6 เม.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #คำขอโทษนั้นสำคัญแค่ไหน ]
หนึ่งในเกมพรีเมียร์ลีกที่ได้รับการยกย่องถึงความคลาสสิกต้องยกให้เกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์เมื่อ 4 มกราคม 1994
แมนฯยูไนเต็ดที่เริ่มต้นยุครุ่งเรืองบุกมาซดกับลิเวอร์พูลที่อยู่ในสถานะตรงข้าม เป็นช่วงเวลาของการผลัดเปลี่ยนโอนถ่ายอำนาจ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ยามที่สองทีมนี้เผชิญหน้ากันความเร้าใจผสมไปด้วยดราม่าย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน
ครึ่งแรกปีศาจแดงสยบเสียงเชียร์ของเหล่าเดอะ ค็อปสนิท ด้วยสไตล์การต่อบอลอันแม่นยำและโจมตีอย่างรวดเร็ว สร้างความปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา
ก่อนจะถล่มตาข่ายรวดเดียว 3 ประตูจาก ไรอัน กิ๊กส์ , เดนิส เออร์วิน และ สตีฟ บรูซ
สิ้นเสียงนกหวีดยาวบอกสัญญาณจบครึ่งแรก เสียงเร้ด อาร์มี่ไม่กี่พันคนดังกึกก้อง พร้อมกับเยาะเย้ยถากถางพวกกองเชียร์เจ้าถิ่นที่กำลังเคร่งเครียด สีหน้าบอกบุญไม่รับ
บางคนสบถด่าแนวรับอันห่วยแตกของทีมตัวเอง ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดไปกว่านี้อีกแล้ว แมนฯยูไนเต็ดกำลังยิ่งใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ สกอร์ 3-0 ใน 45 นาทีมันบอกอย่างชัดเจน
เดอะ ค็อปหลายคนหวั่นใจว่ามันจะไม่หยุดอยู่เท่านี้และหากแพ้สักครึ่งโหล คงโดนล้อเลียนไปอีกนานหลายสิบปี
ในห้องแต่งตัวฝั่งทีมเยือนที่แอนฟิลด์ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวชมนักเตะตัวเองทุกคน แต่ย้ำว่ายังเหลือเวลาอีกครึ่ง เล่นตามเกมของตัวเองไป อย่าประมาทเด็ดขาด เพราะนี่คือลิเวอร์พูลจำไว้ให้ขึ้นใจเลย
แล้วสิ่งที่หลายคนคาดเอาไว้กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง
ครึ่งหลังกลายเป็นหนังคนละม้วน หงส์แดงโหมเป็นพายุบุแคม ค่อยๆบดค่อยๆนวดจนเอาคืนได้ 3 ประตูรวด
นีล รัดด็อก ขึ้นมาโขกจมตาข่ายและ ไนเจล คลัฟ รับอาสาสังหารเบิ้ลครบ 90 นาทีเสมอ 3-3
เสียงเพลง You will never walk alone กระหึ่มกลบทุกสิ่งอย่าง แฟนปีศาจแดงได้แต่ส่ายหัวมึนงงไปตามๆกัน ทำไมถึงแผ่วได้อย่างเหลือเชื่อเพียงนี้
ส่วนบรรดานักเตะเดินก้มหน้าคอตกเข้าห้องแต่งตัว เหมือนรู้ชะตากรรมดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
ทันทีที่นักเตะและทีมงานทุกคนเข้าห้องเรียบร้อย เฟอร์กี้ ปิดประตูทันที ก่อนบันดาลโทสะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตวาดเสียงดังลั่น จัดการด่าลูกทีมทุกคนที่ประมาทย่ามใจจนทำให้โมเมนตัมเหวี่ยงกลับและเสียศูนย์เกินกว่าจะครองเกมตามแบบตัวเองได้อีก
หลังจากเขวี้ยงแก้วชาลงพื้นดังเพล้งใหญ่ จึงหันไปที่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ในฐานะปราการด่านสุดท้าย การเสีย 3 ประตูรวดเดียวอย่างนี้ จึงย่อมตกเป็นเป้าใหญ่ธรรมดา
เฟอร์กี้ สวดผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์กแบบไม่ไว้หน้าอะไรทั้งสิ้น จี้ไปยังการเตะบอลยาวออกมาจากแดนตัวเองที่ทำให้จังหวะที่ควรเล่นรุกโต้กลับได้เสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา
ตอนนั้น ชไมเคิ่ล ก้มหน้านั่งฟังเรื่อยๆ ข้างในอึดอัดอยากจะตอบโต้ แต่คิดว่าเดี๋ยวเจ้านายคงเปลี่ยนโฟกัสไปโวยคนอื่นบ้าง
1
10 นาทีผ่านที่ยาวนานเหมือน 10 ปี เขายังคงโดนด่าแต่เรื่องเดิมๆ ทั้งที่ครึ่งหลังทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าใคร เพราะลิเวอร์พูลปูพรมถล่มแบบไม่ให้หายใจหายคอ
1
มีหลายเซฟที่ช่วยชีวิตไว้ รวมถึงการออกมาตัดบอล เพราะแนวรับบางคนเฉื่อยมากๆ เหมือนมั่นใจว่ายังไงก็ต้องคว้า 3 คะแนนแน่ๆ
ชไมเคิ่ล ค่อยๆนับหนึ่งถึง 10 สุดท้ายทำนบแห่งความอดทนก็พังครืนลงมา เขาตอบโต้เจ้านาย ด่ากราดเอาคืนขึ้นเสียงเถียงไม่หยุด เล่นเอาเพื่อนร่วมทีมงงไปตามๆกัน
1
จากนั้นก็เดินออกจากห้อง โดยที่ เฟอร์กี้ ยั๊วะสุดขีดทำท่าจะเขวี้ยงถ้วยชาใส่ แต่ยั้งใจได้อัดไปที่พื้นห้องแทน
บรรยากาศในรถโค้ชที่เดินทางกลับแมนเชสเตอร์แย่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันเงียบกริบราวกับว่ามีเพียงแค่โชเฟอร์กำลังทำหน้าที่อยู่คนเดียว
พอถึงบ้านเรียบร้อย เขาโทรหา รูเน่ เฮาเก้ เอเยนต์ส่วนตัว บอกถึงความตั้งใจว่าอยากย้ายทีม เพราะมีปัญหากับบอส ซึ่งรู้สึกว่าโดนจ้องจับผิดมากเกินไป จนเสียงตามสายต้องปลอบประโลมให้ใจเย็นลงบ้าง ค่อยๆทบทวนให้ดีอย่าวู่วาม ไม่มีประโยชน์อะไรเลยในสถานการณ์เช่นนี้
คืนนั้น ชไมเคิ่ล เริ่มผ่อนคลายลง แต่เขาแทบนอนไม่หลับเลย กังวลกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป รู้สึกว่าไม่ควรจะตอบโต้แบบนั้น แค่ทำหูทวนลมก้มหน้าเข้าไว้ ทุกอย่างคงจบลงด้วยดี
แต่อย่างว่าพื้นฐานนิสัยที่เป็นคนอารมณ์ร้อนเป็นทุนอยู่แล้ว จึงเดือดเป็นธรรมดา ยิ่งในห้วงเวลาบรรยากาศอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะคอนโทรลได้
วันรุ่งขึ้นที่สนามซ้อมทุกคนมากันตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยกเว้น เฟอร์กี้ ที่ไร้เงาล่องหน ซึ่งผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะมาออฟฟิศทุกวันแทบไม่เคยขาด
ชไมเคิ่ล เครียดมากกว่าเดิม รู้ดีว่าแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมลงไป จึงตัดสินใจจะรับผิดชอบในการกระทำครั้งนี้
อีกวันถัดมาหลังจากซ้อมเสร็จเรียบร้อย เขาเดินไปเคาะห้องเจ้านาย เพื่อขอเคลียร์ใจด้วย
ชไมเคิ่ล กล่าวขอโทษยอมรับในความผิดพลาด อย่างไรก็ตามสถานการณ์มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
"ฉันไม่มีทางเลือกนะ ต้องไล่นายออกเท่านั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย" เฟอร์กี้ พูดประโยคแรก
1
"แล้วจะให้ผมไปเมื่อไร?" ชไมเคิ่ล ถามกลับมา
1
"ฉันยังไม่รู้หรอก แต่ในความเป็นมืออาชีพ นายยังต้องลงเล่นเกมวันเสาร์นี้ก่อนและอีกประเด็นคือ ฉันจะไม่อาจปล่อยให้ลูกทีมคนไหนมาขึ้นเสียงอย่างนี้ นายต้องเข้าใจด้วย"
1
"คำขอโทษของนายฉันรับไว้ แต่นายต้องไปอยู่ดี"
1
พอออกมาจากห้องบอสปุ๊บ ชไมเคิ่ล เจอกับเพื่อนร่วมทีมหลายคนที่รอฟังบทสรุปว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตามเพื่อให้ทุกอย่างกระจ่างและเข้าใจกันทั้งทีม แบบไม่ต้องหมกเม็ด เฟอร์กี้ จึงเรียกนักเตะทุกคนเข้าห้องประชุม
บอสยังไม่หายคุกรุ่นจากความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยที่แอนฟิลด์ ตำหนิลูกทีมรายตัว รวมถึงเน้นย้ำเรื่องความประมาท ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นถ้าเป็นมืออาชีพจริงๆ
สองแต้มที่หายไปกระทบกระเทือนต่อการป้องกันแชมป์ไม่น้อย ทุกคนจำต้องกระหายเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จต่อไป หยุดนิ่งเมื่อไรนั่นหมายความว่าเปิดประตูต้อนรับความพ่ายแพ้ทันที
พอคุยกับลูกทีมเรียบร้อย เฟอร์กี้ เดินออกไปก่อนใคร แต่ก่อนที่คนอื่นจะทยอยกันออกตาม ชไมเคิ่ล ได้ขอร้องให้อยู่ก่อนสักครู่ เขามีความในใจจะบอก
"ฉันต้องของโทษๆพวกนายทุกคนเลย หลังจบเกมวันนั้นมันคือการกระทำของเด็กอย่างแท้จริง คำขอโทษครั้งนี้ฉันเป็นคนจัดการเองนะ อยากให้เพื่อนๆเข้าใจ เจ้านายไม่ได้บอกอะไรเลย"
ชไมเคิ่ล ค่อยๆบรรยายความรู้สึกที่สำนึกออกมา ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครติดค้างทั้งสิ้น รวมถึงรู้ดีในความมุ่งมั่นทุ่มเทของเขา
อย่างไรก็ตาม เฟอร์กี้ ไม่ได้ออกไปไหนไกล ยืนอยู่ที่หน้าห้องและได้ยินคำขอโทษของ ชไมเคิ่ล อย่างชัดเจน
บิ๊กบอสผู้ไม่ยอมให้ลูกทีมหือง่ายๆ โทรไปหา รูเน่ เฮาเก้ เอเยนต์และไม่คิดว่า ชไมเคิ่ล ที่ทะนงตนอย่างนี้จะเอ่ยปากขอโทษเพื่อนร่วมทีม ซึ่งมันน่าประทับใจมากๆ
"ฉันยังไม่รู้หรอกวันไหน" นี่คือคำตอบของ เฟอร์กี้ เมื่อ ชไมเคิ่ล ถามว่าต้องไปเมื่อไร
ในเมื่อไม่รู้กำหนดที่ชัดเจน ชไมเคิ่ล ก็เลยยังอยู่กับทีมอย่างนั้น เป็นที่เข้าใจไม่ยากว่าเจ้านายให้อภัยทุกอย่าง ลืมในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกลับมาเดินหน้าสู้กันต่อ
ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่เคยเถียงเจ้านายอีกเลย บทเรียนครั้งดังกล่าวสรุปชัดแล้ว
1
เช่นเดียวกับ เฟอร์กี้ ไม่เคยเกรี้ยวกราดใส่นักเตะแบบเอาเป็นเอาตายอย่างนั้นอีกเลย บันดาลโทสะบ้างแต่ไม่รุนแรง มีเส้นลิมิตของตัวเอง
1
เรื่องราวครั้งนี้จบลงด้วยดีจาก "คำขอโทษ" และ "การให้อภัย" ซึ่งสองสิ่งนี้สำคัญมาก ตีคู่กันไปเหมือนฝาแฝด
1
หากไม่มีสองอย่างนี้ ชไมเคิ่ล คงได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นและไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าผู้รักษาประตูที่จะมาแทนนั้น ทำได้ทัดเทียมใกล้เคียงแค่ไหน
1
เพราะในเวลาต่อมายักษ์เดนส์คือกำลังสำคัญผลักดันแมนฯยูไนเต็ดประสบความสำเร็จอย่างบ้าคลั่ง ดับเบิ้ลแชมป์ 2 ครั้งและทริปเปิ้ลแชมป์อีกหนึ่งครั้งมันมากเกินพอ
เหมือนที่ฝรั่งมีคำพูดให้ข้อคิด "เกียรติยศความสำเร็จมักจะเกิดหลังความขัดแย้งเสมอ"
1
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา