็คงไม่ผิดอะไรครับ
สำหรับผม That Thing You Do! คือหนังโปรดอีกเรื่องที่แสนเรียบง่าย เอาดูเมื่อไรก็อิ่มใจเมื่อนั้น
นี่คืองานกำกับและเขียนบทครั้งแรกของ Tom Hanks ครับ
ที่มาของหนังเรื่องนี้ต้องย้อนไปสมัยที่ Hanks เดินสายประชาสัมพันธ์หนัง Forrest Gump
ตอนนั้น Hanks มีเวลาว่างมากเพราะเขาต้องนั่งรอให้คนมาสัมภาษณ์ตลอดวัน
พอเบื่อจัดๆ ไม่รู้จะทำอะไร เขาเลยเอากระดาษขึ้นมาแล้วเขียนบทหนังแก้เบื่อ จนได้ออกมาเป็นหนังหนึ่งเรื่อง
แบบนี้จะเรียกว่า "เบื่อจนได้เรื่องได้ราว" ก็คงได้
พล็อตอิงจากเรื่องของวงดนตรีในยุค 60 ที่สมัยนั้นมีนักร้องหรือวงที่ดังระเบิดด้วยเพลงแจ้งเกิดที่ฮิตสนั่น
แต่ดังได้เพลงเดียวแล้วก็เงียบไป ไม่ว่าจะเพราะกระแสซาหรือเพราะวงแตกก็สุดแท้แต่
วงที่เกิดเหตุแบบนี้มักถูกขนานามว่า One-Hit Wonder คือดังเพลงเดียวแล้วก็หายไป
ตัวหนังบอกได้เลยว่าดูเพลินครับ เพียงแต่หนังอาจไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมาก เดินเรื่องแบบตรงๆ ซื่อๆ ส่วนหนึ่งคงเพราะ Hank เพิ่งทำหนังเป็นครั้งแรก
จุดเด่นขนานแท้ของหนังต้องยกให้เพลงที่เพราะมาก ไม่ว่าจะ That Thing You Do, All My Only Dreams (เพลงนี้ฟังแล้วหวาน), Dance with Me Tonight (เพลงนี้ฟังแล้วเร้าใจ) และ Little Wild One (เพลงนี้ผสมระหว่างหวานกับสนุกสนาน)
1
จำได้ว่าตอนหนังฉายหลายคนเชื่อว่าวง The Wonders มีจริงๆ รวมถึงเชื่อว่า That Thing You Do เป็นเพลงฮิตติดชาร์ตเมื่อยุค 60 จริงๆ
ทว่าตัวละครในหนังนั้น Hanks แต่งขึ้นมาครับ อีกทั้งทุกเพลงที่กล่าวไปล้วนเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ด้วย
ซึ่งต้องขอยอมรับเลยว่าเพราะติดหู ฟังแล้วเชื่อได้ว่าเพลงมีพลังพอที่จะฮิตติดลมบนได้จริงๆ
เพลง That Thing You do ฮิตติดชาร์ตทั้งฟากอเมริกา, แคนาดา และอังกฤษ รวมถึงได้เข้าชิงทั้งลูกโลกทองคำและออสการ์ในสาขาเพลงยอดเยี่ยม (แต่ปีนั้นรางวัลตกเป็นของเพลง You Must Love Me จากเรื่อง Evita แทน)
ท่านทราบไหมครับว่าวง The Wonders ในหนังนั้น ถูกสร้างขึ้นโดยอิงจากหลายๆ สิ่งจากวง The Beatles ตัวอย่างเช่น
+ เพลงของ The Beatles ที่ชื่อ Please Please Me ตอนแรกเป็นจังหวะช้าครับ แต่ต่อมาก็มีการตัดสินใจเร่งจังหวะ แล้วมันก็กลายเป็นเพลงฮิตเพลงแรกของวง (เหมือนเพลง That Thing You Do)
+ The Beatles ตอนปรากฏตัวใน Ed Sullivan’s show ระหว่างกล้องจับไปที่ John Lennon ก็มีคำบรรยายขึ้นมาว่า “Sorry Girls, He’s Married” (คล้ายกับเหตุการณ์ของจิมมี่)
Cr.imdb
+ The Beatles มีมือกลองคนใหม่เข้ามาแทนคนเก่า ก่อนที่พวกเขาจะแสดงเปิดตัวครั้งแรก (เหมือนที่กายเข้ามาแทนมือกลองเก่า)
+ Stu Sutcliffe มือเบสของ The Beatles ได้เสียชีวิตไป (เหมือนที่วงวันเดอร์สเสียมือเบสไปกลางงาน)
+ Brian Epstein ผู้จัดการวง The Beatles เป็นเกย์ (มิสเตอร์ไวท์ ผู้จัดการวง Wonders (ที่แสดงโดย Tom Hanks) ก็เป็นเกย์เช่นกัน)
+ มีครั้งหนึ่ง Cynthia Lennon ภรรยา (ณ ขณะนั้น) ของ John Lennon โดนตำรวจกั้นตัวไว้รวมกับสาวๆ ที่ตามไปกรี๊ดสี่เต่าทอง (เหมือนที่เฟย์ (Liv Tyler) โดนตำรวจกั้นระหว่างตามหนุ่มๆ วงวันเดอร์สขึ้นรถ)
ดาราในเรื่องล้วนเล่นได้ดีครับ Tom Everett Scott เพมาะกับบท กาย แพตเตอร์สันมากๆ ระหว่างดูนั้นผมรู้สึกนะว่าเขาดูเหมือน Hanks สมัยหนุ่มๆ ซึ่ง Hanks เองก็เลือกเขามาแสดงด้วยเหตุผลนั้นเหมือนกัน
Cr.imdb
ส่วน Johnathon Schaech ก็เล่นเป็นจิมมี่ได้สมบทบาท ดูเขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานและมีความหยิ่งผยองแฝงอยู่ในแววตา
แม้หนังจะไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง แต่ดูจบแล้วอารมณ์ไม่จบครับ หนังสามารถทำให้เรารู้สึกเป็นตุเป็นตะไปว่าพวกเขามีตัวตนจริงๆ
ยิ่งตอนท้ายมีการบอกว่าแต่ละตัวละครมีชีวิตเป็นเช่นไรต่อ ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขามีเลือดมีเนื้อมากขึ้น
เหมือนเราได้รับรู้ช่วงชีวิตหนึ่งของคนกลุ่มหนึ่งที่มีความฝัน แม้สุดท้ายปลายทางฝันนั้นจะไม่ได้จบลงแบบสวยงามอย่างที่พวกเขาคิดไว้ตอนแรกก็ตาม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ทำตามฝันนั้น...
หากพวกเขาทำเพียงแค่ฝัน แล้วไม่ลงมือทำให้มันเป็นจริง พวกเขาอาจเกิดคำถามคาใจไปตลอดชีวิตก็ได้ว่า "ถ้าหากเราลงมือทำ มันจะไปได้ไกลแค่ไหนนะ"
และพอลองพิจารณาจากบทสรุปของเรื่องราวแล้ว ก็ทำให้คิดครับ ว่าการจบลงของความฝันหนึ่ง อาจเป็นจุดเริ่มของชีวิตบทใหม่ก็ได้
Cr.indiewire
ความฝันที่ไม่สมหวัง อาจทำให้เราแกร่งขึ้น
ความฝันที่ไม่สมหวัง อาจเป็นฐานรากให้กับความฝันอันใหม่ที่มั่นคงขึ้นกว่าเก่า
ความฝันที่ไม่สมหวัง อาจเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างเราและความจริงแห่งชีวิต
เมื่อเราเข้าใจชีวิต เราก็จะสามารถ "ใช้ชีวิตให้เป็น" ได้มากขึ้น...
ก็ต้องชม Hanks ล่ะครับที่เขียนเรื่องราวมาได้ดีและน่าเชื่อพอตัว
ผมมีโอกาสได้ชมฉบับ Director's Cut ซึ่งยาวกว่าฉบับปกติประมาณ 40 นาที ก็จะมีเพิ่มฉากที่ทำให้เรารู้จักหนุ่มๆ ในวงมากขึ้น
มีฉากที่ทำให้เราเห็นว่าแฟนเก่าของกาย ทิ้งกายไปหาหมอฟันได้อย่างไร
มีฉากที่แสดงให้เราเห็นว่ากายคอยดูแลเฟย์อยู่เสมอ
รวมถึงฉากที่เผยแฟนหนุ่มของมิสเตอร์ไวท์ด้วย
Cr.postgradproblems
ก็ถือว่าเต็มอิ่มไปอีกแบบหนึ่งครับที่ได้รู้อะไรๆ มากขึ้น
แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตัดออก เพราะมันทำให้หนังเยิ่นเย้อพอสมควรเหมือนกัน
ในแง่ความสำเร็จแล้ว ตอนออกฉายถือว่าไม่มากเท่าไรครับ ทำเงินทั่วโลกประมาณ 34 ล้านเหรียญ (จากทุน 25 ล้านเหรียญ) เรียกว่าตอนออกฉายติดตัวแดงนิดๆ มาได้ทุนคืนตอนออกวีดีโอ
และไปๆ มาๆ เพลง That Thing You Do จะดังมากกว่าตัวหนังเสียอีกครับ
จนพูดได้ว่าแม้ท่านจะไม่เคยดูหนัง แต่อย่างน้อยท่านก็คงได้ยินเพลงนี้ผ่านหูกันบ้างสักครั้งหนึ่ง
ถึงบรรทัดนี้ก็อยากขอบคุณพี่ Tom Hanks ที่เขียนบทหนังแก้เบื่อ จนได้มาเป็นหนังสนุกๆ เรื่องนี้
และเหตุผลหนึ่งที่ผมหยิบหนังเรื่องนี้มาดูก็เพราะ Adam Schlesinger ผู้แต่งเพลง That Thing You Do เพิ่งจากโลกนี้ไปเพราะเชื้อโควิด-19 ครับ
Schlesinger เคยให้สัมภาษณ์ว่าตอนเขาแต่งเพลงนี้ เขาไม่เคยคาดหวังว่าเพลงจะได้รับเลือก
ความตั้งใจที่แท้จริงของเขาระหว่างแต่งเพลงนี้ก็คือ "เพื่อฝึกฝนฝีมือ" เป็นหลัก และเขาก็ตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุด
ขอขอบคุณสำหรับเพลงสุดสนุกที่ฟังได้ไม่รู้เบื่อเพลงนี้
และขอไว้อาลัยในการจากไปของเขามา ณ ที่นี้ครับ
Adam Schlesinger / Cr.nowtoronto
โฆษณา