8 เม.ย. 2020 เวลา 10:29 • ธุรกิจ
การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Whatever it takes ของรัฐบาลไทย
วิกฤติ Covid-19 ทำให้ทั้งธนาคารกลางและรัฐบาลของหลายประเทศ นำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาใช้อย่างมากมายมหาศาล ในรูปแบบที่ว่า Whatever it takes หรือ เท่าไรเท่ากัน
โดยทั่วไปแล้ว
นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะมี 2 ประเภท
นั่นก็คือ
1. นโยบายการเงิน
และ 2. นโยบายการคลัง
แล้วตอนนี้ ขีดความสามารถของไทยในเรื่องนี้มีมากแค่ไหน
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่นเรามาดูนโยบายของสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และก็เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ Covid-19 มากที่สุดในโลกเช่นกัน
ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง มาอยู่ที่ 0-0.25% พร้อมทั้งประกาศการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (QE) กว่า 22 ล้านล้านบาท ก่อนที่จะตามมาด้วยการทำ QE ครั้งที่ 2 โดยไม่จำกัดปริมาณ วัตถุประสงค์ก็เพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินอยู่ในระดับต่ำ
ในกรณีนี้ สิ่งที่ธนาคารกลางนำออกมาใช้นั้นเราเรียกว่า “นโยบายการเงิน”
อีกด้านหนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ โหวตอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจฉุกเฉินหลังวุฒิสภาได้ผ่านร่างงบประมาณอีก 70 ล้านล้านบาท โดยงบกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นงบที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในกรณีนี้ นโยบายที่รัฐบาลสหรัฐฯ นำออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเราเรียกว่า “นโยบายการคลัง”
กลับมาที่ประเทศไทยของเรา ก็จะเป็นไปในแนวทางเดียวกับสหรัฐฯ
นั่นคือ การดำเนินนโยบายการเงินจะทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
และการดำเนินนโยบายการคลังจะทำโดยกระทรวงการคลัง
ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึงปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำการลดดอกเบี้ยไปแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง
ปี 2562 ธปท. ลดดอกเบี้ยจำนวน 2 ครั้ง ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทแข็งค่าจนกระทบการส่งออก และภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอตัว
ปี 2563 ธปท. ลดดอกเบี้ยจำนวน 2 ครั้ง จากผลกระทบของ Covid-19
ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 0.75% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
ถ้ามองอีกมุมคือ ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นเหลือกระสุนสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจอีกไม่มากเท่าไร เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศกำลังเข้าใกล้ 0% เข้าไปทุกที
แน่นอนว่า การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำจะช่วยทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจนั้นลดลง
แต่อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่ง ยิ่งอัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงเรื่อยๆ จะทำให้รายได้ของผู้ออมเงินนั้นลดลง
1
ซึ่งสุดท้ายก็จะไปกระทบกับภาคครัวเรือน
รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณที่ต้องการรายได้จากดอกเบี้ย
ดูเหมือนว่า การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น มีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ความหวังสุดท้ายที่ต้องรีบเข้ามาช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากวิกฤติไวรัส Covid-19 คือ นโยบายการคลัง..
แต่การดำเนินนโยบายการคลังไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะสามารถใช้จ่ายเงินเท่าไรก็ได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งหนึ่งในข้อกำหนดนั้นคือ รัฐบาลต้องคงสัดส่วนหนี้สาธารณะไม่เกิน 60% ของ GDP
คำถามที่สำคัญต่อมาก็คือ
แล้ววันนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศไทยต่อ GDP นั้นอยู่ที่เท่าไร?
เดือนกุมภาพันธ์ 2563 หนี้สาธารณะของประเทศไทยแบ่งออกเป็น
1. หนี้รัฐบาล จำนวน 5.80 ล้านล้านบาท
2. หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 888,165 ล้านบาท
3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงินฯ จำนวน 327,049 ล้านบาท
4. หนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน 8,611 ล้านบาท
ซึ่งรวมแล้วเท่ากับ 7 ล้านล้านบาท
หรือคิดเป็น 41% ของ GDP ของไทยที่เท่ากับ 17 ล้านล้านบาท
นั่นหมายความว่า รัฐบาลสามารถที่จะก่อหนี้สาธารณะได้อีกถึง 3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะของไทยขึ้นถึงระดับ 60% ของ GDP
คำถามต่อไปคือ
แล้วจำนวนหนี้สาธารณะที่สามารถก่อเพิ่มขึ้นได้เพียงพอที่จะบรรเทาผลกระทบจาก Covid-19 ได้หรือไม่?
1
ธนาคารแห่งประเทศไทย เพิ่งมีการคาดการณ์ว่า GDP ไทยจะติดลบ 5.3% ในปี 2563 จากผลกระทบของ Covid-19 นั่นหมายความ มูลค่าเศรษฐกิจไทยอาจจะได้รับผลกระทบประมาณ 9 แสนล้านบาท
Cr. Thai Trade Center
ล่าสุดคณะรัฐมนตรีออกมาตรการเพื่อมาบรรเทาผลกระทบของ Covid-19 อีกครั้ง จำนวนเกือบ 2 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1. การออก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทของกระทรวงการคลัง เพื่อนำไปใช้ในงานด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 600,000 ล้านบาท และงานฟื้นฟูเศรษฐกิจ จำนวน 400,000 ล้านบาท
2. การออก พ.ร.ก. เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทย มีอำนาจในการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อดูแลภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME จำนวน 500,000 ล้านบาท และดูแลเสถียรภาพตลาดการเงินด้วยการจัดตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน จำนวน 400,000 ล้านบาท
ถ้าดูแบบนี้ก็ต้องบอกว่า ตอนนี้ประเทศไทยของเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้ทั้งนโยบายการเงินและการคลังเพื่อจะบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้
ถ้ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังทำทุกวิถีทาง หรือเรียกว่า Whatever it takes
รัฐบาลไทยก็น่าจะเข้าขั้นนั้นไม่ต่างกันแล้ว
เพราะมาตรการล่าสุดนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 11% ของ GDP ประเทศไทย มากกว่าการหดตัวลงของ GDP ไทยที่คาดกันว่าจะติดลบ 5.3% ถึง 2 เท่า
1
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า งบประมาณทั้งหมดนี้จะถูกนำไปใช้แก้ปัญหาได้ตรงจุด ทันเวลา และมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน?
ที่ผ่านมา เราคงเคยได้ยินว่า ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน
เมื่อรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อมาใช้จ่าย
ทุกครั้งก็จะโดนโจมตีจากฝ่ายการเมืองตรงข้าม
แต่ในครั้งนี้
ไม่ว่าเราจะอยู่ฝ่ายไหน
ทุกคนคงต้องยอมรับว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ
เพราะปัญหา Covid-19 กำลังสร้างความบอบช้ำอย่างหนักต่อประเทศไทยของเรา
1
และการกระตุ้นในครั้งนี้
คงจะช่วยต่อลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ให้กับคนไทยหลายคนในตอนนี้ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ดังนั้นในครั้งนี้
ถ้าถามว่า Whatever it takes จำเป็นแค่ไหน?
ก็คงต้องตอบว่า
เราอาจต้องทำอะไรก็ได้ ก่อนที่มัน จะไม่เหลืออะไรให้ทำ..
โฆษณา