18 เม.ย. 2020 เวลา 11:11 • ประวัติศาสตร์
Serial Thriller EP02 : SAWNEY BEAN
ครอบครัวมนุษย์กินคนแห่ง Scotland
เขาเลี้ยงชีวิตและครอบครัวของเขาด้วยการกินเนื้อมนุษย์ มีชีวิตต้องสังเวยให้กับคนกลุ่มนี้ไปมากกว่า 1000 คน ภายในระยะแค่เวลา 25 ปี
SAWNEY ALEXANDER BEAN
ถ้าหากพูดถึงเรื่องของกินบนโลกนี้แล้ว ก็คงจะมีมากมายจนเรานึกกันแทบไม่ไหว แต่ละคนก็มีของชอบและรสชาติที่แตกต่างกันไป
แต่ถ้าผมจะบอกว่าในโลกนี้ มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบเนื้อมนุษย์อยู่ และพวกเค้าไม่เพียงแค่ลองกินเท่านั้น แต่พวกเค้ากินเพื่อดำรงชีวิตอย่างเป็นเรื่องปกติ และมีคนที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับคนกลุ่มนี้มากกว่า 1 พันคน ระยะเวลา 25 ปี พวกเค้าถูกรู้จักกันในชื่อ ซอว์นี่ บีน (Sawney bean) และครอบครัวมนุษย์กินคน
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 400 ปีก่อน หรือช่วงคริสตศักราช 1500-1600 ในทางตอนใต้ของสกอตแลนด์ มีเด็กชายได้ถือกำเนิดขึ้นมาชื่อว่า ซอว์นี่ บีน หรือชื่อเต็มๆ ของเขาก็คือ
อเล็กซานเดอร์ ซอว์นี่ บีน ( Alexander Sawney Bean )
ในช่วงชีวิตวัยเด็กของเค้านั้น ไม่ค่อยมีปรากฏข้อมูลให้ได้ทราบกันมากนัก ไม่ปรากฏข้อมูลว่าเค้าเกิดในปี ค.ศ. อะไร แต่ข้อมูลบางแหล่งก็บอกไว้ว่า บีนเกิดมาในครอบครัวธรรมดา เป็นลูกชายของช่างทำรั้ว และขุดคูคลอง พ่อของเขาพยายามเลี้ยงบีนเพื่อให้เติบโตมาเพื่อสืบทอดงาน และใช้ชีวิตแบบเขา
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่ม บีนได้ออกมาทำงานเป็นของตัวเองและมีแฟนสาวที่นิสัยคล้ายๆ กัน เรื่องราวก็เหมือนจะดูดี
แต่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เพราะบีนและแฟนสาวค่อนข้างเป็นคนขี้เกียจ อารมณ์ร้าย ขี้โมโห มิหนำซ้ำยังชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นไปทั่ว
ด้วยเหตุนี้ทำให้บีนไม่มีงานทำ และไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อีกต่อไป บีนและภรรยาของเค้า จึงต้องย้ายแหล่งหลักปักฐานไปที่ไกลชนบท บีนและภรรยาได้เดินทางจนมาเจอถ้ำแห่งหนึ่ง
ซึ่งถ้ำมีลักษณะลึกลับ ภายในมีที่เข้าที่ยาวที่คดเคี้ยวมากกว่าหนึ่งกิโลเมตรถึงจะเจอโพรงกว้างด้านใน
ในระหว่างวันจะมีน้ำขึ้นสองครั้ง จนปิดปากถ้ำ ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกได้
ทางเข้าถ้ำที่ Sawney bean ใช้พักอาศัย / Cr. Gramho
Video สำรวจถ้ำของ Sawney Bean ที่ถ่ายไว้เมื่อปี ค.ศ. 2012
ในสมัยนั้น บีนและภรรยาคงคิดว่า งานก็ไม่มี เงินก็ไม่มี ถ้ำก็อากาศเย็นๆ ชื้นๆ พออยู่ได้ แล้วจะสร้างบ้านให้เปลืองตังและเหนื่อยทำไม เค้าทั้งสองขึ้นจึงลงหลักปักฐานอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้
เริ่มแรกบีนและภรรยาเริ่มการประทังชีวิตด้วยการดักปล้นและฆ่านักเดินทางต่างๆที่ผ่านไปมา เอาศพมาทำลายและทิ้งทะเล โดยได้อาหารมากินและเก็บสิ่งของเครื่องใช้และของมีค่าไว้ในถ้ำ แต่ไม่ได้ใช้เพราะกลัวว่าจะมีคนรู้ถึงพฤติกรรมของพวกเขา
เวลาผ่านไป บีนและภรรยาได้ให้กำเนิด
ลูกชาย 8 คน
ลูกสาวอีก 6 คน
หลานชาย 18 คน
และหลานสาวอีก 14 คน
โดยทั้งหมดรวมกว่า 46 คนนี้ ลูกๆ และหลานของเขาก็ไม่ได้ออกไปเจอใคร หรือแต่งงานกับใครที่ไหน แต่มาจากการสมสู่กันเองล้วนๆ
เสบียงจากการปล้นและดักฆ่าธรรมดานั้น ไม่สามารถทำให้เค้าและครอบครัวอิ่มท้องได้อีกต่อไป บีนจึงเริ่มนำศพของนักท่องเที่ยวที่ถูกฆ่ามาลองทำอาหารเพื่อให้ครอบครัวของเขาได้ดำรงเผ่าพันธุ์ของบีนต่อไป
Cr. Pinterest
ลูกหลานของบีนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้แค่วิธีที่จะทำให้อิ่มท้องเท่านั้น
หลานๆบางคนของเค้าก็พิกลพิการ สติปัญญาต่ำ และหลายๆคนก็พูดกันได้ด้วยการสื่อสารพื้นฐานเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะทำให้พวกเค้าออกล่านักเดินทางเคราะห์ร้ายกันแบบกองทัพขนาดย่อม
พวกเขาเรียนรู้วิธีฆ่า การชำแหละศพ และการรักษาเนื้อไว้ไม่ให้เน่าโดยการทาเกลือแล้วแขวนชิ้นส่วนต่างๆ เอาไว้ภายในถ้ำ ส่วนกระดูกก็นำไปกองไว้พอเริ่มเยอะเข้า ก็นำไปทิ้งทะเล
ในช่วงแรก การหายตัวไปของนักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นที่สงสัยมากนัก เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนในเขตพื้นที่ แต่พอถี่เข้า และมีชาวบ้านได้พบชิ้นส่วนกระดูก ก็ทำให้ชาวบ้านแจ้งทางการเริ่มสืบหาความจริง
บ้างก็ว่ามีอสูรกายบริเวณป่าหรือถ้ำที่พวกเขาอาศัยอยู่คอยดักจับกินนักเดินทางในป่า แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนหรือตัวอะไรที่อาศัยอยู่ในถ้ำแบบนั้น
ความซวยจึงตกมาที่ผู้บริสุทธิ์อย่างเจ้าของโรงแรมที่นักท่องเที่ยวมาพักก่อนหายตัวไป หรือผู้เกี่ยวข้อง ที่โดนทางการจับไปสอบสวนโดยวิธีการทารุณเพื่อหาความจริง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้จำนวนการหายไปของนักเดินทางนั้นลดลง
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีสามีภรรยาดวงกุด ได้ขี่ม้าผ่านมาทางถ้ำของบีน เค้าทั้งสองคนถูกกลุ่มครอบครัวของบีน ที่แต่งตัวมอซอล้อมเอาไว้พร้อมกับอาวุธในมือ สองสามีภรรยาต่างก็ตกใจและคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง แต่สามีก็ได้ชักดาบออกมากวัดแกว่ง เพื่อพยายามป้องกันตัวเองและภรรยาของเขา
แต่จำนวนของพวกตระกูลบีนนั้นมีมากเกินกว่าจะสู้ได้ ภรรยาผู้น่าสงสารของเขาถูกกระชากตกลงจากม้า ถูกปาดคอ และฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ บ้างก็เข้ามากินชิ้นส่วนเนื้อไปต่อหน้าต่อตา ทางฝ่ายสามีรู้แล้วว่า นี่ไม่ได้เป็นการเข้าใจผิด แต่คนพวกนี้เป็นพวกคนป่าเถื่อน วิกลจริต และหากเค้าตกม้าหรือพลาดท่า คงไม่พ้นกลายเป็นศพที่น่าเวทนาแบบเมียเขาแน่ ๆ
เขาพลางหนีพลางสู้ไป แต่กองทัพขนาดย่อมของบีนก็ตามล่าอย่างไม่ลดละ แต่เป็นโชคดีของหนุ่มคนนี้ ที่มีคณะเดินทางกลุ่มใหญ่ผ่านมาพอดี ทำให้พวกตระกูลบีนยอมล่าถอย และหนีกลับไป เหลือไว้เพียงศพของภรรยาผู้น่าสงสาร
ด้วยความช่วยเหลื่อจากกลุ่มคณะเดินทาง ชายหนุ่มได้ศพของภรรยากลับไป และได้แจ้งทางการให้ทราบ ว่าเค้าและภรรยานั้นถูกทำร้ายโดยกลุ่มคนบ้าคลั่งที่ส่อแววว่ากินเนื้อมนุษย์ด้วย เรื่องนี้กราบทูลไปถึงพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ หรือภายหลังคือพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ
พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ / Cr. Wikipedia
ไม่กี่วันหลังจากนั้น พระเจ้าเจมส์สั่งทหารกว่า 400 นาย พร้อมด้วยสุนัขล่าเนื้อบลัดฮาวด์ ไปยังสถานที่เกิดเหตุ โดยมีชายผู้สูญเสียภรรยาเป็นคนนำทาง
พระเจ้าเจมส์คุมกำลังทหารด้วยตนเองไปจนถึงบริเวณที่หญิงสาวถูกฆ่า แล้วสั่งทหารแยกย้ายกำลังกันตามหากลุ่มคนบ้าคลั่งที่ชายหนุ่มพูดถึง
สุนัขล่าเนื้อไต่ขึ้นไปตามโขดหินที่สลับซับซ้อนไปตลอดชายฝั่ง สุดท้ายมันก็เห่าไม่หยุดเพราะเหมือนได้เจออะไรเข้าแล้ว
ทหารจึงปีนตามไปจนพบกับทางเข้า เมื่อบุกเข้าไป พวกเค้าก็ได้กลิ่นเหม็นคละคลุ้งพร้อมกับพบกระดูกกองพะเนินและชิ้นส่วนของมนุษย์ ข้าวของเครื่องใช้แขวนเอาไว้ในถ้ำ
ภายในถ้ำก็ปรากฏชายสูงอายุ หนวดเครารุงรัง ซอว์นี่ บีน และครอบครัวของเขาที่หวาดกลัวปนแววตาที่โกรธเหมือนหมาหวงถิ่น หลักฐานต่างๆ ภายในถ้ำทำให้ตระกูลของบีนทั้งหมดถูกจับ ไม่ว่าพวกเขาจะขัดขืนหรือสู้แค่ไหน ก็ไม่สามารถอาจต้านกองกำลังของทหารได้
หลังจากนั้น พวกเขาถูกขังตัวไว้ที่คุกแล้วนำมาสอบสวน พวกเขายอมรับสารภาพว่าได้ไล่ล่ากินคนมาแล้วเป็นเวลามากกว่า 25 ปี และเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้นมากมายเกินกว่าจะนับไหว
บีนและครอบครัวของเขาถูกตัดสินให้ประหารชีวิต โดยไม่เว้นแม้แต่เด็ก
โดยผู้ชายจะถูกประหาร โดยการจับขึงเอาไว้ แล้วตัดแขนขา
รวมทั้งอวัยวะเพศ แล้วรอให้เลือดไหลจนหมดตัว
ส่วนผู้หญิงและเด็กนั้น ถูกบังคับให้มองภาพการโดนประหารของเหล่าผู้ชาย หลักจากนั้นพวกเขาก็โดนถูกเผาทั้งเป็นในเวลาต่อมา
ในวันประหารนั้น ประชาชนขาวสกอตแลนด์และอังกฤษต่างมามุงดูกันแน่นขนัด แต่พวกบีนไม่ได้มีความสำนึกแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าเรื่องที่พวกเขาทำนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแปลกของพวกเขาเลย พวกเค้าตะโกนด่าและสาปแช่งทุกคนด้วยคำหยาบคายจนสิ้นลมหายใจ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบางส่วนปรากฏว่า มีลูกสาวคนนึงของ ซอว์นี่ บีน ได้หนีออกมาจากถ้ำแล้วแยกไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวของตัวเอง
แต่หลังจากการประหารนั้น ได้มีชาวบ้านบางกลุ่มได้รู้ว่า
เธอเป็นลูกสาวของ ซอว์นี่ บีน จึงทำให้กลุ่มชาวบ้านที่โกรธแค้น จับเธอแขวนคอในเวลาต่อมา
ซอว์นี่ บีนและครอบครัวมนุษย์กินคน เป็นเรื่องที่บันทึกไว้ในหนังสือ The new gate calendar ซึ่งเป็นหนังสือที่แทบทุกบ้านของอังกฤษจะต้องมีไว้ในช่วงปี ค.ศ.1800 ที่เอาไว้สอนเด็กๆ ให้ใช้ชีวิตและดำเนินแนวทางอย่างถูกต้อง
The new gate calendar / Cr.The British Library
อีกทั้งเรื่องราวระทึกขวัญนี้ ยังถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ในชื่อเรื่อง The Hill Have Eyes หรือชื่อภาษาไทยคือ โชคดีที่ตายก่อน
โดยเนื้อเรื่องได้รับแรงบรรดาลใจมาจากเรื่องเล่าของ ซอว์นี่ บีน ส่วนตัวหนังนั้นก็ประสบความสำเร็จจนถูกนำมาสร้างถึง 2 ภาค ด้วยกัน
THE HILLS HAVE EYES 2006
ยังไงก็แล้วแต่ จากข้อมูลที่พบก็ยังไม่มีที่ใดบ่งบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า
แต่ส่วนใหญ่มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่า เพราะอาจแค่ต้องการเพื่อข่มขวัญนักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวระวังตัวเวลาเดินทาง
หรือเพียงแค่ต้องการให้ผู้คนเกรงกลัวต่อกฏหมายในสมัยนั้นเท่านั้น
เพราะถ้ามองในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ สาธาณสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำคลอดแล้วนั้น จะเป็นไปได้จริงๆหรอ ที่พวกเขาจะสามารถอยู่ในถ้ำได้ถึง 25 ปี
เพื่อนๆมีข้อสงสัยอะไรบ้าง และคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพื่อนๆ ลองคอมเม้นและแชร์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เลยนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา