15 เม.ย. 2020 เวลา 09:20 • กีฬา
สิ่งที่ผู้คน มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโชเซ่ มูรินโญ่คือ ในวันแรกที่มารับงานที่เชลซี เขาไม่ได้เรียกตัวเองว่า "The Special One" แต่เขาเรียกตัวเองว่า "a special one"
The (เดอะ) หรือ A (อะ) เหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยเนอะ แต่จุดนี้มีนัยสำคัญซ่อนอยู่ วิเคราะห์บอลจริงจังจะอธิบายให้ฟัง
ย้อนกลับไปในช่วงปลายฤดูกาล 2003-04 โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมเชลซี ตัดสินใจปลดเคลาดิโอ รานิเอรี่ ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียน ออกจากตำแหน่ง และคนที่จะมาเป็นกุนซือคนใหม่ อบราโมวิช กำลังชั่งใจอยู่ว่า จะเลือกใครดี ระหว่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมเอฟซี ปอร์โต้ กับอีกคนคือ ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ผู้จัดการทีมโมนาโก
ในแว้บแรก เดส์ช็องส์ มีภาษีดีกว่า สาเหตุเพราะเคยเป็นอดีตนักเตะเชลซีมาก่อน อีกทั้งยังเคยเป็นกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก 1998 และยูโร 2000 คือดูเหมาะสมไปหมด เป็นตัวเลือกที่มีชาติตระกูลมาก
ส่วนมูรินโญ่นั้นมีคาแรคเตอร์โดดเด่น บุคลิกดี หล่อเหลา อาจไม่ได้มีชื่อเสียงในฐานะนักเตะ แต่ถ้าวัดจากผลงานของการเป็นโค้ชรุ่นใหม่มาแรง ก็นับว่าไม่ธรรมดา
อบราโมวิชเคยเชิญมูรินโญ่ไปขึ้นเรือยอชต์ส่วนตัว ร่วมกับ ปีเตอร์ เคนย่อน ซีอีโอของสโมสร และยูจีน เทเน็นบาม ผู้อำนวยการของทีม เพื่อคุยกึ่งๆสัมภาษณ์งาน ซึ่งวันนั้นมูรินโญ่ เตรียมพาวเวอร์พอยต์ อย่างละเอียดมากเกี่ยวกับแผนงานว่าเขาจะทำอะไรบ้าง ถ้าได้เป็นผู้จัดการทีมเชลซี แต่ครั้งนั้นก็เป็นแค่การคุยกันเฉยๆ อบราโมวิชยังไม่ได้ตกลงอะไร เพราะในใจก็ยังชอบเดส์ช็องส์อยู่
เดส์ช็องส์ กับ มูรินโญ่ถือว่าโดดเด่นกันคนละแบบ ดังนั้นอบราโมวิช ใช้เกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2004 เป็นเครื่องตัดสินใจว่าจะเอาใครดี เพราะปอร์โต้ กับ โมนาโก เข้าชิงกันเอง นี่จะเป็นนัดที่วัดกึ๋นกันเลย ว่าผู้จัดการทีมคนไหนจะเหนือกว่ากัน
ซึ่งบทสรุป ปอร์โต้ ชนะ 3-0 ชนิดเอาต์คลาส สู้กันไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ทำให้อบราโมวิชตัดสินใจไม่ยาก ทาบทามมูรินโญ่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของเชลซี ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาให้ปอร์โต้ 1.7 ล้านปอนด์ ซึ่งมูรินโญ่นั้นเป็นคนทะเยอทะยานอยู่แล้ว เขาตัดสินใจแยกทางกับปอร์โต้ได้ไม่ยากเลย
ในงานแถลงข่าวรับงานเป็นผู้จัดการทีมเชลซี วันที่ 2 มิถุนายน 2004 มูรินโญ่ให้สัมภาษณ์ว่า
"ในการคุยกับสโมสรเชลซี ผมประทับใจตั้งแต่ครั้งแรก เพราะบุคลากรที่นี่ มีทัศนคติแบบเดียวกับผม พวกเขารักฟุตบอลเหมือนผม และพวกเขากระหายอยากจะชนะ ซึ่งเป็นนิสัยของผมเช่นเดียวกัน"
"ที่เชลซีแห่งนี้ มีนักเตะระดับชั้นนำมากมาย แล้วก็ขอโทษนะ ผมพูดแบบนี้อาจดูเย่อหยิ่งไปหน่อย แต่ ตอนนี้เราก็ได้ผู้จัดการทีมชั้นนำมาแล้วเหมือนกัน"
และมาถึงประโยคคลาสสิคที่สุด ในการเปิดตัวครั้งนี้ มูรินโญ่ พูดว่า
"Please don’t say I’m arrogant, because what I say is true. I am European champion, so I’m not one of the bottle. I’m I think I’m a special one”
ได้โปรดอย่าบอกว่าผมเย่อหยิ่งเลยนะ เพราะสิ่งที่ผมพูดไปมันคือความจริงทั้งนั้น ผมคือแชมป์ยุโรป ผมไม่ใช่พวกโนเนมมาจากไหน ผมคิดว่า ผมคือคนพิเศษคนหนึ่งนะ
คำจริงๆที่มูรินโญ่แทนตัวเอง คือ a special one ไม่ใช่ The Special One
a กับ The ต่างกันอย่างไร
ทั้งสองคือ "คำหน้านาม" คือจะวางเอาไว้หน้าคำนามเหมือนกัน แต่ใช้ในลักษณะที่ต่างกัน
เวลาเราใช้ a เราจะกล่าวถึงอะไรสักอย่างที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น a boy ก็คือ เด็กชายคนหนึ่ง
ส่วน The เราจะกล่าวถึงสิ่งที่เฉพาะเจาะจง โฟกัสไปเลยว่าหมายถึงสิ่งนั้น อย่าง The boy ก็คือกล่าวถึงเด็กผู้ชายคนนี้เท่านั้น ไม่ใช่การกล่าวรวมๆ
ดังนั้นฉายาของนักกีฬาทั้งหลาย จึงเป็น The เสมอ เพราะกล่าวถึงแบบเจาะจง เช่น คาร์ล มาโลน นักบาสตำนานของยูท่าห์ แจ๊ซซ์ มีฉายาว่า The Mailman หรือบุรุษไปรษณีย์ สาเหตุเพราะ เขาเล่นได้สม่ำเสมอมากๆ เหมือนกับบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งจดหมายแบบสม่ำเสมอทุกวันไม่เคยขาด
ฉายาของมาโลน ก็ใช้ The ไม่ใช่ a mailman หรือไปรษณีย์คนหนึ่ง เพราะมันเจาะจงไปเลยว่า กล่าวถึงเขาเท่านั้น
สิ่งที่มูรินโญ่พูดในวันแถลงข่าวนั้น ความจริงคือมูรินโญ่ค่อนข้าง "เซฟตัวเอง" พอสมควร กล่าวคือ เขามั่นใจในตัวเอง แต่มาวันแรกก็คงไม่กล้าอหังการอะไรขนาดนั้น
ความหมายที่เขาจะบอกคือ "ผมเป็นแชมป์ยุโรป ไม่ใช่โค้ชโนเนมมาจากไหน ผมคิดว่าตัวเองก็เป็นคนที่พิเศษคนหนึ่งนะ"
ถ้าแปลความหมายตรงๆ ของคำว่า a special one แล้วจะเห็นว่าประโยคนี้ไม่ได้รุนแรง หรือเย่อหยิ่งมากนัก มูรินโญ่ต้องการบอกคนอื่นว่า แม้คนในอังกฤษอาจจะไม่ค่อยรู้จักเขา เพราะมองว่าเขามาจากลีกโปรตุเกส แต่อย่าลืมว่าเขาเคยได้แชมป์ยุโรปมาแล้ว ดังนั้นก็มีฝีมือประมาณหนึ่งล่ะ ขอให้แฟนๆเชลซีไว้วางใจได้เลย
แต่ในวันนั้น สื่อมวลชนต่างเอาไปเสนอข่าวว่า มูรินโญ่พูดว่า "The Special One" โดยตั้งฉายาให้ตัวเอง ว่ากูนี่ล่ะคือคนพิเศษ เป็นหนึ่งเดียวคนนั้น เป็น The Special One ของวงการฟุตบอล ซึ่งจริงๆ ตัวเขาไม่ได้สื่อแบบนั้น
คือมูรินโญ่ก็มีความเย่อหยิ่ง และมั่นใจในตัวเองจริงๆ แต่เขาไม่ได้ตั้งฉายานี้ให้ตัวเอง และพอสื่อมวลชนเอาคำนี้ไปเล่นมากๆเข้า ทำให้ The Special One เลยเป็นฉายาของเขาไปโดยปริยาย
และพอไปๆมาๆ มีคนเรียกมูรินโญ่แบบนั้น เขาก็เลยตามเลย ยอมรับไปเลยว่าตัวเองเป็น The Special One จริงๆ
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ เราควรรู้ก่อนว่า คำแรกที่มูรินโญ่เรียกตัวเองคือ a special one ซึ่งเขาไม่ได้เจตนาจะให้มันเป็นฉายาหรอกนะ
ดังนั้นความหยิ่งผยองของมูรินโญ่นั้น แน่นอนส่วนหนึ่งมันก็คือบุคลิกเขาจริงๆ
แต่ในเวลานั้น ฟุตบอลอังกฤษ โหยหา ผู้จัดการทีมใหม่ๆสักคนที่มีคาแรคเตอร์เท่ๆ แสบๆ ซึ่งให้อารมณ์ที่ต่างจากเฟอร์กูสัน หรือเวนเกอร์ และมูรินโญ่ก็เข้ามาพอดี สื่ออังกฤษก็เลยมองว่าเข้าทางเลย
คนบ้ายอ กับ คนชอบยอ อยู่รวมกัน
a special one จึงแปลงร่างเป็น The Special One ในท้ายที่สุด
#Mourinho
โฆษณา