13 เม.ย. 2020 เวลา 12:57 • ธุรกิจ
🛢 เมื่อคืนนี้สงครามราคาน้ำมันได้จบลงอย่างเป็นทางการแล้วหลังโอเปกและประเทศผู้ผลิตน้ำมันต่างๆทั่วโลกสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ แต่สถานการณ์ในตลาดน้ำมันนั้นใช่ว่าจะกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างสดใสโดยทันที ตลาดนั้นยังมีปัจจัยซับซ้อนพัวพันกันอยู่หลายๆเรื่อง...
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์ภาพรวมของสถานการณ์ตลาดน้ำมันในปัจจุบันให้ทุกท่านได้ #เข้าใจแบบง่ายๆ กันครับ
📌 สรุปเหตุการณ์ครั้งประวัติศาตร์เมื่อคืนนี้
หลังจากที่การใช้น้ำมันของโลกโดนไวรัสโควิดและการปิดประเทศเข้ามาทำลายอย่างรุนแรงจนเกิดเหตุให้ผู้ผลิตใหญ่อย่างซาอุประกาศสงครามราคาน้ำมันอย่างรุนแรง แย่งกันตัดหน้าขายน้ำมันตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเรื่อยๆ
ในที่สุดเมื่อคืนนี้ทางกลุ่มผู้ผลิตทั่วโลกก็สามารถหาทางออกร่วมกันได้แล้ว ทุกฝ่ายตกลงที่จะร่วมกัน #ลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์ หลังจากหารือกันมาเป็นเวลาหลายวัน โดยแบ่งเป็น
1) ทางโอเปก+พันธมิตรจะลดที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (เทียบเท่ากับลดการผลิตกันคนละ 23.5% ทุกคน ยกเว้นเม็กซิโก)
2) ประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มอย่าง สหรัฐ + แคนาดา + บราซิล จะช่วยกันลดเพิ่มอีก 3.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และประเทศอื่นๆในกลุ่ม G20 ยังจะช่วยลดเพิ่มอีก แต่ปริมาณเท่าไหร่นั้นเรายังไม่ทราบ
การตกลงร่วมกันลดการผลิตครั้งนี้ถือว่าได้ยุติ #สงครามราคา ที่ผ่านมา 5 สัปดาห์ลงอย่างบริบูรณ์
📌 แต่การลดการผลิตครั้งนี้นั้นเพียงพอที่จะทำให้น้ำมันไม่ล้านตลาดหรือไม่ ?
#ไม่เพียงพอแน่ๆครับ การใช้ที่ลดลงจากการหยุดบิน หยุดอยู่บ้านไม่มีการขับรถ โรงงานหยุดผลิต การขนส่งชะงักนั้น ทำให้การใช้น้ำมันของโลกหายไปถึง 30-35 ล้านบาร์เรต่อวันแล้วในเดือนเมษายนนี้เพราะฉะนั้นการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตต่อให้อาจรวมกับทางกลุ่ม G20 อื่นๆด้วยได้สูงถึง 15 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก็ไม่อาจเพียงพอกับความต้องการใช้ที่หายไป #น้ำมันในโลกนั้นคงจะล้นตลาดต่อไปอยู่แน่ๆ
📌 แปลว่าราคาน้ำมันยังคงจะปรับตัวลดลงเรื่อยๆ ?
หลายๆนักวิเคราะห์ยังมองเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นทาง Goldman Sachs ที่เพิ่งออกมาประกาศวันนี้ว่า Brent ยังมีความเสี่ยงที่จะโดนเทขายลงไปที่ 20 เหรียญได้อยู่ แต่ทางเพจไม่ได้มองว่าราคาน้ำมันจะมีสิทธิปรับตัวลดลงได้อย่างเดียว ราคานั้นยังไปได้ทั้งสองทาง
📌 ถ้าการลดกำลังการผลิตครั้งนี้ไม่เพียงพอที่จำทำให้น้ำมันล้นตลาด #แปลว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ ?
ถ้ามองเผินๆอาจจะดูเหมือนว่าไม่ช่วย แต่ถ้าเจาะลึกเข้าไปถึงรายละเอียดและจุดประสงค์ของผู้ผลิตแล้วนั้นมันช่วยแน่ๆครับ โดยได้ช่วยตลาดใน 2 แง่ใหญ่ๆด้วยกันคือ
1) ผู้ผลิตทั่วโลกได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ต้องการจะรักษาระดับราคาน้ำมันร่วมกันอย่างชัดเจน - การรวมตัวครั้งใหญ่ระกว่างประเทศกว่า 25 ประเทศนี้ (ที่แม้แต่สหรัฐยังรว่มด้วยนั้น) ย่อมจะเป็นสัญญาณบวกในระยะยาวกับตลาด เราไม่รู้ว่าในอนาคตการใช้จะกลับมาได้เร็วแค่ไหน แต่ถ้าเมื่อไหร่การใช้น้ำมันเริ่มกลับมาเป็นปกติและผู้ผลิตยังคงปรองดองได้ขนาดนี้... ผู้บริโภคน้ำมันก็ควรน่าเป็นห่วงครับ
2) การลดกำลังการผลิตนี้จะช่วยชะลออัตราการเต็มของถังน้ำมันทั่วโลก ซึ่งถึงแม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะยังไม่ดีขึ้นแต่ก็ทำให้ภาพรวมและแนวโน้มของตลาดนั้นดีขึ้นเยอะ
📌การลดการผลิตครั้งนี้จะช่วยตลาดน้ำมัน "Flatten The Curve"
การบรรเทาภาระของถังน้ำมันทั่วโลกไม่ให้ล้นเต็มเร็วจนเกินไป นั้นไม่ต่างกับการช่วย "Flatten the curve" ของผู้ป่วยไวรัสโควิดเลย (ดังในรูป) การที่เราพยายามทำ Social Distancing กันนั้น เราไม่ได้พยายามทำเพื่อไม่ให้เกินผู้ป่วยใหม่ซะทีเดียวเลย เราทราบดีว่ายังจะมีผู้ป่วยติดเชื้อใหม่เรื่อยๆ แต่การรักษาระยะห่างนั้นจะช่วยทำให้มีผู้ติดเชื้อน้อยลง อัตราการติดเชื้อจะชะลอลง ช่วยให้แพทย์และโรงพยาบาลต่างๆสามารถรักษาผู้ป่วยได้ทันการมากขึ้น และเมื่อไหร่ที่ผู้ป่วยเหล่านั้นหาย ทางแพทก็จะสามารถรับผู้ป่วยใหม่ๆเข้ารักษาได้
ถังน้ำมันของโลกเราก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการลดกำลังการผลิตครั้งนี้ถังน้ำมันทั่วโลกของเรานั้นจะเต็มภายในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า และเมื่อถังน้ำมันนั้นเต็มทางผู้ผลิตก็จะยิ่งต้องลดราคาน้ำมันไปเรื่อยๆจนกระทั่งไม่มีคนซื้อน้ำมัน แล้วทางผู้ผลิตก็จะต้องทยอยปิดหลุมไปโดยปริยาย และนั้นคือสิ่งที่ผู้ผลิตกลัวที่สุด !
การลดการผลิตครั้งนี้แม้จะยังทำให้มีน้ำมันล้นโลกอยู่ แต่จะช่วยพยุงไม่ให้ถังน้ำมันในโลกนั้นเต็มไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน และภายใน 6 เดือนนี้หากการใช้เริ่มกลับมาจริงๆ ระดับน้ำมันในถังทั่วโลกก็อาจจะลดลงได้อีกครั้งและถังน้ำมันเหล่านั้นก็จะมีที่เหลือพร้อมสำรองน้ำมันดิบใหม่ๆจากผู้ผลิต และนี่ก็เป็นสิ่งที่กลุ่มโอเปกต้องการ
📌ถ้าเช่นนั้นราคาน้ำมันก็ยังไม่ควรปรับตัวขึ้นตอนนี้สิ ? อาจจะปรับขึ้นเมื่อการใช้เริ่มกลับมา ?
ราคาน้ำมันก็คือทรัพย์สินเสี่ยงชนิดนึง มีผู้เข้าซื้อขายกันได้ทั่วทุกมุมโลกไม่จำเป็นต้องมาจากบริษัทผู้ใช้น้ำมันจริงๆ ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องรอให้มีการซื้อจากผู้ใช้น้ำมันจริงๆ ตราบใดที่สถานการณ์โดยรวมนั้นดีขึ้นนักลงทุนก็พร้อมที่จะเข้ามาซื้อและลงทุนในราคาน้ำมัน (แม้แต่ธนาคารในบ้านเรานั้นยังมีกองทุนน้ำมันให้ลง แต่อ่านได้ว่าทำไมทางเราถึงไม่แนะนำให้ลงทุนจากบทความแนบในคอมเม้นท์)
เช่นเดียวกับราคาหุ้นทั่วโลก วันนี้นั้นตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกก็ยังไม่หยุดสูงขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่พอ Curve นั้นเริ่ม Flat ลงเมื่อไหร่ เริ่มเห็นสัญญาณตัวเลขที่ดีขึ้น ทางนักลงทุนก็จะกรูเข้าลงทุนอย่างรวดเร็วอย่างที่เราได้เห็นในช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา
📌 #สรุปผลกระทบ ของการลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งนี้ต่อตลาด
ถ้าจะให้อธิบายสั้นๆนั้นคือ ราคาน้ำมันน่าจะมี Floor หรือแนวรับที่สำคัญได้มากขึ้นจากการลดกำลังการผลิตครั้งนี้ (คิดว่าคือระดับ Low สุดของเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน) แต่ราคาน้ำมันจะดีดขึ้นได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าการใช้น้ำมันจากการปิดประเทศนั้นจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาเมื่อไหร่
ราคาในอนาคตจะขึ้นอยู่กับด้าน Demand มากกว่า Supply เป็นหลักแล้ว ถ้าการใช้กลับมาตามคาดราคาก็จะทยอยปรับตัวสูงขึ้น แต่ถ้าการใช้น้ำมันนั้นลดลงไปมากกว่าที่คาดเพราะการระบาดที่เพิ่มขึ้นราคาน้ำมั ก็อาจจะโดนเทขายได้อีกรอบ
#กรอบราคา ที่ 30-35 เหรียญที่เราวางไว้ก่อนการประชุมน่าจะยังเป็นกรอบที่คงอยู่ได้ในเบื้องต้น และให้จับตามองตลาดหุ้นสหรัฐต่อไป เพราะตลาดหุ้นสหรัฐจะเป็นสัญญาณหรือ Leading Indicator ที่สำคัญว่าการใช้น้ำมันจะเพิ่มหรือลดน้อยลงเพียงใด
ล่าสุดทางดร. แอนโทนี่ เฟาซี (Dr. Fauci) ผู้นำการวิจัยโรคติดเชื้อที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ผู้ซึ่งทางเราให้ความน่าเชื่อถือถึงข้อมูลได้ออกมารายงานว่าอาจจะมีการเปิดประเทศสหรัฐบางส่วนได้ในเดือนหน้า ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรทางเราจะนำมาอัพเดทให้เป็นระยะๆ
⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาด ให้กดไลค์ที่โพสต์หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ได้เลยนะครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ที่อัพเดทใหม่ที่ทันตลาด ⛔️
🙏 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกดไลค์และแชร์ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ 😊
#OilTradingKP
โฆษณา