14 เม.ย. 2020 เวลา 12:18 • สุขภาพ
จดหมายจากเวียดนาม...
สยบโควิดด้วยทุนต่ำ และการโฆษณาชวนเชื่อ
ถึงแม้เวียดนามพรมแดนจะติดกับจีน และทำธุรกิจกันเยอะมาก แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเวียดนามล่าสุด (14 เม.ย.) มีทั้งสิ้น 265 ราย รักษาหายแล้ว 167 ราย และเสียชีวิตทั้งสิ้นศูนย์คน
…ใช่แล้วครับ “ศูนย์” คน คือไม่เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว
พอฟังแบบนี้อาจสงสัย…เอ เวียดนามเค้าตรวจน้อยรึเปล่า เลยหาไม่เจอ?
ข้อมูลจาก Worldometer (14 เม.ย.)
1) การทดสอบโควิด-19
- เวียดนาม = 121,821 ครั้ง / คิดเป็น 1,252 ครั้งต่อประชากร 1 ล้านคน
- ไทย = 100,498 ครั้ง / คิดเป็น 1,440 ครั้งต่อประชากร 1 ล้านคน
- ญี่ปุ่น = 78,702 ครั้ง / คิดเป็น 622 ครั้งต่อประชากร 1 ล้านคน
2) จำนวนผู้ติดเชื้อ/รักษาหาย
- เวียดนาม ติดเชื้อ 265 ราย / รักษาหาย 167 ราย (63%)
- ไทย ติดเชื้อ 2,613 ราย / รักษาหาย 1,405 ราย (54%)
- ญี่ปุ่น ติดเชื้อ 7,645 ราย / รักษาหาย 799 ราย (10%)
นอกจากนี้เวียดนามผลิตชุดทดสอบโควิด-19 ได้เองในประเทศ
ซึ่งดูตัวเลข ประชากรเวียดนามก็มีการตรวจโควิดที่สูสีกับไทย
และหลายๆ สำนักข่าวต่างประกาศว่า…นี่คือ ชัยชนะของเวียดนาม ในสงครามโควิดครั้งนี้ ซึ่งดูจากตัวเลข รายงานก็มีสิทธิ์ ที่จะเป็นเรื่องจริง
และที่น่าสนใจคือ จดหมายจากประชาชนเวียดนามคนหนึ่ง เขียนเอาไว้ได้น่าสนใจมากๆ
แอดมินเลยแปลสรุป เอามาฝากให้อ่านกัน
หากพร้อมแล้ว ไปติดตามกันเลย
════════════════
หาราคาขนส่งทั่วโลก ที่ดีที่สุด
════════════════
“จดหมายจากเวียดนาม”…โดย Andrew Lam ลงวันที่ 12 เม.ย.
Andrew Lam Cr. Washington Spectator
“มองลงมาจากคอนโดที่ผมอยู่ ข้ามผ่านแม่น้ำไซ่ง่อน มองเห็นย่านดาวน์ทาวน์ของนครโฮจิมินห์ซิตี้อยู่ลางๆ ไม่ไกลจากตึกระฟ้าที่เพิ่งสร้างเสร็จ และ
สะพานถูเทียม (Thủ Thiêm) อันโด่งดัง”
“ในวันปกติ สะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์แน่นขนัด แต่ในวันนี้ มีเพียงรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ไม่กี่คัน”
“มันเหมือนกับนครโฮจิมินห์ ทำให้ตัวเองว่างเปล่า และความเงียบเหงาก็คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ”
Cr. Andrew Lam
แน่นอนว่า คุณ Andrew เป็นนักเขียนและศิลปิน มืออาชีพ เขาบอกเล่า
ประเด็นที่น่าสนใจไว้เพิ่มเติม…
เวียดนามมีวิธีจัดการกับโควิดอย่างไร?
ประเทศเวียดนามเลือกใช้วิธีล็อคดาวน์ คือ ปิดเมือง หยุดกิจกรรมทุกอย่าง (ที่โฮจิมินห์ หยุดมาตั้งแต่ต้นเดือน 31 มี.ค. ถึงวันที่ 15 เม.ย. นี้) โดยอนุญาตให้ประชาชนออกไปซื้ออาหารและยาเท่านั้น
ที่เหลือคือปิดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ร้านตัดผม โรงหนัง ร้านอาหาร โรงยิม
ศูนย์การค้า การสังสรรค์เป็นหมู่คณะที่บ้านเพื่อน ห้ามทั้งหมด
โดยหลังจากวันที่ 15 เม.ย. อาจมีการประกาศเคอร์ฟิว เพิ่ม ต้องดู
สถานการณ์อีกที
Cr. Andrew Lam
โฆษณาชวนเชื่อ?
คุณแอนดรูเล่าว่า ทุกๆเช้า ที่คอนโด จะมีเสียงผู้หญิง ดังต่อเนื่องประมาณ
ครึ่งชั่วโมง เพื่อย้ำเตือนให้ทุกคนดูแลความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นการหมั่นล้างมือ การสวมหน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การรักษาระยะห่างระหว่างกัน
จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยเพลงต้านไวรัสโคโรน่า ของเวียดนามเอง ที่ผู้เขียนบอกว่าเพลงนี้ไวรัลมากๆ จริงๆ แล้วต้องบอกว่าดังไปทั่วโลก
การใช้เทคโนโลยี?
นอกจากโฆษณาชวนเชื่อ ทางคุณ Andrew ก็จะได้รับ SMS วันละ 1 ถึง 2 ครั้ง จากกระทรวงสาธารนสุข เพื่อให้ข้อมูลถึงจำนวนผู้ติดเชื้อ ทั้งเก่าและใหม่
นอกจากนี้ก็ยังไม่ลืม ที่จะเตือนอีกรอบ บอกให้ทำตามกฎที่ล็อคดาวน์ และ
ให้รีบแจ้งสายด่วยหากพบว่าตัวเอง หรือเพื่อนๆ มีอาการต้องสงสัยว่าจะติด
เชื้อโควิด-19
บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง?
ที่ไทยช่วงแรกก็บอก ไม่ต้องใส่หน้ากากเก็บไว้ให้แพทย์ พอ WHO เปลี่ยนใจ เราก็เลยบอกให้ทุกคนใส่ละกัน
แต่ที่เวียดนาม คนที่ไม่ยอมใส่หน้ากาก หรือว่าใส่ไม่ถูกต้องคือปิดแค่ปาก ไม่ได้ปิดจมูก ก็ต้องจ่ายค่าปรับด้วยนะ
และคนที่โน่นเค้าก็จะเตือนกันเองด้วย หากใครไม่ใส่หน้ากาก
คุณ Andrew เล่าว่า เขาเห็นคุณยายคนหนึ่งตะโกนใส่เด็กวัยรุ่นสองคน ที่ไม่ยอมใส่หน้ากากขณะวิ่งเล่นกันอยู่ในสวน
สำหรับ คนที่ต้องสงสัยว่าอาจพบปะ เดินทางกับผู้ติดเชื้อ ต้องทำการทดสอบโควิด-19 ทุกคน และต้องกักตัว 14 วัน
และคนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ก็ต้องกักตัวทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ…เข้าค่ายทหาร ไปเลย
People play sports in groups on the courtyard at Son Tay Military School quarantine camp in Hanoi. Photo: Gavin Wheeldon SCMP
นับเลขมั่ว หรือปกปิดรึเปล่า?
ผู้เขียนบอกว่า คนทั่วๆไปก็คงสงสัยว่า เวียดนามนี่เลียนแบบจีนหรือไม่?
แบบว่าบอกไม่หมด
แต่ก็มีข้อมูลแย้งว่า สื่อที่เวียดนามค่อนข้างเสรี โดยเฟสบุ๊ค ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการเสพย์ข่าว ซึ่งปัจจุบันก็เจาะตลาดเวียดนามไปได้กว่า 50% ของประชากร
ที่เห็นก็คือ รัฐบาล เด็ดขาดจริง สั่งไม่ให้ชุมนุม สั่งปิด สั่งหยุดเที่ยวบิน ตามที่เห็นควร
และก็มีอีกทฤษฎีว่าเป็นเพราะการที่คนเวียดนามทุกคนได้รับวัคซีน BCG อาจทำให้ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคโควิด-19 ได้
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ?
แน่นอนว่าหยุดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการบิน การเดินทางระหว่างประเทศ ก็กระทบการท่องเที่ยวเวียดนามเต็มๆ โดยอาจมีมูลค่าสูงกว่า 200,000 ล้านบาท ในอีก 3 เดือนข้างหน้า มองไปข้างหน้าภาพก็ยังแย่
โดยผู้เขียนกล่าวว่า ช่วงหลังๆ รัฐบาลเวียดนาม ก็เริ่มกลับไปใช้คำพูดปลุกใจยุคสงครามเวียดนามกันแล้ว ตัวอย่างเช่น
“เรามารวมพลังกันเพื่อสู้ไวรัสโคโรน่า…” ในขณะที่ หมอและพยาบาล คือ “นักรบในชุดขาว…”
Cr. The Guardian
ซึ่งสิ้นเดือน เมษายนที่จะถึงนี้ คือวันครบรอบ 45 ปี สงครามเวียดนาม...
คุณ Andrew บอกว่าชาวเวียดนาม ก็คงไม่มีเวลามานั่งดีใจ เฉลิมฉลอง
เพราะว่าในสงครามใหม่ครั้งนี้ พวกเขามีจุดหมายเดียวกัน ก็คือ
เอาชนะสงครามครั้งนี้ให้ได้…อีกครั้ง
Cr. Asia Pacific Foundation
ก็คงสรุป (ในเบื้องต้น) ได้ว่า เวียดนามเค้ามีเปอร์เซ็นต์สูง ที่จะชนะสงครามครั้งนี้จริงๆ
โดยใช้ต้นทุนที่ตัวเองมี และใช้พลังแห่งโฆษณาชวนเชื่อ จัดการควบคุมโรคได้อยู่หมัด
(ปล. แอดละเสียวจริงๆ รอบที่แล้วโพสญี่ปุ่นปุ๊บ ยอดพุ่งปั๊บเลย T-T)
ซึ่งบทความนี้ แอดมินไม่ได้จะปิดจบด้วยมุกชาไข่มุก
แต่แค่คิดว่าหลายครั้งที่มีการนำเวียดนามมาเปรียบเทียบกับไทย
ว่าไทยคงแพ้แน่ ไม่ไหวแล้ว ทั้งเศรษฐกิจ โครงสร้างประชากร ค่าแรง ต่างๆ นานา สู้ไม่ได้แน่ๆ
ประชากรเวียดนามที่มีความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เขียนซอฟต์แวร์ ก็มีมากกว่าไทย
ขนาดทีมฟุตบอลชายของเวียดนาม ก็ดูจะเก่งกว่าไทยแล้ว
เวียดนามคือ ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากสงครามการค้า จีน-สหรัฐฯ
และกำลังเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ จากเหตุการณ์โควิด-19…
หากกลับมาดำเนินกิจกรรมการผลิตสินค้าส่งชาวโลกได้ก่อนเพื่อน
ซึ่งปัจจุบันเวียดนามส่งออก PPE และเครื่องมือแพทย์ ได้มันส์มากอยู่แล้ว
คือทั้งผลิตชุดทดสอบโควิด-19 และหน้ากากได้เอง จนเหลือบริจาคให้เพื่อนบ้านอีกด้วย
พอพูดถึงเรื่องการเปรียบเทียบ ก็จะมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวว่า
The grass is always greener on the other side of the fence
เรามักจะรู้สึกว่าสนามหญ้าบ้านข้างๆ (ที่อยู่อีกฝั่งของกำแพง) เขียวสดกว่าสนามหญ้าบ้านตัวเองเสมอ
Cr. เฟสบุ๊ก
ซึ่งการที่จะบอกว่า “ดีกว่า” จริงไหม ก็คงขึ้นกับว่า เราเปรียบเทียบกับอะไร?
เพราะความสุข และความทุกข์ของแต่ละคน คงมีไม่เท่ากัน ขึ้นกับเราไปเทียบกับอะไร (โอเคว่าหากมองเศรษฐกิจทั้งประเทศ ยังไงทรงแบบเวียดนามก็แซงไทยแน่ๆ)
แต่ก็มีอีกวลีหนึ่ง ที่โดนใจแอดมินมากๆ อยากให้อ่านกัน (เกี่ยวกับหญ้าเหมือนกัน)
เป็นของคุณ Nikhil Deshmukh ซึ่งลงไว้ในบล็อกของคุณ Anontawong’s Musings ซึ่งบอกว่า
When do you know your life has changed?
คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว?
The moment you realize that grass in not greener even on the other side.
ก็ตอนที่คุณตระหนักว่าสนามหญ้าบ้านข้างๆ ก็ไม่ได้สวย(เขียว) ไปกว่าบ้านของคุณ...
And that’s exactly when you start watering grass on your side.
แล้วคุณก็เริ่ม “รดน้ำ” ให้กับ สนามหญ้าของคุณเอง...
Cr. Anontawong.com
อ่อ ส่งท้าย ช่วงนี้ก็สามารถ รดน้ำ (ดำหัว) ออนไลน์ กันได้นะครับ
════════════════
หาราคาขนส่งทั่วโลก ที่ดีที่สุด
════════════════
👫 พิเศษสุด! นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า Marketplace
สำหรับเพื่อนๆ นำเข้า ส่งออก เชิญค้าขายกันได้เลย
❤️ ช่วย SMEs ก้าวไกลไปทั่วโลก
โฆษณา