4 เม.ย. 2020 เวลา 10:56 • สุขภาพ
การรับมือโควิด จีน VS อเมริกา
ไทยจะไปทางไหน
ประเทศจีน
จีนเป็นประเทศที่เชื้อโควิดระบาดก่อนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 และเริ่มแพร่กระจายจำนวนมาก จนรัฐบาลกลางจีนต้องสั่งปิดตายเมืองอู่ฮั่น เมื่อ 23 มกราคม 2563
กลางเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในจีนขึ้นมาเกือบ 7 หมื่นคน ในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกยังมีผู้ติดเชื้อรวมแค่หลักร้อย เหมือนเชื้อไวรัสนี้เป็นปัญหาของจีนประเทศเดียว สหรัฐอเมริกายังมีผู้ติดเชื้อไม่ถึง 10 คน
แผนที่แสดงจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละมณฑลของจีน
ผ่านมาเดือนเศษ ขณะนี้ (4 เมษายน 2563) จีนคุมไวรัสโควิดได้อยู่ ผู้ติดเชื้อหายกลับบ้านแล้วเกือบหมด เหลือทั่วประเทศเพียง 1,558 คน โดยในจำนวนนี้ เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 692 คน เป็นผู้ติดเชื้อที่เมืองอู่ฮั่น 829 คน เมืองอื่นๆ ในมณฑลหูเป่ย ซึ่งมีอู่ฮั่นเป็นเมืองเอก เคยมีผู้ติดเชื้อรวม 17,796 คน เหลือเพียง 4 คน มณฑลอื่นๆ ของจีนอีก 30 แห่งมีผู้ติดเชื้อรวม เหลือเพียง 33 คน
ส่วนอเมริกา มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 277,161 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานราว 32,000 คน คิดเป็น 13%
เกิดอะไรขึ้น ทำไม 2 อภิมหาอำนาจของโลกในยุคปัจจุบัน จึงมีผลลัพธ์ที่แตกต่างเช่นนี้
วิธีการจัดการของจีน
ช่วงแรกจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าปกปิดข้อมูล หมอที่ออกมาเปิดเผยเรื่องไวรัสก็ถูกลงโทษ ทำให้การควบคุมโรคล่าช้า แต่เมื่อรัฐบาลกลางจีนตื่นตัว ก็ดำเนินมาตรการอย่างเฉียบขาด สั่งปิดเมืองอู่ฮั่น ในวันที่ 23 มกราคม การปิดเมืองของเขาคือปิดจริง ๆ ทั้งเครื่องบิน รถไฟ รถบัส แม้แต่รถยนต์ส่วนตัว ห้ามวิ่งออกจากเมือง มีเจ้าหน้าที่คุมเข้มทุกเส้นทาง มียกเว้นเฉพาะรถขนส่งอาหาร เวชภัณฑ์ และของใช้จำเป็นเท่านั้น
บนถนนในเมืองก็ห้ามรถส่วนบุคคลออกมาวิ่ง ให้ทุกคนอยู่บ้าน ออกมาซื้ออาหารได้ 2 วันครั้ง ครอบครัวละ 1 คน ระดมเจ้าหน้าที่ลงตรวจหาผู้ติดเชื้อทีละบ้านทุกครอบครัว รวมพลังสร้างโรงพยาบาลขนาด 1,500 เตียงเสร็จภายใน 10 วัน และอีกหลังขนาด 1,000 เตียง เสร็จใน 14 วัน ดัดแปลงโรงยิม หอประชุม เป็นโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยที่อาการไม่หนัก 10 กว่าแห่ง เพราะที่อู่ฮั่นเมืองเดียวมีผู้ติดเชื้อกว่า 50,000 คน หมอพยาบาลไม่พอ ก็จัดระบบให้หมอพยาบาลจากทั่วประเทศ รวมทั้งจากกองทัพส่งมาช่วย โดยกำหนดให้ทีมแพทย์พยาบาลจากแต่ละมณฑลรับผิดชอบช่วยแต่ละพื้นที่ที่กำหนดให้ หมอพยาบาลทำงานอย่างหนัก ฟุบหลับคาโต๊ะ 1-2 ชม. ก็ลุกมาทำงานต่อ ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อด้วย ภาพนี้ออกไปกระตุ้นความซาบซึ้งจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมของคนจีนทั้งชาติ ดังนั้นทุกคนยอมอดทนยินดีให้ความร่วมมือกับมาตรการที่ทางรัฐกำหนดออกมา
ทุกคนต่างส่งกำลังใจซึ่งกันและกัน คำว่า “อู่ฮั่นเจียอิ๋ว จงกว๋อเจียอิ๋ว” แปลว่า “อู่ฮั่นสู้ๆ ประเทศจีนสู้ๆ” เป็นสโลแกนที่ได้ยินทั่วประเทศ จิตสำนึกความรักชาติ ความเสียสละขึ้นสูง ทำให้ทุกคนลืมความยากลำบากของตนเอง รัฐบาลก็ออกมาตรการให้กำลังใจ โดยแพทย์พยาบาลทุกคนที่อาสาสมัครไปช่วยที่เมืองอู่ฮั่นและเมืองอื่นๆ ในมณฑลหูเป่ย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ลูกๆ จะได้รับโควต้าพิเศษเข้าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ดี หากติดเชื้อเสียชีวิต รัฐจะปฏิบัติต่อเยี่ยงวีรบุรุษของชาติ ดูแลครอบครัวทั้งหมดตลอดชีวิต
วันตรุษจีนปีนี้ตรงกับวันที่ 25 มกราคม ซึ่งคนจีนที่อพยพมาทำงานในเมืองใหญ่ทั้งประเทศราว 300 ล้านคน ต่างกลับบ้าน บริษัทห้างร้าน โรงงานต่างๆ หยุดงานราว 2 สัปดาห์ ก่อนที่รัฐบาลจะสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นในวันที่ 23 ม.ค. เมืองอู่ฮั่นซึ่งมีประชากรราว 11 ล้านคน ชาวเมืองราวครึ่งหนึ่งเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนทั่วประเทศแล้ว ดังนั้น เชื้อจึงระบาดไปทั่วประเทศ รัฐบาลได้สั่งการให้บริษัทห้างร้าน โรงงานต่างๆ ทั่วประเทศ ที่เดิมมีกำหนดจะเริ่มเปิดดำเนินการใหม่สิ้นเดือนมกราคม ขยายเวลาการหยุดงานออกไปถึง 10 กุมภาพันธ์ คุมเข้มให้ทุกคนอยู่บ้านทั่วประเทศ คือ รัฐบาลกลางมีทิศทางนโยบายชัดเจนว่า จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อควบคุมการระบาดของโรคให้ได้ ประกาศมาตรการครั้งแรก ประเทศอื่นๆ แม้องค์การอนามัยโลกยังงงว่า ทำได้จริงๆ หรือการปิดตายเมืองที่มีประชากร 11 ล้านคน หยุดงานทั่วประเทศ แต่มาตรการนี้ก็ได้กลายเป็นโมเดลที่ประเทศอื่นๆ ใช้ตามๆ กันทั่วโลก แต่เหตุที่ไม่ได้ผลเต็มที่อย่างจีน เพราะจีนทำอย่างเป็นระบบ ควบคุมอย่างเด็ดขาดจริงๆ มองการแก้ปัญหาไว้ด้วย
ภาพถ่ายไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
จีนได้เปรียบที่เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าต่างๆ เกือบทุกอย่าง เป็นโรงงานของโลก จึงสามารถเร่งผลิตสิ่งจำเป็น เช่น หน้ากากอนามัย เดือนกุมภาพันธ์เดือนเดียวสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตราว 12 เท่า จากวันละ 10 ล้านชิ้น เป็นวันละ 116 ล้านชิ้น ชุดปฏิบัติการของแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด ฯลฯ และถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิดสำเร็จเผยแพร่สู่สาธารณะทั่วโลกเมื่อ 11 มกราคม 2563
ช่วงแรกข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโควิดยังน้อยมาก จะใช้ยาอะไรรักษาก็ยังไม่รู้ ได้แต่รักษาตามอาการ หายใจไม่ออกก็ใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่ทีมแพทย์และนักวิจัยในโรงพยาบาลต่างๆ ก็ทำการวิจัยคู่ขนานไปด้วย ทดลองใช้ยาหลายรูปแบบดูว่ายาแบบไหนได้ผลดีที่สุด เมื่อแพทย์ไทยประกาศว่า การประยุกต์ใช้ยาต้านไวรัสเอดส์และโรคปอดบวมจากไข้หวัดใหญ่ ได้ผลดีก็เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก เป็นเกียรติภูมิของประเทศไทย หมอไทย จีนก็ได้ทดลองใช้ยากลุ่มนี้หลายตัวหลายขนาน จนพบตัวที่ได้ผลดีสุดประกาศให้ชาวโลกรู้และใช้ตาม
10 กุมภาพันธ์ 2563 เมื่อแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มลดลง สถานการณ์เริ่มอยู่ในความควบคุม จีนเริ่มอนุญาตให้โรงงาน บริษัทห้างร้านต่าง ๆ เริ่มทยอยเปิดดำเนินการใหม่ได้ แต่ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการป้องกันโรคระบาดจากทางการก่อน
จีนนำเทคโนโลยี IT บนมือถือมาช่วย คนทุกคนจะได้รับการตรวจเช็คและให้สัญลักษณ์สีบนมือถือ สีแดง แสดงว่า เป็นผู้มีความเสี่ยงสูงเพราะเคยสัมผัสผู้ติดเชื้อห้ามออกไปไหน สีเหลือง แสดงว่ามีความเสี่ยงบ้าง ออกได้ในพื้นที่จำกัด สีเขียวแสดงว่าปลอดภัย สามารถเดินทางได้ ทุกคนต้องเปิด app บอก location ของตนบนมือถือ ผู้ที่มีสัญลักษณ์สีแดง หากออกไปข้างนอก เจ้าหน้าที่จะรู้และมาเตือนให้กลับบ้าน กล้องโทรทัศน์วงจรปิดหลายร้อยล้านเครื่องทั่วประเทศ ใช้เทคโนโลยีตรวจจับภาพใบหน้า ใครที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้วออกมาข้างนอก เมื่อกล้องตรวจจับภาพใบหน้าแล้วส่งข้อมูลไปใน Big Data โดย AI จะทำงานและเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ตรงนั้นจะเข้าทำการตักเตือนลงโทษทันที
จีนรู้ว่าการหยุดงานจะทำอย่างต่อเนื่องยาวนานไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจจะพังทลาย คนจะไม่มีกิน จึงใช้ยาแรงคุมสถานการณ์ให้อยู่โดยเร็วที่สุด แล้วเริ่มทำงานใหม่ แต่เริ่มอย่างสุขุมรอบคอบ ระมัดระวังขั้นสูงสุด ทยอยผ่อนคลายทีละขั้น ที่สุดท้ายก็คือ เมืองอู่ฮั่นที่สถานการณ์หนักสุด ตอนนี้ก็อนุญาตให้ผู้คนออกมาจากบ้าน เริ่มทำงานได้แล้ว และจะเปิดการเดินทางเข้าออกเมืองอย่างเสรีในวันที่ 8 เมษายนนี้ เพราะสามารถคุมการระบาดได้แบบเกือบ 100% จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ลดเหลือศูนย์ต่อเนื่องมานับสิบวัน
ตอนนี้จีนคุมการระบาดในประเทศอยู่ ที่ห่วงคือ คนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพราะเพียงเดือนเศษ จีนได้เปลี่ยนจากดินแดนที่อันตรายที่สุดในโลก กลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยจากไวรัสที่สุดในโลก นักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศและคนจีนทั่วโลกจึงแห่เดินทางกลับจีน ทางการจีนคุมเข้ม โดยทุกคนที่มาจากต่างประเทศต้องไปกักตัว 14 วันในพื้นที่ที่รัฐบาลจัดไว้ให้โดยออกค่าใช้จ่ายเอง คือ จีนตัดสินใจแต่ละมาตรการอย่างมีเหตุผลและมองข้ามช็อตล่วงหน้าไป 1-2 ก้าวเสมอ จีนประกาศมาตรการนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่การระบาดในประเทศอื่นยังไม่มาก แต่ละมาตรการที่ประกาศออกมา ประกาศใหม่ๆ คนทั่วโลกก็มองว่าโอเว่อร์ไปหรือเปล่า แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะ เหตุการณ์ก็เป็นตัวพิสูจน์ว่าจีนตัดสินใจถูก และจีนดำเนินการอย่างรัดกุม เมื่อเป็นคนจีนที่กลับจากต่างประเทศ แม้ไม่แน่ว่าจะเป็นคนรวย แต่ก็ต้องพอมีทรัพย์ ดังนั้นรัฐให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เขารู้ว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล ดังนั้นจะใช้จ่ายอะไรต้องคิดอย่างรอบคอบ เพื่อให้เหลืองบประมาณพอใช้แก้ปัญหาที่จำเป็น
แต่ที่น่าสังเกตคือ ตลอดระยะเวลาปิดเมืองอู่ฮั่น โรงงานที่ผลิตสินค้าอุปกรณ์สำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น โรงงานผลิตชิป ไม่เคยหยุดทำงานเลย เพราะชิปเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ทุกชนิด และปัจจุบันจีนผลิตชิปได้เองเพียง 10กว่า%เท่านั้น แต่ละปีจีนต้องนำเข้าชิปมูลค่ามากกว่าการนำเข้าน้ำมันเสียอีก และถ้าอเมริกาบอยคอตไม่ยอมขายชิปให้ จีนจะเดือดร้อนมาก ในภาวะสงครามการค้าและช่วงชิงความเป็นเจ้าทางเทคโนโลยีกับอเมริกานี้ จีนจึงทุ่มเทการพัฒนาและผลิตชิปอย่างเต็มที่ วิศวกร พนักงานโรงงานชิป พักอยู่ในสถานที่เฉพาะแยกขาดจากภายนอก มีรถที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว ขนอาหาร ของใช้ วัตถุดิบและชิปที่ผลิตเสร็จแล้ว วิ่งเข้าออกเมืองอู่ฮั่นตลอดเวลา แม้ในช่วงปิดเมือง
โดยสรุปคือ จีนมีทิศทางนโยบายในการแก้ปัญหาที่ชัดเจน กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเป็นระบบ ดำเนินการอย่างจริงจัง แต่ในความรวดเร็วเด็ดขาดนั้น ก็มีการพิจารณาอย่างละเอียด ในขณะที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็ไม่ลืมการแก้ปัญหาระยะยาวด้วย
อเมริกา
วิธีการจัดการของอเมริกา
อเมริกาคาดไม่ถึงว่าไวรัสนี้จะระบาดมาถึงตน และแพร่อย่างรวดเร็วจนมีผู้ติดเชื้อสูงสุดของโลกเช่นนี้
หลังวันที่ 10 มีนาคม เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อในอเมริกาเริ่มพุ่งสูงขึ้น ในเมืองสำคัญเช่น นิวยอร์ค ลอสแองเจลิส ซีแอตเติล จึงตื่นตัว ทรัมป์ประกาศสภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ห้ามการชุมนุมกัน 10 คนขึ้นไป ธุรกิจบันเทิง พักผ่อนหย่อนใจหยุดหมด คนจนเมื่อไม่มีงานก็เดินทางกลับภูมิลำเนา เชื้อก็ยิ่งระบาดไปทั่วประเทศ แม้ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่ไม่กล้าใช้ยาแรงระดับสั่งปิดตายเมืองสำคัญอย่างที่จีนทำ เพราะเหตุหลายประการ
1.คนอเมริกัน 1 ใน 4 ไม่มีเงินเก็บเลย อีก 1 ใน 4 มีเงินเก็บไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์ ถ้าสั่งปิดเมือง หยุดงานหมด คนหาเช้ากินค่ำเหล่านี้จะไม่มีกิน เมื่อไม่มีกิน รัฐจะห้ามไม่ให้ออกจากบ้านอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่
2.การหยุดงานทั่วประเทศนั้น มีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจมาก และต้องมั่นใจว่าจะควบคุมการระบาดได้อยู่ ในเวลาสั้นที่สุด 2-4 สัปดาห์ เพราะถ้านานกว่านั้นระบบเศรษฐกิจจะพังทลาย
การจะคุมโรคให้อยู่ได้ ต้องมีความพร้อมทั้งอุปกรณ์การตรวจหาผู้ติดเชื้อที่เพียงพอ ความพร้อมของสถานที่และบุคลากรทางการแพทย์ในการรับผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบทั้งหมดทั้งที่อาการหนัก อาการเบา และไม่มีอาการ มาอยู่ในการดูแลเพื่อไม่ให้แพร่กระจายเชื้อต่อไปอีก ต้องมีระบบราชการและสังคมที่เข้มแข็ง เจ้าหน้าที่สามารถตรวจอาการของประชาชนทุกคนที่มีความเสี่ยงได้ทั่วถึงภายในเวลาอันรวดเร็ว
แต่อเมริกาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก โดยอาศัยภาคบริการ เช่น การเงินการธนาคาร การเดินทาง การพักผ่อนสันทนาการ การค้าและภาค IT เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นหลัก ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของอเมริกาเล็กกว่าของจีนมาก ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมยาของอเมริกาก้าวหน้าที่สุดในโลก แต่เก่งในด้านการค้นคว้าวิจัยยาใหม่ๆ ไม่ได้เก่งในการผลิตเอง เช่น ยาปฏิชีวนะของอเมริกา ร้อยละ 97 ผลิตจากจีน หน้ากากอนามัยสั่งเข้าจากจีนเป็นหลัก เครื่องช่วยหายใจก็อาศัยการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเกิดภาวะวิกฤตอย่างนี้ จะสั่งซื้อของจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในเวลาสั้นๆ จึงทำได้ยาก
เมื่ออุปกรณ์ในการตรวจหาผู้ติดเชื้อ ควบคุมการระบาดและรักษาผู้ป่วยไม่พร้อม ระบบราชการและสังคมไม่พร้อม รัฐบาลจึงไม่กล้าที่จะสั่งหยุดงานทั้งประเทศ เพราะดูแล้วไม่มีทางที่จะคุมการระบาดได้อยู่ในเวลาอันสั้น หากจะสั่งหยุดงานก็ต้องหยุดงานหลายเดือน อาจถึง 9 เดือน เศรษฐกิจก็พังพินาศหมด
นี้คือเหตุผลที่อเมริกาใช้มาตรการควบคุมการระบาดแบบครึ่งๆ กลางๆ จนคุมไม่อยู่ เชื้อไวรัสระบาดจนอเมริกามีผู้ติดเชื้อเกือบ 3 แสนคน สูงที่สุดในโลกในเวลาแค่เดือนเดียว และมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น อาจเป็น 10 ล้านคนภายในเดือนพฤษภาคมนี้
นอกจากนี้ อเมริกายังกลัวเสียหน้า เช่น หน้ากากอนามัยมีไม่พอ ต้องการสงวนไว้ให้หมอพยาบาลใช้ ก็ไม่บอกประชาชนตรง ๆ แล้วให้ประชาชนช่วยกันทำหน้ากากใช้เองแบบไทยทำ แต่รณรงค์บอกประชาชนว่าไม่ป่วยไม่ต้องใส่หน้ากาก ติดป้ายบอกประชาชนตามทางเข้าสถานที่ราชการทั่วไป เมื่อคนไม่ใส่หน้ากากอนามัย เชื้อก็ยิ่งระบาดง่ายหนักเข้าไปอีก กระทรวงสาธารณสุขอเมริกาเพิ่งมาเปลี่ยนท่าทีประกาศให้ประชาชนทุกคนทั้งที่ป่วยและไม่ป่วยใส่หน้ากากอนามัยเมื่อวานนี้เอง และนำเข้าหน้ากากอนามัยจากจีนจำนวนมาก
ปกติองค์การอาหารและยา (FDA) ของอเมริกาใช้เวลาตรวจสอบราว 6 เดือนกว่าจะอนุญาตให้นำเข้าหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนใช้ แต่ตอนนี้ ผู้ผลิตจากจีนเลี่ยงกฎหมายโดยไม่ติดป้ายว่าเป็นหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชน จึงไม่ต้องตรวจสอบ FDA ก็รู้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ หนังสือพิมพ์จะขอสัมภาษณ์เรื่องนี้ก็ไม่ให้สัมภาษณ์ เพราะต้องการของไว้ใช้อย่างเร่งด่วนก่อน
สถานการณ์บังคับให้ทรัมป์ต้องใช้อำนาจของประธานาธิบดีตามกฎหมายว่าด้วยสถานการณ์สงคราม สั่งการให้บริษัทรถยนต์จีเอ็ม ผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 10,000 เครื่อง เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เรื่องวัสดุอุปกรณ์ในการผลิต การตรวจสอบคุณภาพก่อนอนุญาตให้ผลิตและนำไปใช้ ทุกอย่างยืดหยุ่นหมด เพราะผู้ป่วยกำลังจะทะลักทะลายเข้ามาอีกเป็นแสนเป็นล้านคน ต้องพยายามหาอุปกรณ์ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด บริษัทรถยนต์ฟอร์ดก็ร่วมมือกับบริษัทจีอี อิเลคทริค เพื่อผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้เดือนละ 3 หมื่นเครื่อง เป็นต้น
บริษัทจีเอ็มกำลังดัดแปลงโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่รัฐอินเดียน่าเป็นโรงงานผลิตเครื่องช่วยหายใจแทน
สรุปคือ สถานการณ์ในอเมริกาตอนนี้ การระบาดคุมไม่อยู่แล้ว ทำได้เพียงออกมาตรการเพื่อชะลอการระบาดให้ช้าลง เพื่อให้ระบบการแพทย์ปรับตัวรับมือทันเท่านั้น ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ ยอดผู้ติดเชื้ออาจขึ้นไปถึง 3 ล้านคน ผู้ตายร่วมแสนคน
ประเทศไทยจะไปทางไหน
สถานการณ์ในไทยขณะนี้มีผู้ติดเชื้อ 2,067 คน รักษาหายกลับบ้านแล้ว 612 คน ตาย 20 คน มีผู้ยังติดเชื้ออยู่ 1,435 คน ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันนี้ 89 คน คิดเป็นอัตราการเพิ่ม 4.5% ซึ่งดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มราว 10-20%
ไทยยังมีสิทธิคุมการระบาดของไวรัสให้อยู่และหมดไปจากประเทศไทยได้ แม้ความพร้อมด้านวัสดุอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากรของเรายังไม่เท่าจีน เราไม่สามารถใช้มาตรการหยุดงานเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงทั่วประเทศได้ เพราะอาจต้องยืดเยื้อหลายเดือน ระบบเศรษฐกิจไทยรับไม่ไหว แต่ขอเพียงให้ทุกฝ่ายช่วยกันเต็มที่ สื่อช่วยรณรงค์ ทุกคนช่วยกันบอกกล่าว ตักเตือน ให้ทุกคนอย่าออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็นจริงๆ อย่าพบปะสังสรรค์ ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ดูแลความสะอาดให้ดี ถ้าเราสามารถลดอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อใหม่ให้ต่ำกว่า 2%ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่แต่ละวันจะน้อยกว่าผู้ป่วยที่หายออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับบ้าน สถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ จนจบลงอย่างรวดเร็ว
เมืองไทยอากาศร้อนจัด เชื้อไวรัสตายง่าย ระบาดยาก เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนช่วยกันจริงๆ เราเอาอยู่ ลองคิดดูว่าถ้าไม่ช่วยกันจริงจัง ปล่อยให้เชื้อระบาดไป จนต้องเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง คนหาเช้ากินค่ำเป็นล้านๆ คน เขาจะอยู่อย่างไร เขาจะกินอะไร ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อหลายๆ เดือน เศรษฐกิจก็จะพังพินาศหมด คนทำงานกินเงินเดือนก็จะตกงาน จนถึงขนาดอาจต้องมีการให้ข้าราชการออกจากงานเพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ้างแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก ราวปี พ.ศ.2473
รัฐเริ่มมีการเคอร์ฟิวบางช่วงเวลาเป็นสิ่งดีแล้ว กระตุ้นให้คนตื่นตัวมากขึ้น เพราะคนที่ประมาทคิดว่าไม่เป็นไร แล้วยังใช้ชีวิตแบบเดิม ไปกินเหล้าสังสรรค์เฮฮากับเพื่อน บาร์ผับปิดก็ตั้งวงที่บ้าน คนส่วนน้อยเหล่านี้แหละที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเดือดร้อน และไม่ใช่เดือดร้อนธรรมดา แต่จะเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ถ้าไม่ช่วยกันจริงๆ นี้คือสถานการณ์สงคราม เป็นสงครามสู้กับไวรัส ที่ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าเกรงใจ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรค ต้องทำ
สิ่งที่รัฐบาลควรรีบประกาศโดยด่วนที่สุด คือ ห้ามขายเหล้าเบียร์ ทั่วประเทศเป็นเวลา 1 เดือน อีกไม่กี่วันจะถึงวันสงกรานต์ ลองนึกถึงภาพคนเป็นล้านๆ คนตั้งวงกินเหล้า เฮฮา พอเมาแล้วอะไรก็ลืมหมด กอดคอสังสรรค์กัน จะเป็นเทศกาลแห่งการระบาดของไวรัสครั้งยิ่งใหญ่ การห้ามขายของมึนเมาทุกชนิดเพียงเดือนเดียว เป็นมาตรการที่ง่าย ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อย แต่ได้ผลมาก รัฐควรประกาศห้ามโดยเร็วที่สุด
หากท่านผู้อ่านเห็นด้วย ขอให้ช่วยกดแชร์ กดติดตาม เพื่อให้เสียงดังไปถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาล
วันพรุ่งนี้พบกับเรื่อง “อนาคตตลาดหุ้น จะขึ้นหรือจะลง” และ “ทำไมน้ำมันลดราคา ดัชนีหุ้นถึงตก”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา