15 เม.ย. 2020 เวลา 21:24 • การศึกษา
การปลูกฝังการเคารพในตัวเองและผู้อื่นตั้งแต่เด็กอาจจะเป็นหนทางในการพาประเทศชาติเดินไปข้างหน้า
ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งต่อจากโพสก่อนหน้าเรื่องเครื่องช่วยหายใจ และทัศนคติของคนไทย
ผมเป็นวิศวกรไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศถาวรมาประมาณ 12 ปี ในหลายประเทศ ใช้เวลาประมาณ 30% ของชีวิตอยู่นอกประเทศ และประมาณ 50% ของชีวิตทำงานกับคนต่างชาติ
ปัจจุบันอยู่ในยุโรปมา 8 ปีแล้ว จริงๆ ตอนแรกที่ออกนอกประเทศคิดว่าจะย้ายไปเรื่อยๆ เพื่อดูโลกกว้าง
ถ้าลูกไม่เริ่มเข้าโรงเรียนผมคงไปอเมริกาหรืออาจจะไปอยู่แถวตะวันออกกลางแล้ว ตอนนี้ก็คงจะอยู่นิ่งๆ ในที่ๆ คิดว่าดีกับอนาคตการเรียนของลูกที่สุด
การออกมาทำงานนอกประเทศโดยเฉพาะงาน Offshore ที่มันนานาชาติมากยิ่งทำให้เจอผู้คนและเห็นงานหลากหลายมาก ซึ่งมันเปิดโลกผมค่อนข้างมาก ถึงมากที่สุด จนทุกวันนี้วิธีคิดผมแตกต่างมากจากก่อนที่จะออกมานอกประเทศ
เมื่อหลายปีก่อนอยู่บริษัทหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าเค้าให้ความเคารพในความรู้ผมพอสมควร ทั้งที่เป็นวิศวกรไทย จบในไทย ไม่ได้จบมหาลัยดังๆในโลก (ถึงมหาลัยจะดังในไทย แต่ออกนอกประเทศไม่มีใครรู้จัก งั้นจบที่ไหนก็อย่าไปเบ่งหรือเล่นสีใส่กันเลย ออกนอกประเทศศักดิ์ศรีเท่ากันหมด)
1
ตอนนั้นคุยกันอยู่เรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับงานสักอย่าง เค้าก็พูดว่าเนี่ยทฤษฎีนี้ คนคิดอยู่ที่เมืองนี้เอง ไม่ห่างจากบริษัทเท่าไร พูดไปสักพัก ก็มีอีกทฤษฎีคนคิดก็อยู่ในประเทศเค้าเหมือนกัน
เค้าเลยพูดขึ้นมาว่า มีทฤษฎีไหนที่คนไทยคิดบ้าง.... ผมนี่ไปไม่เป็นเลย ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ แล้วบอกว่าไม่มี (รู้สึกอายมากตอนนั้น).... มันก็ทำหน้างงๆ
คือเค้าทำงานกับเราสักพัก คงคิดว่าคนไทยไม่ได้โง่ แต่ทำไมคนไทยไม่มีทฤษฎีหรืออะไรที่พัฒนาขึ้นมาเองเลย....
ผมก็กลับมาคิด.... เออ ทำไมวะ....
สุดท้ายข้อสรุปส่วนตัวผม (อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย) หลังจากมานั่งพิจารณาตัวเองว่าทำไมเราทำแบบฝรั่งไม่ได้ และคนไทยแตกต่างจากเค้ายังไง
คิดว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ถูกสอนให้คิด เราถูกสอนให้ทำตาม ตั้งแต่เด็กมาเราถูกสอนด้วยการเข้าห้องเรียน ฟังครูอ่านให้ฟังและอ่านตามมาตลอด แทบไม่มีวิชาอะไรที่ให้ทำอะไรสร้างสรรค์เลย แต่มีวิชาที่ไม่จำเป็นอย่างพุทธศาสนาให้นักเรียนเข้าไปนั่งหลับ ทั้งที่มันควรจะเป็นจะสงวนสิทธิ์ให้เด็กเลือกเองว่าจะนับถือศาสนาอะไร ไม่ควรอยู่ในหลักสูตรด้วยซ้ำ (ตอนนี้หลักสูตรเราเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้นะครับ อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้)
เรื่องพวกนี้ลามมายันจบและทำงาน เพราะหลายคนเรียนจบแล้วยังติดการเรียนแบบไทยๆ คือต้องวิ่งเข้าหาคนสอน ทั้งที่ความรู้ ป ตรี เพียงพอสำหรับการศึกษาต่อยอดด้วยตัวเองแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครเปิดหนังสือแล้วอ่านให้ฟังอีกต่อไป ดังจะเห็นว่ามีคอร์สหรือหลักสูตรระยะสั้นเต็มไปหมด เพราะคนไทยอ่านเองไม่เป็น ชอบให้คนอ่านอ่านและสรุปให้ฟังแล้วทำตาม....
1
และเราไม่ถูกสอนให้เคารพความคิดของคนอื่น และไม่ถูกสอนให้เคารพความแตกต่าง โดยเฉพาะเรื่องการเหยียด ที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทย
คนไทยปลูกฝังการเหยียดมาตั้งแต่เด็ก และคนไทยไม่ชอบการแปลกแยก คนไหนประหลาดไม่เหมือนคนอื่นจะโดนเหยียดหรือล้อทันที ตั้งแต่เรียก ไอ้ลาว ไอ้เหยิน ไอ้หัวหงอก ไอ้โง่ ไอ้ดำ ไอ้นิโกร (จะบอกว่าคำนี้ไปพูด ตปท โดนเค้ากระทืบได้ง่ายๆ เลยนะ) ไอ้เหล่.... สารพัดไอ้ หรือแม้กระทั่งบอกว่าคิดแต่เรื่องโง่ๆ
และเหยียดลามเข้าไปอยู่แม้กระทั่งรายการทีวี เอามาเหยียดกันเป็นมุกตลกห้าบาท จนคนไทยเห็นเป็นเรื่องตลก ปกติ จนไม่รู้สึกเลยว่าคำเหล่านี้คือคำเหยียด หรือที่เค้าเรียกว่า Racist หรือการเหยียดผิว หรือ Bully นั่นละ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในต่างประเทศ
ถึงแม้จะมีคนเถียงว่าการเหยียดยังมีอยู่ในต่างประเทศ ใช่ครับ แต่อย่างน้อยเค้าก็ยังรู้ว่าอะไรคือการเหยียด ในขณะที่คนไทยเหยียดและล้อกันเป็นเรื่องปกติและแยกไม่ออกว่าอันไหนคือการเหยียดเพราะพูดในชีวิตประจําวันทุกวันจนเป็นคำติดปาก
ในขณะที่เด็กฝรั่งโดนสอนให้รู้จักแสดงความเห็นและเคารพในคนอื่น ถึงแม้ความเห็นนั้นจะไม่ได้เรื่องก็ตาม แต่เพื่อนก็ห้ามที่จะหัวเราะเยาะหรือแสดงท่าทีรังเกียจ ซึ่งจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ อันนี้ครูฝรั่งเค้าให้ความสำคัญมาก
และที่ผมสังเกตจากลูกผม คือ ทุกเช้าผมต้องคอยมาดูว่าทรงผมเรียบร้อยมั้ย บางครั้งนอนตื่นมาผมชี้เด่ ต้องเอาน้ำมาลูบจัดทรงให้ก่อนไป รร บางวันผมรีบมาก ลืมดู มันไป รร ทั้งที่ผมชี้ๆ แบบนั้นเลย
กลับมาตอนเย็นผมถามว่าหัวตั้งแบบนี้เพื่อนไม่ล้อเหรอเนี่ย ลูกผมทำเสียงเข้มใส่ (รู้สึกเลยว่ามันพยายามจะบอกว่าเรื่องนี้ซีเรียสมาก) และตอบว่า ไม่มีเลย เพราะครูห้ามใครล้อกันที่ รร เค้าถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน....
1
การที่มันเป็นแบบนี้ทำให้เด็กกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นโดยไม่เขินอาย เรื่องนี้ทำผมอึ้งมาก เพราะเราโตมากับสังคมที่เด็กล้อกันจนเป็นเรื่องปกติ
ในขณะที่บ้านเรา ตัวครูเองเป็นคนนำล้อเด็กในห้องก็มี....
การเห็นสังคมที่แตกต่าง ทำให้ผมต้องปรับตัวเองขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเรียนรู้จากสังคมของลูก เพราะเค้าโตมากับสังคมฝรั่ง เค้าจะไม่คิดเหมือนในแบบที่เราโตมาจากสังคมไทย ซึ่งผมต้องคอยถามมันว่า อ๋อ เค้าสอนกันแบบนี้เหรอ เพราะบางอย่างเราเจอในที่ทำงานตอนโตแล้วเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไม ฝรั่งคิดแบบนี้ ซึ่งเราต้องพยายามทำความเข้าใจ และอยู่กับสังคมเค้าให้ได้
การไม่ถูกปลูกฝังให้เคารพความคิดของคนอื่นและความแตกต่างในชาติพันธุ์นี่ละ ทำให้เรามีสิ่งที่สร้างสรรค์น้อยกว่าฝรั่ง
เพราะเราไม่กล้าคิดอะไรใหม่ๆ เนื่องจากกลัวผิด กลัวคนอื่นติ กลัวใช้ไม่ได้ กลัวโดนล้อ กลัวไปทุกอย่าง เนื่องจากคนไทยไม่เคารพในความคิดของคนอื่น และพร้อมจะโจมตีทุกอย่างที่ผิดแปลกไปจากสิ่งที่ตัวเองเคยเห็น
สุดท้ายกลายเป็น เราไม่กล้าที่จะคิดหรือทำอะไรใหม่ๆ เองเลย ทำไปก็ไม่มีใครสนับสนุน ซื้อหรือลอกเค้ามาใช้ดีกว่า เราเสียเงินส่งคนไปเรียนต่างประเทศ จบ ดร กลับมาเท่าไรแล้ว มีอะไรที่ทำเป็นของคนไทยที่ใช้หรือเอามาขายได้ในนามประเทศไทยสักกี่ชิ้น
ศ ดร เต็มประเทศ มีทฤษฎีไหนบ้างที่คิดโดยคนไทย มีมาตรฐานไหนที่เขียนโดยคนไทยทั้งหมดโดยที่ไม่ลอกเค้ามาบ้าง
แล้วถ้ายังไม่มี อีกกี่ปีเราจะหลุดจากคำว่าประเทศกำลังพัฒนา เงินก็ไม่ค่อยมี คิดเองทำเองก็ไม่ได้ ทำมาก็ไม่มีใครสนับสนุน ชอบของนอกแต่ประเทศก็จนไม่มีเงินซื้อ คงต้องรอ จีน (ที่เราก็เหยียดเค้าอีก) หรือ อเมริกา (ที่ตบหัวแล้วลูบหลังเรามาตลอด) บริจาคให้ตลอดไป แบมือขอเค้ากับค่อยๆ ทำเอง ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ผมไม่รู้ว่าอันไหนมันน่าอายกว่ากัน
โฆษณา