17 เม.ย. 2020 เวลา 02:12 • ปรัชญา
ผู้ชนะสิบทิศตอนที่ 2
ชุมชนการค้าเมืองตองอู กุลีกำลังขนสินค้าเข้าร้านค้าอย่างวุ่นวาย คนจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ
สอพินยากับไขลูและทหารหงสาวดี 2-3 คนนั่งอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารชั้นดี ทุกคนมองไปสาวๆทางด้านหนึ่งของท่าเรือ ด้วยความสุขใจ
"ตองอูนั้นแม้จะมั่งคั่งสู้หงสาวดีของเราไม่ได้ แต่การจะเที่ยวหาเหตุสนุกเยี่ยงชาย ไม่ใช่เรื่องยากนะท่านอุปราช" ไขลูบอก
"ข้านั้นเคยคิดว่าหญิงรามัญนั้นงามล้ำสุดในพุกาม..แต่เมื่อมาเยือนถึงตองอูจึงเกิดใจลังเล"
"ท่านดูจะมั่นในบุตรีขุนวังทะกยอดินเร็วไป ขุนวังอาจคิดมัดท่านด้วยบุตรสาว หวังเป็นใหญ่ในหงสาวดีเราในภายหน้าได้ ข้าอาจจะหาหญิงอื่นให้ท่านได้เชยชมโดยไม่ต้องเป็นภาระน่าจะดีกว่า"
สอพินยามองลงไปยังเบื้องล่างยิ้มๆ
"งั้นขอเป็นแม่นางผู้นั้นได้ไม๊ท่านไขลู"
ไขลูมองตาม เห็นตองสาเดินนำสาววัง 2 คน เดินดูสินค้าอยู่ที่ด้านล่าง ไขลูแกล้งโยนมีดสั้นตกลงไปเฉียดตองสาเพียงนิดเดียว ตองสาร้องตกใจหันขึ้นไปมองสบตากับสอพินยาพอดี ไขลูทำตกใจ โบกไม้โบกมือให้แล้วรีบวิ่งลงไปหาที่ด้านล่าง
"ข้าขอโทษน้องสาว ที่พลาดทำมีดตกลงมาเกือบต้องให้บาดเจ็บ นายข้าเพียงแต่อยากรู้จักนามน้องสาวไว้ เพราะเพิ่งมายังตองอู"
ตองสาเงยขึ้นมองสอพินยาอีกครั้ง คราวนี้มองอย่างพินิจ ฝ่ายสอพินยาจ้องมองตองสาอย่างมีไมตรี นางรู้สึกเขินอายชมดชม้อยตา
"ข้า ตองสา เป็นนางพระกำนัลอยู่ในวังหลวง"
"นายข้าทำนายไม่ผิดเลยว่า น้องสาวคงไม่ใช่สาวชาวเมืองธรรมดา ข้าดีใจที่ได้รู้จักน้องสาวไว้"
ตองสาหันขึ้นไปยิ้มให้สอพินยาอีกครั้ง
"ข้าต้องรีบไปจัดการงานให้พระธิดาก่อน"
ตองสารีบเดินออกไป แต่ก็ไม่วายหันไปมองสอพินยาอีกครั้ง
ตองหวุ่นญียืนอยู่ที่ประรำที่ตั้งขึ้นชั่วคราว ซึ่งยกแท่นสูงประมาณ 2-3เมตร หลังคาเป็นผ้ากันแดด มีบันใดขึ้นสองข้างสามารถขึ้นไปอยู่ได้ประมาณ10 คน เพื่อดูทหารที่กำลังถูกฝึกอาวุธหลากหลายชนิด โดยมีนายกองควบคุมอย่างใกล้ชิดราว 30 คน
จิสะเบงกำลังดวลดาบสองมือกับทหาร 3 ต่อ 1 การซ้อมเหมือนเอาจริงมาก รานองกับทหารติดตามขี่ม้าเข้ามาดูการซ้อมที่สนามฝึกอาวุธ
ตองหวุ่นญีทำความเคารพ
"นึกไม่ถึงว่าท่านจะให้ความสำคัญในการซ้อมกำลังของข้าพเจ้าไม่เช่นนั้นจะจัดคัดผู้มีฝีมือมาฝึกให้ท่านชมเป็นพิเศษ"
"ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพถือว่าการฝึกนี้เป็นความลับหรือไม่" รานองถาม
"มิได้ ข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการให้ทหารที่ว่างจากการเพาะปลูก ใช้เวลาว่างมาสร้างความเข้มแข็งให้ร่างกายไว้เท่านั้น ท่านอุปราชก็คงทรงทราบอยู่แล้วว่า เพลานี้ทุกเมืองล้วนอยู่ในความสงบ ไฉนเลยจะมีสงคราม ขอท่านให้คำแนะในการฝึกนี่บ้างเถิด"
รานองมองทหารที่ฝึกอาวุธอยู่อย่างชื่นชม
"ชายฉกรรจ์ตองอูนี้ดูเข้มแข็งไม่เบาทีเดียว น่าภูมิใจแทนพระเจ้าอยู่หัวตองอูเหลือเกินที่มีแม่ทัพอย่างท่าน ที่ไม่ยอมอยู่เฉยแม้ว่างสงคราม"
บนเรือนใหญ่ ขุนวังทกะยอดิน เวลากลางวัน จะเด็ดกับกรมวังนั่งรอรับเสด็จอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สำรับอาหารจัดตั้งไว้รอเปิดตราอยู่
สอพินยา รานอง ไขลู และองครักษ์รานองเดินเข้ามา
"อาขอไปชำระกายก่อน วันนี่เพลียแดดเหลือเกิน"
รานองบอกแล้วแยกเข้าห้องไป
จะเด็ดถาม
"พระอนุชาจะประทับเสวยหรือยังพระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะได้เปิดตราตั้งเครื่อง"
สอพินยาเมาน้ำจัณฑ์มา
"เรือนนี้ไม่มีหญิงดูแลหรืออย่างไร ถึงให้ผู้ชายอย่างเจ้ามาทำ"
"เป็นกฎของเรือนนี้ ห้ามผู้หญิงขึ้นเรือนพระอุปราช"
"ผู้ใดเป็นคนตั้งกฏ"
"ข้าพเจ้าเอง"
"พวกเจ้าจะทำงานเรือนได้เกินสตรีได้อย่างไร ไปตามบุตรีท่านขุนวังมาดูแลข้าดีกว่า"
จะเด็ดนิ่ง ไม่ตอบ
ไขลูถาม
"ทำไมไม่ทำตามท่านอุปราชสั่ง"
"ข้าพเจ้าจะปฎิบัติตามเดี๋ยวนี้"
จะเด็ดออกไป สอพินยาเดินเข้าห้องไป ไขลูตาม
เวลาต่อมา สอพินยาเปลี่ยนชุด และเดินออกมาจากในห้องกับไขลู รานอง จะเด็ด และบ่าวหญิงแก่อายุ 60-70 ปีนั่งอยู่รอบตั่งอาหาร สอพินยางง มองหน้าไขลู แล้วมองหานันทวดี
"ไหนล่ะแม่นางนันทวดี"
จะเด็ดทำหน้าซื่อ
"แม่นางนันทวดีนั้นถนัดแต่งานบัญชีช่วยขุนวัง ถ้าเป็นเรื่องงานเรือนต้องพวกแม่สามสี่คนนี้ถึงจะเป็นยอดศรีเรือน"
สอพินยาโกรธจนควันออกหู แต่ก็พูดไม่ออก รา
นองหัวเราะชอบใจ
"เชิญพระอนุชาเถิด อาหิวเหลือเกินแล้ว"
สอพินยาจำต้องนั่งลงให้หญิงแก่เหล่านั้นจัดอาหารให้อย่างพะอืดพะอม จะเด็ดยังคงอยู่เฝ้างานเงียบๆเหมือนไม่รู้เรื่อง
กลางคืน จะเด็ดนั่งเล่นพิณ 16 สายอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนบ้านทะกยอดิน
ภายในห้องจันทราตำหนักพระราชเทวี กลักเงิน 2 กลักวางคู่กันอยู่ มีดอกไม้ที่จันทราชอบวางอยู่ข้างๆ จันทรานั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจก ตองสากับนางข้าหลวงทำงานอยู่ใกล้ๆ จันทราแสมผมด้วยดอกไม้ชนิดเดียวกับที่จะเด็ดเคยทัดให้ สักครู่ ... จึงหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดผมตัวเองออกปอยหนึ่ง
จะเด็ดนั่งเล่นพิณอยู่ที่เดิม เหล่าสาวใช้นั่งฟังอย่างชื่นชมอยู่ห่างๆ สักครู่ นันทวดีเดินเข้ามาฟังด้วย นางแอบชื่นชมอยู่ในที
"ฟังเถิดนายหญิง...ท่านจะเด็ดเคยอยู่ในวังนี่เอง ถึงได้เล่นไพเราะอย่างนี้"
นันทวดีเปลี่ยนสีหน้า ทำเชิดใส่ แล้วเดินออกไป จะเด็ดไม่รู้ตัวคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ
จันทรานั่งสีวิกาตรงไปที่ศาลากลางสวนตรงที่มังตรานั่งเล่นสกาอยู่กับนางพระกำนัล เรือนผมมี
ดอกไม้ชนิดเดียวกับที่จะเด็ดเคยเสียบให้ติดอยู่
มังตรากำลังเล่นสกากับนางกำนัลอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สนใจพี่สาวนัก นางกำนัลถวายเคารพ
"มา...มาเล่นต่อ เชิญเสด็จประทับพระพี่นาง หรือจะเล่นสกาสนุกๆกับข้าพเจ้า พวกนี้เล่นไม่รู้กติกาจนข้าพเจ้าเวียนเกล้าไปหมดแล้ว"
นางกำนัลบอก
"ก็พระราชบุตรบังคับให้เล่นถวายเอง พวกข้าพเจ้าไม่ถนัดสกาสักหน่อย"
"เอา...ถ้าอย่างงั้นล้มกระดาน เริ่มต้นใหม่ให้พระพี่นางเป็นกรรมการ"
จันทรานั่งเงียบอยู่จึงพูดขัดขึ้น
"มังตรา พี่มีการจะขอวานท่าน"
มังตราไม่ได้สนใจนัก
"การสิ่งใดรับสั่งเลยข้าพเจ้ายินดีสนอง แต่ขอเป็นพรุ่งนี้นะ เพราะตอนนี้กำลังสนุก"
"พี่อยากให้ท่านไปเยี่ยมจะเด็ดพี่เรา"
มังตราหยุดเล่น หันมามอง จันทราหันไปรับของที่ตองสาถือตามเสด็จ นำมาส่งให้มังตรา
"ด้วยพี่เป็นห่วงว่ายามนี้พระอุปราชทั้งสองเมือง ประทับอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าจะเด็ดพี่ท่านจะต้องรับกิจหนักอันใด เผื่อเราจะได้ช่วยเหลือ พระนมแม่ท่านก็คงเป็นห่วงไม่น้อย แต่ไม่ยอมเอ่ยให้เราเป็นทุกข์"
เวลาต่อมา
มังตราและมหาดเล็กตามควบม้ามาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วขุนวัง มังตราแต่งกายแบบขุนนางทั่วไป...ดูไม่เป็นพระราชบุตรเลย มังตราสั่งมหาดเล็กไม่ให้ตาม
"พวกเจ้าเฝ้าม้าอยู่ที่นี่ เอาของมาให้ข้า"
มังตรารับของฝากจันทราจากมหาดเล็กแล้วเดินไปที่ประตูรั้ว ทหารแปรจำพระราชบุตรไม่ได้จึงกั้นไว้ บ่าวแก่ๆ 2-3 คนหันมามองอย่างแปลกใจ มังตรามองเหล่ๆ ไปทั่ว
"ไปตามจะเด็ดมาพบข้าซิ"
บ่าว 2 คนตรงนั้นวิ่งออกไป มังตราจะเดินขึ้นเรือนใหญ่ ทหารแปรมาขวางไว้
"ออกไป"
ทหารหงสาวดีอีก 2 คน ออกมาขวางไว้
มังตราจึงหันกลับไปที่ศาลา ทหารสองนายนั่นก็ตามไปขวางอีก
"เอ๊ะ...ไอ้พวกนี้"
ทหารแปรเข้าประชิดจะจับตัวจึงเกิดการต่อสู้กับมังตราหลายยก นันทวดีวิ่งมากับบ่าวไพร่ 2-3 คน
"หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้"
มังตรากับทหารคงสู้กันอย่างดุเดือดไม่ยอมหยุด
1
มังตรากับทหารหยุดทันที เมื่อได้ยินเสียงนันทวดี
"เจ้ามีกิจอันใดจึงเข้ามาในเขตบ้านข้า"
"ข้าจะมาพบจะเด็ด"
นันทวดีเกิดอคติขึ้นมาทันที
"เป็นเพื่อนกันรึ มิน่า ถึงได้สามหาว มาชวนกันออกไปเยี่ยงนี้ คงจะพากันไปเมาเตร่ที่ท่าเรือละซิ"
"ข้าจะมาพบจะเด็ดด้วยเหตุใดมันก็เรื่องของข้า ไปตามเขามาก็แล้วกัน"(เนื่องด้วยมังตราแต่งตัวธรรมดาทำให้ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงมังตราคือใคร)
"ข้าเป็นเจ้าของเรือนนี้ ข้าไม่ให้คนในบังคับออกจากเรือนข้า เจ้ากลับไปได้แล้ว"
"ข้าไม่อยากโต้คารมกับเจ้า ไปตามจะเด็ดมาเร็วๆ ข้าจะรีบกลับ"
พูดเสร็จมังตราก็เดินไปนั่งตั่งของทะกยอดินเพื่อปัดฝุ่นผงต่างๆออก นันทวดีร้องดังขึ้น
"บังอาจ...เจ้าบังอาจขึ้นไปนั่งทับที่ของขุนวังได้ยังไง ลงมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะโบยให้หลังลาย"
"ถ้าขุนวังเป็นเจ้าของที่ในบริเวณนี้ ตัวข้านั้นถือว่าที่ประทับข้าคือ ผืนแผ่นดินในเมืองตองอูทั้งหมด"
นันทวดีโกรธ ชี้หน้า
"ล่วงล้ำขึ้นมาในเรือนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วยังมาหยามเจ้าของเรือน โทษโบยคงน้อยไปแล้วกระมัง ทหารจับตัวมันไว้ข้าจะให้ท่านพ่อตัดสินความ"
ทหารแปรเข้าไปจับต่อสู้กับมังตรารุนแรงขึ้นกว่าเดิม มังตราสู้ไปและพยายามรักษาของที่จันทราฝากไปด้วย
"ไปตามจะเด็ดมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะเฉดหัวมันออกจากเรือนทั้งสองคน ให้อยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว"
บ่าวคนหนึ่งหน้าเลิ่กวิ่งออกไป ไขลูกับสอพินยาวิ่งเข้ามา
"แจ้งข้าซิมีเหตุใด" สอพินยาบอก
"จะเด็ดมันคบเพื่อนถ่อย นัดให้รุกเข้ามาในเรือนข้าพเจ้าไล่ให้ออกไปเท่าไรก็ไม่ยอม"
มังตราหนีการจับของทหารขึ้นไปบนตั่งที่นั่งของขุนวัง
"ดูทีรึ ขึ้นไปย่ำบนที่พ่อท่าน"
สอพินยายิ้ม ฉุดข้อมือนันทวดีออกมาจากศาลา แล้วบอก
"น้องท่านถอยออกมาห่างๆเถิด ปล่อยให้ไขลูกำจัดมันเอง"
นันทวดีอยู่ในอาการตกใจ ไม่ได้รู้สึกถึงการถูกสอพินยาจับมือ ไขลูชักดาบพรวดออกไปหาทันที
"อ้ายถ่อย ไม่เจียมตัว เหิมเกริมขึ้นบนที่เสนาบดีผู้ใหญ่โทษเอ็งต้องจำคุก"
มังตรามองผู้มาใหม่หัวจรดเท้า สอพินยาบอก
"ยังทำกิริยาทองไม่รู้ร้อน ลงมาเดี๋ยวนี้"
มังตราแกล้งเฉย ไขลูถาม
"หูเจ้าแตกหรือไง อ้ายถ่อยทรลักษณ์"
มังตราพูดกับนันทวดี
"ท่านเป็นถึงคณะทูตจากหงสาวดี ทำไมไม่สำรวมกริยา ดูทีรึมาตะโกนโหวกเหวกเวลามีแขก นี่ถ้าคนของข้าหยาบคายอย่างนี้จะถูกโบยหลังลายจนถึงต้นคอ"
2
"เจ้าหมิ่นเราไม่เป็นไร แต่หมิ่นพระอนุชาพระเจ้าหงสาวดีนั้นคอจะหลุดจากบ่า"
มังตราเลือดขึ้นหน้า
"เป็นคนตองอูใยไม่รักศักดิ์ศรี มาชื่นชมยินดีด้วยคนต่างเมือง เสียดายนักมีคนเลวปะปนในเชื้อแถวชาวตองอู" มังตราพูดลางชี้หน้านันทวดี
1
สอพินยาชักทนไม่ได้แต่ยังอยากอยู่ใกล้นันทวดี
มังตราพูดกับสอพินยา
"กูขอประกาศให้รู้ทั่วกัน ถ้ากูได้สิทธิขาดในกรุงตองอูเมื่อใด เมื่อนั้นจะไปเล่นสนุกให้ถึงเมืองหงสาวดี
ขาดคำมังตรา ทุกคนเงียบกริบเหมือนเป่าสาก
"ม....มึ...มึงเป็นใคร"
มังตรากระโดดปราดเข้าหาสอพินยา แต่ไขลูกันไว้จึงซัดกับไขลูทั้งต่อย ทั้งเตะ
จะเด็ดวิ่งเข้ามากับบ่าวคนที่ไปตาม
"อย่า...อย่านะพระราชบุตร อย่าทำรุนแรงเกินเหตุ ปล่อย"
ทุกคนตกใจ เมื่อได้ยินจะเด็ดเรียกมังตรา พลางทวนคำว่า “ พระราชบุตร”
"กูคนเดียว มึงยังแทบตาย นี่กูมีจะเด็ดพี่กูอีกคนจะประลองกันอีกสักยกไม๊" มังตราถาม
"นี่อะไรจะเด็ด คนๆนี้เป็นใครกันแน่" นันทวดีถาม
"ท่านผู้นี้มีศักดิ์สูงเกินกว่าชีวิตข้าพเจ้า"
จะเด็ดทรุดลงด้วยความเคารพ ไขลูจำต้องคุกเข่าลงตามอย่างงงๆ นันทวดีตกใจรีบแกะมือออกจากสอพินยา ทรุดลงตามจะเด็ด สอพินยาพอรู้ว่าเป็นมังตรายิ่งโกรธหนัก และกลายเป็นอาฆาตแค้น
มังตรากราดมองไปทั่วๆ แล้วมาหยุดนิ่งอยู่ที่นันทวดี แล้วสีหน้าเปลี่ยนไป นางมองพระราชบุตรอย่างตื่นตระหนก
มังตรายืนอยู่กับสอพินยา นอกนั้นถวายบังคมอยู่กับพื้น
มังตราประทับบนตั่งของขุนวัง ทุกคนหมอบเฝ้าอยู่โดยรอบ
"มังตรามอบห่อของที่จันทราฝากมาให้จะเด็ด"
นันทวดีลอบมอง สายตาเธอที่เคยมองจะเด็ดเปลี่ยนไป
"พระพี่นางเป็นห่วงพี่ท่านเกรงว่ามาอยู่ไกลพระราชวัง จะไม่คุ้นเคย เราขอฝากท่านขุนวังดูแลพี่เราให้ดีด้วย ถึงแม้พี่ท่านจะไม่กล้ายอมนับญาติด้วยเรา แต่สำหรับเราแล้ว พี่ท่านคือผู้ดื่มนมร่วมแม่เดียวกัน"
ระหว่างมังตราพูดสายตามักจะจับจ้องอยู่ที่นันทวดีเสมอ นางพยายามไม่สบตา เพราะเข้าใจความหมายบางอย่าง
ภายในห้องจะเด็ด เรือนเล็กขุนวังทะกยอดิน เขาเดินเข้ามารีบแกะห่อผ้าที่จันทราฝากมาดู เป็นหีบไม้หอมสวยงาม เมื่อเปิดกลักเงินอยู่ในนั้นอีกทีและในกลักเงินนั้นมีปอยผมอยู่ และในหีบไม้จะมีดอกไม้ที่จะเด็ดชอบพร้อมกับจดหมายแผ่นเล็กๆ เขารีบเปิดอ่าน
"น้องขอฝากปอยผมอันอยู่สูงเหนือเกล้า มากราบพี่ท่านด้วยความระลึกถึง"
จะเด็ดรู้สึกปลาบปลื้มใจ เอากลักใส่ผมของจันทราขึ้นมาดม
ในเรือนใหญ่ จะเด็ดกำลังเฝ้าดูแลสอพินยาอยู่กับพวกมหาดเล็กหงสาวดี
"จะเด็ด เจ้าเป็นคนฉลาดเติบโตถึงในพระราชวังหลวง แต่กลับถูกขับให้มารับราชการอยู่ในกรมวังนี้ เหมือนจะหาความเป็นใหญ่ไม่ได้ หากจะตามเราไปที่หงสาวดีซึ่งใหญ่โตกว่าตองอูหลายสิบเท่า แล้วเราจะชุบเลี้ยงเจ้าให้ถึงเสนาบดี เจ้าจะไปกับเราไม๊" สอพินยาถาม
จะเด็ดสีหน้าซื่อมองสอพินยานิ่ง
"บอกมาเถอะ...ว่ายินดีหรือไม่"
"ข้าพเจ้ายินดีเป็นยิ่งนักที่พระอนุชาทรงเมตตา"
สอพินยาตัดสินใจพูด
"งั้น...เรามีเรื่องแรกที่จะวานให้เจ้าทำ"
"เรื่องอะไรหรือท่าน"
"เรา พึงใจในแม่นางนันทวดีมาก ถ้าเจ้าบอกนางและดูท่าทีของนางว่ามีใจหรือไม่ เราจะแทนคุณให้ถึงขนาด"
จะเด็ดจ้องมองสอพินยานิ่งเหมือนไม่รู้สึกอันใด
นันทวดีนั่งทำงานอยู่ที่ศาลาหน้าเรือน สาวใช้นั่งร้อยมาลัยอยู่ใกล้ๆ นางทำงานไปพลางแหย่สาวใช้ไปอย่างอารมณ์ดี จะเด็ดเดินมาทรุดลงนั่งอยู่ตรงข้าม นันทวดีเหมือนจะหายใจขัด จนทำอะไรไม่ถูก
"ท่านคงกำลังอารมณ์ดี ข้าพเจ้าจะมาบอกความที่รับปากคนที่วานข้าพเจ้ามาได้กระมัง"
นันทวดี มีสีหน้าแปลกใจ
"แต่เผอิญเป็นเรื่องต้องพูดกันสองคน"
คนใช้สาวๆ เดินออกไป จะเด็ดเริ่มต้นพูดกับนันทวดี
"พระอุปราชสอพินยาให้ข้าพเจ้ามาบอกท่านว่า พระองค์รักท่านเหมือนจะกลืนเข้าไปกลางทรวง และให้ข้าพเจ้าคอยฟังคำตอบ ถ้าปฏิเสธ ท่านปฏิเสธด้วยมายา หรือไม่ท่านจะว่าอย่างไรก็ว่าเถิด ข้าพเจ้าจะคอยสังเกต"
นันทวดีจ้องจะเด็ดอย่างตกตะลึงระคนด้วยความเสียใจ มือเท้าเย็นเหมือนจะเป็นลม จะเด็ดนั่งจ้องหน้า ตาไม่กระพริบตาคอยสังเกต
ในเวลาต่อมา สอพินยานั่งสนทนากับจะเด็ดที่กลางห้อง
"นางว่าอย่างไร ตอบรับหรือปฏิเสธ"
"นางอ้ำอึ้ง ยังไม่ได้ให้คำตอบ"
"แนวโน้มไปทางรับหรือปฏิเสธเล่า"
"ข้าพเจ้ายังคาดเดาไม่ถูก ขอใช้เวลาอีกสัก 2-3 วัน พระอนุชา"
สอพินยาอึดอัด กระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
เนินเขานอกเมืองตองอูมหาดเล็ก 4 คนของมังตราควบม้านำจะเด็ดขึ้นเนินมาที่ขบวนม้าของมังตราประทับอยู่ก่อนแล้ว มังตราดีใจยิ้มให้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้ทำให้เรารู้ว่ามังตราก็คิดถึงพี่ชายของตนอย่างมากและยังคนรักเสมือนพี่ชายแท้ๆ
"จะเด็ดพี่ท่าน เรามีเรื่องจะขอให้ช่วย"
"อะไรหรือพระราชบุตร"
มังตราชักม้าเดินออกมาให้ห่างจากมหาดเล็ก จะเด็ดชักม้าตามไปใกล้ๆ
"พระราชบุตรมีเรื่องร้อนใจอันใด"
มังตรายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ยื่นหน้าเข้ามากระซิบ จะเด็ดตกใจท่าทางอึดอัด มองหน้าพระราชบุตร
"ไม่ดอก พระราชบุตรมาครั้งก่อนก็ก่อความโกลาหลทีหนึ่งแล้ว มาครั้งที่สองก็จะเอาแต่ใจตัว นางเป็นหญิงนะ ใจเย็นๆเถิด"
"เราไม่เหมือนพี่ท่านนี่ ท่านน่ะยิ่งนานวัน หญิงยิ่งรัก เราน่ะรึ...ฮึ ไม่อยากพูดเลย ยิ่งนานวันหญิงยิ่งเกลียด"
"เกลียดความลุกลี้ลุกลนของท่านนะซิ โธ่...มังตรา ท่านนั้นเป็นพระราชบุตรเมืองตองอูนะ"
มังตราไม่ฟัง
"ไม่รู้ล่ะพี่ท่านต้องพูดตามที่เราบอก พรุ่งนี้เราต้องได้คำตอบ"
พูดจบมังตราชักม้าควบออกไปทันที มหาดเล็กตกใจ ไม่ทันตั้งหลักรีบควบตาม จะเด็ดจะอ้าปากพูดอะไรก็ไม่ทัน
เวลากลางคืนวันเดียวกัน แสงตะเกียงสว่างอยู่บนตั่งทำงาน ที่ศาลาหน้าเรือน นันทวดียังนั่งทำงานอยู่กับสาวใช้ อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางวันที่ยังทำไม่เสร็จ ไขลูเดินมาหยุดมอง แล้วชงัก เห็นจะเด็ดเดินมาทรุดลงนั่งตรงข้ามที่เดิม ท่าทางขาดความมั่นใจ ผิดจากเมื่อตอนกลางวันที่มาพูดเรื่องสอพินยากับนันทวดี ไขลูแอบมองอยู่ไกลๆ
"คราวนี้มีใครฝากความรักมาอีกล่ะ แล้วพรุ่งนี้มะรืนนี้จะเป็นใคร"
"พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ข้าพเจ้ายังไม่ทราบ แต่วันนี้..."
นันทวดีหน้าขุ่นมัวทันที
"ไม่ต้องบอกนะ เราไม่อยากฟัง"
"แต่ข้าพเจ้าถือความสัตย์ตามหน้าที่ที่รับปาก น้องท่านจะฟังหรือปิดหู ข้าพเจ้าก็จะบอกตามหน้าที่ ราชบุตรมังตรารักท่านแทบจนล้นพระทัย"
นันทวดีปิดหูสองข้าง
"ไม่อยากฟัง อย่าบังอาจพูดอีก"
"ข้าพเจ้าสมบูรณ์ตามหน้าที่แล้ว"
นันทวดียังคงเอามือปิดหูตัวเองอยู่
"ไป .ไปให้พ้นเรา ทำไมต้องนำเรื่องแบบนี้มาบอกเรา"
จะเด็ดพูดกับตัวเองเบาๆ
"แนะผู้หญิงให้มีคู่ไม่เห็นผิดตรงไหนเลย"
จะเด็ดเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันรุ่งขึ้น บนเนินเขาชานเมืองตองอู มังตราควบม้ามาอย่างรวดเร็ว องครักษ์ 4 คนควบตามแทบไม่ทัน จะเด็ดยืนม้ารออยู่บนเนิน มังตราหยุดม้าเทียบใกล้ๆอย่างตื่นเต้น
มังตรามองหน้า นัยน์ตาเป็นคำถามอย่างอยากรู้สุดขีด
"จะเด็ดพี่ท่าน นางว่าอย่างไรบ้าง"
จะเด็ดหน้าหมองบอก
"นาง...นางเขินอาย ไม่ยอมเอ่ยคำใด"
มังตรานิ่งไปอึดใจ แล้วยิ้มกว้าง
"แปลว่า นางไม่โกรธ เรายังมีหวังนะซิ"
จะเด็ดยิ้มแกนๆ
"มีแน่ ยังไงข้าพเจ้าก็ต้องทำให้นางสนใจในพระราชบุตรตองอูมากกว่าผู้อื่น"
มังตราตบไหล่จะเด็ดแรง
"ดีมาก"
มังตราดีใจควบม้ากลับไปอย่างรวดเร็ว องครักษ์ตามแทบไม่ทันเช่นเคย จะเด็ด งงๆแต่ก็ยิ้มๆ จะเด็ดกำลังจะชักม้ากลับ แต่เสียงม้าควบกลับมา จะเด็ดรู้แล้วว่าเป็นมังตรา ก็ควบม้ามาเทียบข้างๆ
"มีอะไรจะสั่งเป็นความไปถึงพระพี่นางไม๊"
"มี พระราชบุตร ทูลตะละแม่ด้วยว่าข้าพเจ้าจะรักษาสิ่งที่ประทานไว้กับตัวตลอดไป"
สวนบ้านขุนวังทะกยอดิน ในตอนเย็น นันทวดีกำลังจัดเย็บโคมประทีปใบใหญ่สำหรับลอยไฟในวันพรุ่งนี้กับเหล่าสาวใช้ 4-5 คน จะเด็ดขี่ม้าเข้ามาหยุดมอง ฝ่ายนันทวดีหันมามองเขาอย่างไม่ค่อยพอใจเรื่องเก่าๆ จะเด็ดไม่กล้าเข้าไปหา จึงผูกม้าเดินขึ้นเรือนใหญ่ไป นันทวดีค้อนควักกับอากาศ
มหาดเล็กเมืองแปรกำลังจัดเครื่องทรงให้กับอุปราชสอพินยา จะเด็ดเดินเข้ามามองอย่างแปลกใจ
"จะเสด็จไปไหนพระอุปราช"
"พระมหาสิริชัยะสุระได้ให้มหาดเล็กนำหนังสือเชิญไปงานลอยพระประทีปในวังหลวง"
บรรยากาศพิธีลอยกระทง บริเวณท่าฉนวน พระจันทร์ดวงโตลอยอยู่กลางฟ้า นางรำกำลังร่ายรำอยู่บนกระทงกลางน้ำที่ตกแต่งเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ มีนกยูงอยู่ในดอกบัวนั้น ท้องน้ำเต็มไปด้วยโคมประทีประยิบระยับ มังตราประทับดูการแสดงอยู่ในพลับพลา ด้วยท่าทางลุกรี้ลุกรน จันทรานั่งอยู่ในฉนวน ชะเง้อไปที่สอพินยาอยู่เพื่อหาจะเด็ด มีกระทงประทีปที่ทำมาเป็นพิเศษอยู่ใกล้ๆ ตองสานั่งชะเง้อมองสอพินยาอยู่ข้างหลัง พยายามจะส่งยิ้มให้
จันทราเห็นสอพินยามองตอบอยู่กับไขลูที่นั่งห่างมังตราออกไป แต่ไม่มีจะเด็ด แต่สอพินยาเริ่มสนใจจันทราทันที
ขบวนแห่กระทงประทีปของมังตรา ที่นันทวดีทำ เข้ามาโดยมีทะกยอดินกับนันทวดีเดินนำมาขบวนแห่ทั้งหมดเดินเข้ามากราบมังตรา
มังตราลุกออกไปที่ท่าแพเพื่อลอยประทีป ทุกคนลุกตาม
มังตรายิ้มถาม
"เจ้าเป็นผู้เตรียมการนี้ใช่หรือไม่"
นันทวดีไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องสำรวม
"พ่อท่านเป็นคนคอยบัญชาข้าพเจ้าอีกทีหนึ่ง พระราชบุตร"
สอพินยาแยกตัวเดินมาทางตะละแม่จันทรา ตองสาดีใจ ทำท่าอายนึกว่า สอพินยาจะเดินมาหาตน พอเดินมาถึง สอพินยาก็ส่งเสียงเบาๆ นัยน์ตาแพรวพราวใส่ตะละแม่จันทราทันที
"ตะละแม่พระพี่นางท่านช่างงามเหลือเกิน ข้าพเจ้าขอเป็นบุญได้อธิษฐานลอยประทีปคู่พระพี่นางเถิด"
ตองสาหน้าเสีย โกรธ อิจฉาจันทราขึ้นมาทันที
"ข้าพเจ้าไม่ได้เตรียมกระทงประทีปส่วนข้าพเจ้ามา ขอพระอุปราชลอยประทีปกับผู้อื่นเถิด...ข้าพเจ้าทูลลา"
จันทราประนมมือไหว้แล้วหันหลังเดินเลี่ยงไป สอพินยาโกรธมากที่ถูกปฏิเสธเหลียวมาเห็นตองสายืนยิ้มอยู่ แล้วเดินถือกระทงประทีปเข้ามาถวายใกล้ๆ สอพินยารู้สึกอับอายจึงเดินหนีไป ตองสาเสียใจ ไขลูเดินเข้ามาหาตองสา
"เรามีธุระจะเจรจากับเจ้า ถ้าปลีกตัวไปพบเราได้ที่บ้านขุนวังในคืนวันนี้ .ชีวิตเจ้าจะไม่ต้องถือของตามหลังผู้ใดอีก"
ตองสาเกิดความทะเยอทะยาน นัยน์ตามีความหวังขึ้นทันที
มังตราเดินนำขบวนกระทงประทีปมาที่แพ ทะกยอดินกับนันทวดีถวายงานอยู่ใกล้ๆ นันทวดีเชิญกระทงประทีปมาถวายพร้อมกับจุดประทีปให้ มังตรามองนางอย่างหลงใหล นันทวดีไม่พอใจที่ถูกจ้อง แต่ก็ไม่รู้จะหลบหน้าไปทางไหน เมื่อนางส่งกระทงพระประทีปให้ มังตราแกล้งทำกระทงพระประทีปหลุดมือ นันทวดีตกใจรีบหันมาประคองไว้ ทั้งคู่ถือกระทงพระประทีปใบเดียวกัน
"เจ้าอย่าปล่อยนะ เราจะลอยประทีปด้วยกัน"
นันทวดีจำต้องประคองกระทงพระประทีปให้มังตราไปจนถึงริมน้ำ ทั้งคู่นั่งเคียงกัน
"อธิษฐานซิ อธิษฐานตามข้า ขอให้ข้าสมปรารถนาทุกประการ"
นันทวดีทำหน้าไม่ถูก
"สิ่งใดที่ข้าทำไม่ดีแก่พระแม่คงคา ข้าขออโหสิ..."
นันทวดีทำปากขมุบขมิบ
"ข้าขอบูชาประทีปนี้เป็นเครื่องบูชาคุณ และขอขอบใจผู้ทำกระทงประทีปนี้ถวายด้วย"
นันทวดีหันมาจ้องด้วยความไม่แน่ใจว่าจะต้องพูดตามหรือเปล่า มังตรายิ้มที่นันทวดีเสียรู้
"ข้าพอใจในนางที่ทำกระทงประทีปนี้ถวายนัก"
แม้นันทวดีจะโกรธมาก แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้ ทั้งคู่ก็ลอยโคมออกไปด้วยกัน แล้วทั้งคู่ยืนอยู่ริมน้ำดูกระทงประทีปลอยไปรวมกับกระทงอื่นที่ลอยอยู่เต็มลำน้ำ
ห้องในตำหนักพระราชเทวี เวลากลางคืนต่อเนื่องมา จันทรากำลังปลดเครื่องทรง โดยมีข้าหลวงถวายงานอยู่ใกล้ๆ สักครู่ข้าหลวงอีก 2 คนนำผ้าชุดใหม่มาเตรียมให้ ...
อนิจจา ... ตะละแม่จันทรา โศกาดูร
ภายในเรือนสอพินยา ในเวลาเดียวกัน มหาดเล็กหงสาวดีกำลังปรนนิบัติ สอพินยาที่กำลังเสวยน้ำจัณฑ์อย่างเมามาย มหาดเล็กรินให้ช้าก็โมโหขว้างจอกใส่จนหลบกันเป็นโกลาหล ข้าวของสิ่งใดอยู่ขวางหน้าก็เตะถีบล้ม ระเนระนาดอย่างไม่ปรานีปราศรัย
"ข้าบอกให้ไปเอาเหล้ามายังไงเล่า"
เสียงไขลูดังขึ้น
"ขอนำถวายน้ำจัณฑ์ตามพระประสงค์พระอนุชา"
ไขลูเดินนำตองสาซึ่งมีผ้าคลุมหน้าถือถาดน้ำจัณฑ์เข้ามา สอพินยาจ้องมองอย่างแปลกใจไขลูให้สัญญาณมหาดเล็กออกไป
"ใคร...เจ้าเป็นใคร"
"เชิญพระอนุชาพิศดูตามพระประสงค์เถิด คืนนี้แม่นางจะอยู่คอยถวายน้ำจัณฑ์ให้พระองค์ไปทั้งคืน"
ไขลูเดินกลับออกไป สอพินยาจ้องมองคิดว่าเป็นจันทรา จึงกวักมือเรียก
"เอา...เหล้ามาให้ข้าซิ"
ตองสาเดินเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ รินเหล้าส่งให้ สอพินยาไม่รับ แต่กลับเปิดผ้าคลุมหน้านางแทน เขาจ้องนางอย่างตะลึง
มุมหนึ่งในสวน จะเด็ดแอบมองขึ้นไปที่ตำหนักของจันทรา...เขามองจนไฟในห้องจันทราดับลงแล้วเดินออกไป
สอพินยาเอื้อมมือมาปลดม่าน อุ้มตองสาเดินไปวางที่เตียง นางทำท่าสะบัดสะบิ้ง แต่กิริยาชอบใจ
"อุ๊ย อย่าพระอนุชาท่าน ดูจะเป็นการเร็วเถิดนะท่าน"
สอพินยารู้ทัน จึงไม่หยุดกระทำ
"ตะละแม่จันทราทำข้าแค้นนัก ข้าจะนำเจ้าไปหงสาวดีเอง เจ้ารังเกียจที่จะเป็นเทวีของข้าก็เอ่ยมา"
สอพินยาเอนกายเข้าไปใกล้ จนจมูกจะถูกแก้ม. แล้วชงัก ตองสารู้สึกผิดปกติ
"อะไรหรือพระอนุชา"
"เราข้องใจในเจ้านายของเจ้านัก ตองสา"
"ตะละแม่จันทราน่ะหรือท่าน"
"ใช่"
"ข้าพเจ้าเห็นใจท่านนัก แต่จำต้องบอก"
สอพินยาขยับลุกนั่ง กระชากตองสาติดมือขึ้นมา แล้วตวาด
"บอกมาเร็วๆ เพราะเหตุใด"
ตองสาตกใจเล็กๆ
"อุ๊ย"
"ตะละแม่มีผู้ที่ลอยประทีปคู่กันมาตลอด"
สอพินยางงๆ
"มันเป็นใคร"
"มหาดเล็กที่รับใช้ท่านนั้นแหละ นั่นคือชู้เสน่หาพระราชธิดา ทั้งสองผูกใจเสน่หากันถึงขนาดเคยลอบอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง จะเด็ดจึงได้รับโทษออกมา รับใช้ขุนวังถึงที่นี่"
สอพินยาผลักตองสาออกไปอย่าลืมตัว เขาเหมือนถูกหอกสักร้อยอันทิ่มแทงไปทั่วร่าง คำรามอย่างอาฆาต
"ไอ้คนรับใช้ชั้นต่ำมันจะมีดีกว่าข้าไปได้อย่างไร ข้าเป็นอุปราชหงสาวดี ข้ามีสิทธิ์ได้นั่งถึงบัลลังก์หงสา นางจะไม่แลข้าได้ยังไง นางโกหก นางโกหก"
สอพินยาลืมตัวด้วยน้ำเมาบีบคอตองสาอย่างบ้าคลั่ง ตองสาร้องด้วยความเจ็บปวด
"อย่า...อย่าพระอนุชา อย่าตีข้า ข้าพเจ้าพูดความจริง อย่าข้าเจ็บ"
ไขลูตกใจวิ่งเข้ามาจับสอพินยาแยกออก
"พระอนุชา หยุดก่อนท่าน อย่า"
"ข้าไม่มีวันยอมแพ้ไอ้จะเด็ด มันไม่มีวันมีอะไรเหนือข้า คนอย่างมันจะดีกว่าข้าไปไม่ได้ ไขลู เจ้าต้องจัดการมัน อย่าให้มันเหนือข้าได้"
ไขลูประคองสอพินยาไว้เหมือนลูก พยายามปลอบโยนเหมือนเด็ก
"ได้พระอนุชา ได้ ขอให้ท่านระงับอารมณ์นี้ก่อนเถิด เย็นพระทัยไว้พระอนุชา ข้าพเจ้าจะจัดการให้เอง"
สอพินยาพยายามระงับโทสะ แต่ความอาฆาตแค้นพุ่งออกมาจากตาอย่างน่ากลัว เรื่องนี้ไม่มีวันจบลงง่ายๆ
ในสวนหลังบ้านทะกยอดิน จะเด็ดเดินเข้ามาสีหน้าไม่สบายใจ ดวงจันทร์เต็มดวงยังลอยอยู่กลางฟ้า เขาหยุดมองพระจันทร์นิดหนึ่งก่อนเดินต่อ นันทวดียืนจ้องมองอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
"งามสมชื่อตะละแม่จันทราใช่หรือไม่"
จะเด็ดมองนันทวดีนิ่ง ไม่ตกใจ นางเดินเข้ามาใกล้
"น่าเสียดายที่เพ็ญคืนนี้ไม่ได้ลอยประทีปเคียงกันเช่นทุกปีหวังว่าที่กลับมาเสียค่อนรุ่ง คงไม่ได้ปีนเข้าหาตะละแม่เช่นครั้งก่อน"
จะเด็ดนัยน์ตากร้าวมองนันทวดี
"ตกใจหรือที่ข้าพเจ้ารู้"
"ตกใจทำไม ข้าพเจ้าเป็นคนที่รักผู้ใดแล้ว ไม่หวั่นดอกว่าใครจะรู้ เพราะถึงรู้ก็ได้แต่รู้ แต่จะห้ามเราไม่ให้รักกันนั้นห้ามไม่ได้"
นันทวดีหน้าเสียที่จะเด็ดพูดย้อนแบบไม่รักษาน้ำใจ และไม่ปฏิเสธเรื่องจันทรา แสดงว่าไม่มีใจกับนางเลย จึงได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง น้ำตาเริ่มคลอ
"ถึงจะไม่บอกใคร แต่น้ำใจที่ถวายต่อตะละแม่จันทราก็คงมั่น ไม่มีคลอนแคลน"
นันทวดีกัดฟันกลั้นน้ำตาหันข้างให้
"ท่านเป็นอะไรหรือ แม่นางนันทะวดี"
นันทวดีส่ายหน้าไม่ตอบ
"ข้าพเจ้าพูดผิดใจท่านตรงไหน"
นางทนฟังต่อไม่ได้ออกวิ่งไป เขาตามติดจับมือรั้งไว้ นันทวดีอ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว อยากจะปัดและอยากจะดึงแขนตัวเองกลับ แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ความในใจล้นขึ้นมา ผวาเข้ากอดจะเด็ดไว้แล้วร้องไห้
"ท่านร้องไห้ทำไมหรือ"
จะเด็ดดันตัวนางออกไป แต่นางก็ผวาเข้ามากอดอีกครา
"ข้าพเจ้านี่ชั่วช้าสาหัส รักท่านจนไม่อาจระงับกิริยาได้"
จะเด็ดตกใจนึกไม่ถึง นิ่งอึ้ง ตอบอะไรไม่ถูก นางเสียงสั่นเครือบอก
"จะเด็ด ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความรักต่อท่านนั้นเกิดเพราะอะไร และไม่เคยคิดอาจเอื้อมจะเป็นคนรักของท่านเสมอตะละแม่จันทรา"
นันทวดีเงยหน้ามอง น้ำตาคลอเต็มตา
"ข้าพเจ้าแค่อยากอยู่ใกล้ท่าน กล่อมหัวใจให้ท่านคลายเศร้า ในขณะที่ต้องพลัดที่อยู่"
พูดเสร็จ... นางยกผ้าผืนน้อยขึ้นซับน้ำตา เขานิ่งอึ้ง จับมือนันทวดีมากุมแล้วมองนิ่ง ฝ่ายนางนิ่งงัน ความน้อยใจพลุ่งขึ้นมา สะบัดมือวิ่งไป จะเด็ดตกใจวิ่งตามไป
ส่วนอีกด้านหนึ่งนันทวดีนั่งร้องไห้อยู่ จะเด็ดนั่งอยู่ไม่ห่างนัก
"ข้าพเจ้านี้ทำการผิดเพศตัวเอง ออกปากรักชายก่อน"
"นันทวดีท่านนี้เปรียบเสมอช่อฟ้า ค่าท่านสูงอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่เอาตัวไปผูกพันถ่วงค่าของท่านให้ต่ำลง"
นันทวดีหัวเราะอย่างช้ำใจ
"ทีตะละแม่ราชธิดาล่ะ ไม่สูงสุดเอื้อมหรือ"
"ท่านกับพระราชธิดานั้นไม่เหมือนกัน นางสูงศักดิ์แต่จะหาคนมาอภิเษกได้ยากยิ่ง เว้นแต่เจ้าประเทศราช แต่ท่านซิ บรรดาบุตรอำมาตย์ผู้ใหญ่ที่คู่ควรกันมีมากมาย ท่านมีโอกาสหาคู่ครองได้ง่ายกว่าตะละแม่พระธิดา ตะละแม่นั้นบางทีนางอาจจะสิ้นชาติโดยไม่ได้อภิเษก เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงจงใจรักนาง"
นันทวดีหัวเราะออกมาอีกครั้ง มองหน้าจะเด็ดอย่างน้อยใจ
"ถ้าข้าพเจ้าไม่ยั้งใจ ไปรักท่าน เมื่อท่านเป็นของชายอื่นแล้ว เราจะเป็นทุกข์กันยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงขอให้ความซื่อกับท่านไว้ เพียงบ่าวกับนาย ท่านเข้าใจหรือไม่"
"เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็อย่าสนใจเลย"
นันทวดีวิ่งออกไป จะเด็ดยืนพะว้าพะวังอยู่สักครู่ แล้วหันหลังกลับเดินไป
จะเด็ดเปิดประตูเดินเข้ามาในเรือนตัวเอง นั่งเอาสองมือกุมหัว ว้าวุ่นใจ
"เฮ้ยไปเคาะประตูเรียก มันอยู่หรือไม่"
เสียงไขลูดังเข้ามา ก่อนที่พนักงานวังผู้หนึ่งเดินเข้าไปเคาะประตูเรียก ส่วนไขลูกับคนอื่นๆยืนรออยู่ห่างๆ
(เนื่องจากจะเด็ดนั้นสามารถเข้าออกเรือนของศอพินยาได้ตลอดเวลา ไขลูจึงวางกลอุบายให้จะเด็ดเป็นผู้ร้ายขโมยแหวนของสอพินยา เพื่อหวังที่จะให้จะเด็ดถูกโทษ)
"ท่านจะเด็ด ท่านจะเด็ดตื่นออกมาพบข้าประเดี๋ยว ท่านจะเด็ด"
จะเด็ดเปิดประตูเรือนออกมาเห็นไขลูและพวกยืนอยู่เต็มหน้าเรือน
"มีอะไรหรือ"
ไขลูยิ้มเยาะ
"มีอะไร เมื่อตอนก่อนพระอนุชากลับจากงานลอยประทีป มีคนเห็นเจ้าเข้าไปในห้องพระอนุชา"
จะเด็ดสีหน้าเปลี่ยนไป
"ท่านจำผิดตัวแล้ว ตลอดเย็นวันนี้ข้ายังไม่ได้ขึ้นไปบนเรือนพระอนุชาเลย"
"อย่ามาทำไขสือ มีคนเห็นเจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปไหนมาดึกป่านนี้ยังไม่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายอีก"
"ข้า ข้าจะไปที่ใดไม่มีหน้าที่ต้องรายงานตัว"
"ถ้าไม่อยากให้เรื่องยาวความก็นำพระธำมรงค์(แหวน)พระอนุชาคืนให้ข้าเสียดีๆ ว่าไง"
จะเด็ดทั้งตกใจและแปลกใจ(พรางคิดในใจว่ากูซวยแน่)
"ข้ามีพยานยืนยันว่าเห็นเจ้าขึ้นไปบนเรือน เมื่อตอนก่อนพระอนุชาเสด็จกลับ"
"เจ้ามีเหตุใส่ร้ายง่ายๆอย่างนี้หรือ คนหงสามีนิสัยเยี่ยงนี้เอง"
"พูดกันดีๆไม่รู้เรื่อง ก็ต้องค้นกันล่ะ"
"เชิญค้นตามสะดวก ถ้าค้นแล้วไม่มีจะได้เห็นดีกัน"
จะเด็ดถีบประตูสองบานให้เปิดกว้างขึ้น
"ค้นสิ"
ในห้องนอนจะเด็ด เป็นไปอย่างไม่ปราณี ข้าวของกระจุยกระจาย จนมาที่... หมอน ซึ่งถูกไขลูจับฉีกออก จนเรือนแหวนกระเด็นออกมาตกบนพื้น ทุกอย่างยังสมบรูณ์ดี
"ใช่แล้ว"
จะเด็ดแค้นมาก ไขลูชี้หน้าจะเด็ด
"ของกลางเห็นชัดๆ มึงจะปากแข็งยังไงต่อไปอีก เฮ้ย....คุมตัวมันไว้ไอ้หัวขโมยถ่อย"
ทหารหงสาเข้าล้อมจะจับตัวจะเด็ด
จะเด็ดถอยหนี
"มึงป้ายสีกู อย่าหวังจะได้ตัวกูเลยไอ้พวกสารเลว"
จะเด็ดคว้าของใกล้มือฟาดใส่ทหารหงสาคนหนึ่งจนกระเด็นไป
"ที่นี่ตองอูไม่ใช่หงสาวดีของมึง อย่ามาคิดหยามกันง่ายๆ"
"ถ้าอย่างงั้นกูเอง"
ไขลูชักดาบจะเข้ามาจับเอง จะเด็ดแย่งดาบจากทหารคนหนึ่งมาได้สู้กับไขลูแต่สู้ไม่ได้จึงถอย หันมาปะทะกับพวกที่ขวางประตูอยู่จนแตกกระเจิง แล้ววิ่งออกไป
จะเด็ดกระโจนลงเรือน ลูกน้องไขลูกระโจนตาม เขาพยายามต่อสู้ป้องกันตัว ทำให้ทหารของไขลูบาดเจ็บไปหลายคน ไขลูเข้ามาช่วยลูกน้อง จะเด็ดล่าถอยไป
"ไม่ต้องตาม…เราได้ของกลางแล้ว ท่านพนักงานวัง ท่านต้องเป็นพยานให้เราด้วย ยังงี้ มันจะอ้างว่าไม่ได้เอาไปอย่างไร" ไขลูพูดพลางชูพระธำมรงค์(แหวน)ให้ทุกคนดู
เวลาต่อเนื่องมา ลานวัดมหาเถรกุโสดอ เงียบสงบ จะเด็ดวิ่งมาหยุดอยู่หน้ากุฏิมหาเถรมังสินธู ด้วยกิริยาเป็นทุกข์มาก ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ เขาขึ้นไปบนกุฎิ มองเข้าไปในห้องเห็นแสงตะเกียงแว๊บๆ ลอดออกมา
เช้าวันรุ่งขึ้น บนเรือนใหญ่ สอพินยาประทับนั่งอยู่บนตั่ง ไขลู, ทะกยอดินและคนอื่นๆหมอบเฝ้าอยู่โดยรอบ
"ถ้าเป็นอย่างที่ท่านไขลูแจ้ง ข้าพเจ้าจะต้องให้คนติดตามเอาตัวมาลงโทษให้สาสม"
"ข้าไม่ได้พูดเอง คนพวกนี้ทั้งหมดก็เห็นกับตาว่า มันซ่อนพระธรรมรงค์(แหวน)ไว้ในหมอน มันบังอาจมาก"
"ข้านั้นไม่อยากถือเอาเป็นความ เพราะจะทำให้เสื่อมเกียรติแก่เมืองตองอู และของนี้เราก็ได้คืนมาแล้ว" สอพินยาบอก
"เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้ายิ่ง"
ไขลูบอก
"ไม่ได้หรอกพระอนุชา ท่านขุนวังต้องล่าตัวมันมารับโทษ เรื่องที่มันทำร้ายข้ากับคนของข้า ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอม"
"ไม่ต้องเป็นห่วงท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่เป็นความเด็ดขาด แต่ข้าพเจ้าขอชำระความเฉพาะที่มันทำร้ายท่านกับทหารเถิด ส่วนเรื่องพระธำมรงค์ข้าพเจ้าของดเว้น เพราะเรื่องบัดสีนี้มันเกิดขึ้นภายในเรือนข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกเสื่อมเกียรติยศยิ่งนัก"
สอพินยากับไขลูแอบยิ้มให้กัน
"งั้นท่านก็ให้คนออกควานหาตัวมันมารับโทษโดยด่วน ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องพระธำมรงค์เด็ดขาด" ไขลูบอก
นันทวดี หน้าตาท่าทางโผเผอ่อนเพลีย แต่กิริยาบ่งบอกว่าเล่าไปหมดแล้ว มังตราหน้าเครียดประทับอยู่บนตั่ง มีทหารอารักษขาอยู่ไกลๆ
"ลูกไม้มันตื้นนัก แต่ได้ผลชะงัก ถ้าไม่เกรงว่าจะมีเรื่องบาดหมางระหว่างเมืองล่ะก้อ ข้าจะขึ้นไปหักคอมันเดี๋ยวนี้"
"ข้าพเจ้าอยากรู้ว่า เวลานี้จะเด็ดอยู่ที่ไหนพระราชบุตร ถ้าได้รู้ข้าพเจ้านี่ล่ะจะทำให้จะเด็ดพ้นมลทิน"
"ทำอย่างไร"
"จะเป็นพยานปากเอกยืนยันว่า จะเด็ดไม่ได้ไปที่เรือนสอพินยา ในค่ำคืนวันนั้น"
มังตราจ้องหน้าเสีย
"เมื่อคืนจะเด็ดอยู่กับข้าพเจ้าในสวน"
"ดึก แล้วนะ" มังตราน้ำเสียงตะกุกตะกัก
"ใช่...ดึกแล้ว"
"แม่นางกับจะเด็ด รักกันรึ"
นันทะวดีอึ้งไป มังตราพูดต่อ
"จะเด็ดเคยบอกแม่นางแล้วใช่ไม๊ ว่าเรารักแม่นาง"
นันทวดีตัดสินใจ
"บอกแล้ว แต่ข้าพเจ้ามีแต่ความเคารพพระราชบุตรประการเดียว ไม่มีสิ่งอื่นใด"
มังตราสีหน้าสลดลง
"แม่นางรักจะเด็ด"
"ข้าพเจ้ามีใจสวามิภักดิ์ต่อจะเด็ด แต่จะเด็ดไม่เห็นความภักดีของข้าพเจ้า"
"ดีจริง งั้นข้าจะไปตามหาจะเด็ดให้เจอ"
มังตราดีใจรีบลุกขึ้นม้าควบออกไป นันทวดีหน้าเหวอมาก
1
ศาลาวัดกุโสดอ มหาเถรมังสินธูนั่งบนแคร่ คุยอยู่กับจะเด็ดที่ปลอมตัวเป็น "มังฉงาย" นั่งพนมมือคุกเข่าอยู่กับพื้น
"ต่อไปนี้เจ้าจงใช้ชื่อว่ามังฉงาย เพื่อหาทางเร้นตัว ไม่ให้ผู้ใดได้ตามแกะรอยได้ง่าย เมื่อพระอนุชาสอพินยาและองครักษ์ได้เสด็จกลับกรุงหงสาวดีไปเสียก่อน เจ้าค่อยกลับมาใช้ชื่อจะเด็ดตามเดิม"
"ข้าพเจ้ามีแต่เรื่องทุกข์ใจมาสู่พระอาจารย์เสมอ และพระอาจารย์ก็เมตตาอภัยแก่ข้าพเจ้าเสมอมา พระอาจารย์เปรียบเสมือนพ่อข้าพเจ้าทีเดียว"
"เป็นเพราะชะตาของเจ้าแรงนักต่างหาก เจ้าต้องฝ่าอุปสรรคดวงชะตาของเจ้าไปให้ได้ จงใช้ความดี และกตัญญูนำชีวิต จำไว้นะ มังฉงาย ความดีมีกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดินเท่านั้น...จะแก้ดวงชะตาเจ้าได้"
มังฉงายก้มลงกราบเท้าพระมหาเถรมังสินธูด้วยสำนึกในพระคุณ พระอาจารย์ลูบหัวศิษย์รักด้วยความเอ็นดู
"เราจะหาทางส่งเจ้าไปฝึกวิชาดาบกับเพื่อนรักของเรา"
"ทำไมต้องฝึกวิชาดาบอีก ในเมื่อข้าพเจ้าได้ฝึกวิชายุทธ์เรื่องทวนกับพระอาจารย์มาอย่างดีแล้ว"
"วิชาการยุทธ์สำหรับการเป็นผู้นำนั้น อย่าทะนงว่ารู้สิ้นแล้ว เจ้าจงหมั่นฝึกปรือทุกวิชาการเพื่อมาทดแทนพระคุณแผ่นดินเถิด"
"แล้วท่านผู้ใดที่พระอาจารย์จะส่งข้าพเจ้าไปฝึกวิชาดาบด้วย"
มหาเถรมังสินธูระลึกถึงความหลัง
"ตะคะญี ขุนพลคู่ใจของพระเจ้ามหาสิริชัยยะสุระ...เพื่อนข้า แต่เขาเป็นคนรักสงบ เมื่อสิ้นสงครามขยายพระราชอาณาเขตตองอูเขาก็ปลีกตัวไปอยู่ป่า ข้าเองก็ละทางโลกเข้าสู่เพศบรรพชิต จึงไม่ได้เจอกันมาตั้งแต่นั้น"
ก่อนมหาเถรมังสินธูจะพูดอะไรต่อ กองทหารม้าของมังตราก็เสด็จเข้ามาหยุดในบริเวณหน้าวัดกุโสดอ มังฉงายรีบเอาผ้าคลุมศีรษะ
"เจ้าจงรีบหลบไปก่อน ข้าไม่แน่ใจว่าพระราชบุตรจะมาไม้ไหน เดี๋ยวความจะแตกเสียก่อน"
มังฉงายรีบกราบลาออกไป มังตราเดินมาไหว้พระอาจารย์
"พระอาจารย์เจรจากับผู้ใดอยู่"
มหาเถรมังสินธูพูดกระตุกกระตักไม่เต็มปาก
"หลานอาตมา"
มังตราจับพิรุธอย่างรู้ทัน
"ใครนะ"
ซ้ำพระอาจารย์ยังพูดติดอ่างอีกต่างหาก
"หลาน...มันชื่อมังฉงาย เพิ่งมาเยี่ยมอาตมาเมื่อคืน"
"ไม่ใช่จะเด็ดหรือพระอาจารย์"
มหาเถรมังสินธูพูดกล้อมแกล้ม
"ข้าเรียกมันว่ามังฉงาย"
มังตราหัวเราะ
"ก็ได้..มังฉงายก็มังฉงาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้พระอาจารย์ผิดศีล แล้วมังฉงายเขาไปหลบอยู่ที่ไหนหรือ"
"บอกแล้ว...ลืมแล้ว"
"นั่นแน่...ผิดศีลนะพระอาจารย์"
"เออ..เดี๋ยวปลงอาบัติเอาก็ได้ อยากเจอกันก็ไปตามหากันเอาเอง... แล้วอย่าให้ผู้ใดเห็นล่ะ"
มังตราหัวเราะชอบใจรีบกราบลาไป มหาเถรมังสินธูมองตามทำหน้าแปลกๆ
ข้างสระท้ายวัดกุโกดอ จะเด็ดมีผ้าคลุมศีรษะนั่งโยนอาหารให้ปลาอยู่ริมน้ำ มังตราย่องเข้าไปจนใกล้ พิศดูนิ่งอยู่ จะเด็ดแม้อยู่ในอิริยาบถสงบนิ่ง แต่เห็นชัดว่าใจไม่สงบ สีหน้าไม่สงบ กิริยาสุดท้ายคือ...โยนอาหารให้ปลาอย่างแรง
"จะเด็ด" มังตราเรียก
จะเด็ดหันกลับมาอย่างเร็ว แล้วรีบระงับอาการ สองคนจ้องกันนิ่ง
"จะเด็ด"
จะเด็ดนิ่ง ไม่ตอบ
"ต้องขานมังฉงายใช่ไม๊ถึงพูดกับเรา"
มังตราเข้าไปกอดจะเด็ด เป็นการกอดแบบเด็กๆ ที่เหวี่ยงไปมา แล้วหัวเราะชอบใจ
"จะเด็ดเราสองคนมีแม่เดียวกันนะ จะเด็ดดูดนมข้างขวา เราดูดนมข้างซ้าย...แม่นางนันทวดีบอกว่าท่านไม่รับไมตรีนาง ถ้าอย่างนั้นท่านต้องไปพูดให้นางรับรักข้าให้ได้นะ นะจะเด็ดพี่เรา"
"โธ่ พระราชบุตร ตอนนี้ข้ามีเรื่องร้อนใจอันใด ท่านก็รู้"
"เรื่องนั้นท่านอย่ากังวล แม่นางนันทวดียินดีจะเป็นพยานยืนคำให้"
จะเด็ดแกะมือมังตราออกจนหัวทิ่มเกือบตกน้ำ
"นางบอกท่านหรือ"
"แจ้งหมดแล้ว ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงล่ะ นะ ช่วยข้าหน่อย"
จะเด็ดเงียบ
"ถ้าพี่ท่านไม่ช่วยข้า เรื่องที่ท่านอยู่กับแม่นางนันทะวดีในสวน เวลาดึกๆสองคนนั้น รู้ถึงพระพี่นางแล้วละก้อ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า พระพี่นางจะรู้สึกอย่างไร"
จะเด็ดตกใจรีบปราม
"อย่านะพระราชบุตร ข้าพเจ้าไม่มีเจตนา"
"อ้าว ถ้าอย่างนั้นพี่ท่านก็ควรไปยับยั้งนางไม่ให้แจ้งเรื่องนี้แก่ผู้ใดซิ"
จะเด็ดหนักใจ แต่ไม่มีทางเลี่ยง
ทุ่งนา บริเวณดงตาลนอกเรือนขุนวัง จะเด็ดยืนพูดกับนันทวดีอยู่ใกล้ๆต้นตาล ห่างออกมา...มังตรายืนม้ามองนิ่งสงบรอคอยอยู่กับองครักษ์
"ที่มานี่ก็เพื่อทัดทานเรื่องราวไม่ให้อื้อฉาว ขอน้องท่านอย่าแจ้งผู้ใดให้รู้ความเลย ข้า...เป็นหนี้ในน้ำใจน้องท่านนัก"
นันทวดีสีหน้าสลดลง
"ข้ารู้ดอกว่า ท่านกลัวว่าเรื่องจะแจ้งแก่ตะละแม่ในวังหลวง...เอาเถิด ข้าจะช่วยปิดให้"
"และที่มานี่...มีเรื่องสำคัญอีกอย่าง"
นันทวดีมองหน้า คอยฟัง จะเด็ดตัดสินใจพูด
"พระราชบุตรมังตรารักแม่นางยิ่งนัก"
นันทวดีทั้งเสียใจและน้อยใจจ้องหน้าจะเด็ดนิ่ง
"จะบอกแม่นางเองก็ขยาด จึงมารบเร้าให้ข้าพเจ้าบอก"
นันทวดีสวนคำทันที
"ข้านี้คิดจะช่วยท่านไม่ให้ต้องโทษ แต่ท่านกลับมาประหารเราให้สิ้น ทั้งๆที่ยังหายใจ"
จะเด็ดรวบรวมกำลังใจ
"ข้าพเจ้ารับไมตรีจากแม่นางไม่ได้ด้วยเหตุสองประการ หนึ่ง เพราะมังตราเป็นเจ้าชีวิตเหนือหัวข้าพเจ้าและเป็นน้องร่วมนม ข้อสอง ข้าพเจ้าห่วงน้องท่าน ไม่อยากให้ตกไปช้ำโดยน้ำมือชายอื่น และข้านี้จะขอถวายชีวิตปกป้องท่านทั้งสองไปกว่าจะตาย"
นันทวดีนิ่งน้ำตาคลอด้วยความเสียใจ เจ็บร้าวในหัวอก จะเด็ดมองใจหายรอนๆ แล้วตอบเสียงจริงจัง เด็ดขาด
"เชิญท่านบอกพระราชบุตรมังตราได้ เผื่อว่าหน้าที่ของท่านจะได้เสร็จสิ้นไป แต่ขอให้รู้เถิดว่าพระราชบุตรมังตรานั้นจะได้ไปเพียงร่างกายเท่านั้น อย่าหวังจะได้หัวใจไปด้วยเลย"
นันทวดีเอาแต่ร้องไห้ แล้วเดินจากไป จะเด็ดนิ่งพูดไม่ออก ไม่รู้จะปลอบอย่างไรเพราะมังตราจ้องมองอยู่
อุทยานตองอู มังตราคุยกับทะกยอดินเรื่องจะให้พระราชมารดาไปสู่ขอนันทวดี
วันใหม่ ในเส้นทางจากตองอูไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงในบรรยากาศภูมิประเทศเป็นภูเขาและทุ่งกว้าง มังฉงายควบม้าต่างทวนติดอานไปตามทางอย่างรวดเร็ว มีชาวกระเหรี่ยง 2-3 คนเดินสวนเพื่อไปทำงาน
มังฉงายควบม้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันระวังตัว ขาม้าสะดุดกับเชือกที่ถูกดึงขวาง จนล้มลง มังฉงายกระเด็นไป ชายกระเหรี่ยงคนหนึ่ง โพกหัวปิดหน้า วิ่งออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางเข้าฉวยห่อผ้าของจันทราที่อานม้า มังฉงายรีบลุกขึ้นเข้าขวาง จึงเกิดการต่อสู้กันด้วยมือเปล่า
ชาวกระเหรี่ยงอีกผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายกัน วิ่งออกมากระโดดขึ้นหลังม้า
"ส่งของมาให้ข้า"
เจ้ากระเหรี่ยงที่สู้อยู่กับมังฉงายรีบโยนห่อผ้าให้กระเหรี่ยงคนบนม้ารับห่อผ้าไว้
"ใครจะผ่านทางนี้ต้องเสียค่าด่าน"
แล้วเจ้ากระเหรี่ยงผู้นั้นชักม้าควบออกไป มังฉงายวิ่งตามกระโดดขึ้นม้าซ้อนหลังได้ จึงเกิดการต่อสู้บนหลังม้า ผู้ที่อยู่ข้างล่างวิ่งตาม ตะโกนร้องโหวกเหวก
1
"อย่าสู้กับมัน โดดลงมาเร็ว โดดมา ปล่อยของให้มันไป"
กระเหรี่ยงผู้อยู่บนหลังม้าพยายามกระโดดลง แต่มังฉงายก็พยายามกอดรัดไว้ไม่ให้หนีจนมือไปกอดหน้าอกไว้ ทั้งคู่ตกใจ ต่างตกม้าลงมาด้วยกัน
ม้าวิ่งเตลิดเข้าป่าไป มังฉงายยังคงกอดจับหน้าอกโจรผู้นั้นอยู่เพื่อให้แน่ใจ
โจรตกใจถีบมังฉงายจนกระเด็น มีเครื่องประดับของโจรหลุดติดมือมังฉงายมาด้วย
มังฉงายตกใจยิ่งกว่าเจ็บ จ้องโจรนั้นไม่กระพริบตา
"ผู้หญิง เจ้าเป็นผู้หญิงหรือ"
ขณะที่มังฉงายกำลังตกใจ คนผู้นั้นก็ใช้โอกาสคว้าห่อผ้าจันทราวิ่งหนีไป เขารีบลุกขึ้น ยืนมองตามด้วยความงุนงง
ขอขอบคุณ : หนังนวนิยายประพันธ์โดย ยาขอบ
References :
2. หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ประพันธ์โดย : โชติ แพร่พันธุ์
หรือเจ้าของนามปากกา “ยาขอบ”
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ
โฆษณา