17 เม.ย. 2020 เวลา 05:00 • ปรัชญา
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 3
ร้านเหล้าริมทางไปบ้านตะคะญีกันทิมากับสีอ่องกำลังแก้ห่อผ้าจันทรา ซึ่งมีแต่อาหารอยู่ที่โต๊ะในมุมหลังร้าน
สีอ่องถาม
"เจ้านี่มันคือผู้ใด ขี่ม้าดูท่วงทีโอ่อ่า แต่ไม่มีสมบัติใดติดตัวเลย"
"แต่ม้ามันราคาไม่น้อย เจ้าอยากได้ไม่ใช่หรือ สีอ่อง"กันทิมาบอก
"ข้าขอบใจที่แม่กันทิมาช่วยสนองให้ข้าสมหวังในครั้งนี้ ต่อไป ถ้าแม่นางจะให้ข้าตอบแทนสิ่งใดข้าจะยอมทำทุกอย่าง"
กันทิมาหันไปเห็นมังฉงายเข้าพอดี
"สีอ่อง...เอาไงดี ดูนั่น"
มังฉงายเดินจูงม้าเข้ามาหยุดอยู่หน้าร้าน เจ้าของร้านรีบออกไปต้อนรับ
"เข้ามานั่งให้คลายร้อนก่อนซิ ข้ามีสาโทรสเลิศเป็นที่รู้กันในแถบนี้เชียวนา"
"ข้าไม่มีเวลานั่งดอก บอกข้าทีว่า บ้านครูดาบตะคะญีไปทางไหน"
"โอ้..พอดีเลย ลูกครูตะคะญีอยู่นี่พอดี"
เจ้าของร้านหันไปชี้ที่โต๊ะของกันทิมากับสีอ่อง แต่นางไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
"อ้าวไม่อยู่แล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกลัว บ้านครูดาบตะคะญีนั้นหาไม่ยาก"
ลานตีดาบบ้านตะคะญีจาเลงกะโบกำลังตีดาบอยู่ที่หน้าเตา เปลวไฟและควันคุ้ง ด้านหลังมีช้างเดินไปมา มังฉงายควบม้าเข้ามาหยุดใกล้ๆ จาเลงกะโบ
"ข้ามาพบท่านตะคะญี"
จาเลงกะโบไม่ตอบและไม่หันมามอง เพราะกำลังทำงานยุ่ง
"เห็นชาวบ้านบอกว่าที่นี่คือบ้านของท่านตะคะญี..ใช่ไหม"
เนงบาบอก
"เจ้าต้องการจ้างตีดาบใช่ไม๊ ตกลงกับข้าก็ได้"
เนงบาถอดเสื้อ เนื้อตัวมีแต่เหงื่อไคล เดินออกมาจากด้านในโรงตีดาบ
"จาเลงกะโบมันไม่ตกลงกับใครดอก ถ้าจะจ้างตีดาบต้องตกลงกับข้า"
"ข้ามาพบท่านตะคะญี .ข้าจะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์"
เนงบาเดินมองไปรอบๆตัวมังฉงาย แล้วเตะท่อนฟืนกระเด็นไปให้ มังฉงายโดดรับ ถือฟืนจ้องเนงบาเขม็ง
เนงบาใช้เท้างัดท่อนฟืนอีกท่อนหนึ่งขึ้นมาถือไว้แล้ววิ่งเข้าฟาด มังฉงายเอาฟืนที่ถืออยู่ฟาดตอบ เกิดการต่อสู้ด้วยท่อนฟืน... คนอื่นๆ ต่างหยุดงานหันมาดู
มังฉงายรับพลางถอยพลางเพราะสู้ฝีมือดาบของเนงบาไม่ได้ เนงบาต้อนมังฉงายจนท่อนฟืนกระเด็นหลุดมือ
เนงบาจะเข้าซ้ำ จาเลงกะโบขว้างดาบที่กำลังตีอยู่ปักขวางหน้าเนงบา
"อย่าเอาเปรียบผู้ด้อยฝีมือกว่า สำนักตะคะญีไม่เคยสอนให้ทำร้ายผู้ไม่มีอาวุธ"
"เจ้าเป็นใคร หาญจะมาเป็นศิษย์ของอาจารย์ตะคะญีข้า" เนงบาถาม
"ข้ามาจากท่านมหาเถรกุโสดอ พระอาจารย์มังสินธู"
บนเรือนบ้าน ตะคะญีกำลังอ่านจดหมายในมือ มังฉงายคุกเข่าอยู่ข้างหน้า เนงบากับจาเลงกะโบนั่งลับดาบอยู่ห่างๆ เมียตะคะญีจัดน้ำมาให้ มังฉงายยกมือไหว้
ตะคะญีอ่านจดหมายเสร็จ
"มังฉงาย.....มังสินธูอาจารย์ของเจ้าคือแม่ทัพที่นับถือของข้า เราเคยออกศึกร่วมกันมาเมื่อศึกครั้งก่อน ข้ายินดีถ่ายทอดวิชาดาบให้เจ้าอย่างเต็มที่"
เนงบาบอก
"แต่ต้องผ่านการสอนจากข้าในขั้นต้นก่อน"
ตะคะญีแนะนำ
"เจ้านั่นคือเนงบาฝึกดาบกับข้ามานาน ข้ายกให้มันหัดพวกหนุ่มๆที่มาใหม่"
เนงบาทำท่ากวนๆใส่มังฉงายอย่างภาคภูมิใจ
"ส่วนจาเลงกาโบนั่นคือลูกชายข้า มันไม่ชอบสอนใคร"
"แต่ฝีมือดาบ ถ่ายจากพ่อตะคะญีมาจนหมดสิ้น" เนงบาบอก
มังฉงายยกมือไหว้
"ข้าขอเป็นน้องพี่ท่าน มีอันใดสั่งสอนข้าด้วย"
เนงบาบอก
"รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเยี่ยงนี้ดี ข้าจะได้ไม่หวงความรู้ มีสิ่งใดจะสอนให้สิ้น แล้วเจ้าต้องนับถือแม่กันทิมาเป็นครูอีกคน"
มังฉงายทำหน้างงๆ เนงบาพูดต่อ
"แม่กันทิมาเป็นลูกของพ่อครูตะคะญี นางมีฝีมือดาบเก่งไม่แพ้ใคร เจ้าต้องขานนางว่าครูด้วย"
กันทิมาเดินหัวเราะต่อกระซิกมากับสีอ่อง แต่พอเห็นมังฉงายนั่งอยู่บนเรือนกับพ่อก็ตกใจ ต่างพากันวิ่งไปหลบ
ตะคะญีบอก
"เจ้าอย่างบังคับเจ้ามังฉงายปานนั้น การจะนับผู้ใดเป็นครูมันขึ้นอยู่ที่ความนับถือของผู้นั้น ไม่ใช่การบังคับ"
เนงบาหันไปเห็นกันทิมาพอดี
"นั่นไง แม่กันทิมามานั่นแล้ว แม่กันทิมามานี่เถิด"
กันทิมากับสีอ่องละล้าละลัง
"ข้าไปแล้ว ข้าไม่ยุ่งดีกว่า" กันทิมาบอก
"เจ้าจะให้ข้าถูกลงโทษผู้เดียวหรือ" สีอ่องว่า
"เจ้าจะกลัวทำไมสีอ่อง เราผูกหน้าผูกตากันปานนั้น ใครจะจำได้"
"แล้วเจ้าจะหนีทำไม"
"ไม่...ข้าอาย"
"อายเรื่องอันใด"
กันทิมาทำท่ายึกยัก พูดไม่ออก เสียงตะคะญีเรียกลูกสาว
"ขึ้นมานี่ก่อนกันทิมา เรามีผู้มาเยือนจากเมืองตองอูทีเดียว"
กันทิมากับสีอ่องต่างจำต้องขึ้นเรือน พากันนั่งห่างๆ แต่ไม่สบตามังฉงาย
"นี่ละ กันทิมาลูกสาวข้าที่พูดถึง ส่วนเจ้านั่นสีอ่องคู่เกลอฝีมือดาบมันดี แต่ชอบอู้"
มังฉงายยกมือไหว้กันทิมากับสีอ่อง
"ข้าขอนับถือท่านทั้งสองเป็นศิษย์พี่"
กันทิมากับสีอ่องรีบรับไหว้
"ข้าไม่ผิด...เอ้ย ข้าไม่รับ แม่กันทิมาชวน โอ้ย" สีอ่องบอก
กันทิมาแอบหนีบต้นขาสีอ่องอย่างแรง สีอ่องพยายามทำหน้าไม่เจ็บ
"ขอเจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ...ให้ถือว่านี้ก็เป็นบ้านของเจ้าเหมือนกัน" ตะคะญีบอก
"ข้าขอขอบคุณท่านครู"
มังฉงายพนมมือไหว้ตะคะญีและหันมายิ้มให้กันทิมาที่อายจนหน้าแดง โดยไม่มีใครรู้สาเหตุ
ลานซ้อมดาบ บ้านตะคะญี ดาบต่างๆเสียบอยู่กับที่วาง เนงบาเข้ามาเดินเลือก แล้วหยิบดาบหวาย ตะคะญีกับเมียนั่งอยู่ที่แคร่ คนอื่นนั่งอยู่รอบๆ มังฉงายคนเดียวที่นั่งอยู่กลางลาน เนงบาโยนดาบให้
"สำหรับครั้งแรกของเจ้ามังฉงาย ข้าขอให้กันทิมาเป็นผู้ทดสอบ แล้วก็...ดาบหวายก็คงพอ"
เนงบาโยนดาบให้ กันทิมาทำท่าไม่อยากซ้อม เนงบาพูดต่อ
"เถอะน่า ข้าอยากให้เจ้าแปลกหน้าได้รู้ว่านักดาบของพ่อครูตะคะญีนั้น แม้แต่หญิงก็อย่าได้ประมาท"
"เจ้าก็ได้กันทิมา ข้าอยากเห็นฝีมือเจ้าอยู่เหมือนกัน หมู่นี้เจ้าหลบซ้อมไปนาน มังฉงายหลานเรา เพลงดาบที่เจ้ารู้มาอย่าได้ออมมือ ศัตรูแม้เป็นหญิงก็ตัดคอเจ้าขาดได้" ตะคะญีบอก
"เป็นเกียรติแก่ข้ายิ่ง ที่ลูกสาวท่านครูยอมปะดาบ"
มังฉงายและกันทิมาก้มลงกราบตะคะญีแล้วจรดดาบเข้าหากัน กันทิมาบุกเข้าฟันก่อน มังฉงายตั้งรับ และโต้ตอบกลับเป็นการหยั่งเชิง
"อย่าหลบตามันนะแม่กันทิมา อ่านใจมันที่ตา"
กันทิมาทำท่าเซ็งเนงบา พยายามตอบโต้มังฉงาย จนกระทั่งฟาดไหล่มังฉงายได้หนึ่งแผล
เนงบาบอก
"ศิษย์พ่อครูได้หนึ่งแผลแล้ว"
"ได้ทีแล้วซ้ำเลย เอาอีกแผลหนึ่ง" สีอ่องว่า
จะเด็ดพยายามป้องกันตัวเหมือนจะรับมือกันทิมาไม่ได้
"นี่หรือศิษย์สำนักกุโสดอ มีฝีมือแค่นี้หรือ" กันทิมาว่า
มังฉงายโกรธที่ถูกปรามาส จึงเป็นฝ่ายบุกบ้างจนเข้าประชิดติดตัวกันทิมา
"นี่...อย่ามาชิดข้านักได้ไม๊"
"ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแต่ต้องการคืนของชิ้นนี้ให้น้องท่าน"
จะเด็ดพยักหน้าให้ดูของที่อยู่ในมือ กันทิมาอายจึงเริ่มถอย มังฉงายจึงเป็นฝ่ายบุกบ้าง
"เอ๊ะ...ทำไมถูกรุกง่ายอย่างนี้" สีอ่องว่า
เนงบาเตือน
"สติ...แม่นางมีสติ"
กันทิมาโมโหบุกอย่างไม่มีชั้นเชิง มังฉงายจึงใช้วิธีหลบไม่ต่อสู้ กันทิมาฟันไม่ถูกหลายที จนคนดูหัวเราะ กันทิมาอายจึงขว้างดาบทิ้ง
ตะคะญีบอก
"ทำไมเจ้าฝึกแบบนี้ ถึงเป็นลูกข้าก็ต้องได้รับโทษ"
"ก็เจ้ามังฉงายใช้กลโกง"
เนงบาวิ่งปาดเข้ามา
"มันโกงด้วยวิธีไหน"
กันทิมาอายไม่พูด เดินงอนออกไป เนงบาตาขวาง มังฉงายทำหน้าไม่รู้เรื่อง
วันใหม่ ในเรือนเล็กทะกยอดิน นันทวดีนั่งนิ่งอยู่กลางห้อง แต่งตัวสวยงามเป็นพิเศษ แต่สีหน้าบงบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นางข้าหลวงและบ่าวหญิงช่วยกันลำเลียงของออกไปสวนกับทะกยอดินที่เดินเข้ามา นันทวดีสุดกลั้นน้ำตาไว้
"ออกเดินทางเถอะลูก เดี๋ยวจะผิดเพลา การนี้ถึงไม่ใช่การอภิเษก แต่ก็นับว่าเป็นมงคลที่พระราชเทวีโปรดให้รับลูกเข้าไปอยู่ในวังหลวง ใยเจ้ามาร้องไห้ ไปเถอะลูก... พระราชบุตรนั้นต่อไปจะมีบุญญาธิการถึงนั่งแผ่นดินตองอู ลูกนั้นก็จะดำรงพระยศถึงพระราชินี เป็นเกียรติยศสูงสุดกว่าหญิงใดในแผ่นดินทีเดียวนะ ขอให้พ่อได้ภูมิใจในวาสนานี้เถอะ"
นันทวดีโผเข้ากอดพ่อร้องไห้อย่างน่าสงสาร
ทะกยอดินเดินจูงนันทวดีออกมาจากเรือนหลังเล็กมา นันทวดีสีหน้ายังเปื้อนน้ำตา ลงกราบเท้าพ่อแล้วขึ้นสีวิกาออกไป ไขลูอยู่ด้วยบอก
1
"ตองอู...ถึงจะเป็นแผ่นดินเล็กไม่เท่าหงสา แต่การที่บุตรสาวท่านได้อภิเษกกับพระราชบุตร ก็สามารถค้ำจุนตำแหน่งให้ท่านได้อย่างดีทีเดียวนะ ท่านขุนวังทะกยอดิน"
ทะกยอดินรู้ว่า ไขลูพูดดูหมิ่นจึงไม่หันมามองแม้แต่น้อย ภายในสีวิกา นันทวดียังคงร้องไห้ไม่หยุด
เวลากลางคืน มังฉงายนั่งมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าอยู่ที่โรงตีดาบ ด้วยความรู้สึกเหงา มือกำกลักงาที่แขวนคอเพราะคิดถึงจันทรา
กันทิมาเดินถือถ้วยยาทำแผลมายื่นให้มังฉงายอย่างเกรงๆ
"เอา"
"อันใด"
"ว่านทาแผลไง บ้านข้าใช้ว่านนี่รักษาแผลได้ชงัก แล้วจะไม่เป็นรอย"
กันทิมาวางถ้วยยาไว้ใกล้ๆมังฉงายแล้วจะไป
"ข้าเพิ่งรู้ว่า บ้านพ่อครูตะคะญีนี้เป็นซ่องโจร"
กันทิมาชงักเท้าทันที
"หรือว่ามีผู้อื่นทำแล้ว พ่อครูไม่รู้"
กันทิมาทำกลบเกลื่อน
"เจ้าอย่ามาให้ร้ายบ้านข้านะ หาไม่จะผิดใจกัน"
"ถ้าไม่อยากให้ผู้ใดรู้ ก็มาทำแผลให้ข้าเสียดีๆ"
กันทิมาโกรธเพราะอาย
"เจ้ากำลังหาเรื่องขู่บังคับข้าให้ตกเป็นเบี้ยล่างเจ้าใช่ไม๊"
มังฉงายหยิบเศษเสื้อของกันทิมาออกมาจากเอว
"บังเอิญก่อนข้าจะมาถึงบ้านพ่อครู มีนังโจรสาวมันมาขโมยม้าข้า ข้าเลยฉีกเสื้อมันมาเป็นที่ระลึก กะว่าจะให้พ่อครูตะคะญีสืบให้เสียหน่อยว่ามันเป็นเศษเสื้อของผู้ใด"
2
กันทิมาไม่มีทางปฎิเสธ รีบเดินมานั่งข้างๆเอายาทาแผลให้ มังฉงายรู้สึกแสบ ร้องเสียงดัง
"เจ้าอย่าบอกผู้ใดนะ ข้าทำไปเพราะสงสารสีอ่องมัน มันอยากได้ม้ามาก สีอ่องมันขี่ม้าเก่ง แต่ม้าพ่อข้ามีแต่ตัวเล็กๆ"
"ก็เลยคิดขโมยม้าผู้อื่น โอ้ย เบาๆ"
"ก็สีอ่องมันยุ เดี๋ยวข้าจะไปตามสีอ่องให้มาขอโทษท่าน"
กันทิมาลุกจะไป มังฉงายฉุดข้อมือไว้ นางเย็นวาบไปทั้งตัว เพราะนึกไปถึงเรื่องเมื่อกลางวัน
"อย่าเพิ่งไป ข้า ขอโทษแม่กันทิมาด้วยเมื่อกลางวัน ข้าไม่รู้ว่า แม่นางเป็นผู้หญิง"
กันทิมายิ่งเหมือนถูกแทงที่แผลเดิม ยิ่งอายหนัก หันมาทุบต้นแขนมังฉายตรงรอยหวายพอดี มังฉงายสะดุ้งเจ็บจนต้องปล่อยมือ กันทิมาวิ่งไป ทำเอามังฉงายหัวเราะทั้งที่สงสาร
สถานชำเราชาย ในเวลากลางคืน ไขลูนั่งดื่มเหล้าอยู่โต๊ะข้างๆ มองการซ้อมอาวุธของจิสะเบงกับเพื่อนๆ จีสะเบงเริ่มเมา สาวๆนั่งนางพากันร้องตกใจ จีสะเบงหัวเราะชอบใจ หลังจากเล่นซ้อมเพลงดาบจบ จิสะเบงและพวกก็กลับไปนั่งดื่มที่โต๊ะ ไขลูลุกขึ้นตบมือและเดินเข้าไปหาพร้อมจอกเหล้าในมือ
"ข้าขอดื่มให้ท่าน"
"ข้าจิสะเบง ลูกแม่ทัพตองหวุ่นญีแห่งตองอู"
"ข้าขอยกย่องฝีมือท่าน เป็นบุญตาเหลือเกินที่ได้เห็นฝีมือดาบศิษย์แห่งสำนักกุโสดอ"
"ท่านคงมาจากเมืองอื่น จึงไม่รู้จักข้า"
"ข้าติดตามขบวนคณะฑูตจากหงสาวดี"
"เชิญท่านอาวุโส แม่นางรินเหล้าให้เพื่อนอาวุโสของข้าหน่อย"
จิสะเบงและไขลูสนทนากันอย่างถูกคอ มีหญิงงามเมืองล้อมรอบอย่างสนุกสนานถูกคอ
"ฮะๆๆ ท่านจีสะเบงนี่เป็นถึงลูกแม่ทัพใหญ่ของตองอูเชียวหรือ มิน่า ฝีมือดาบของท่านจึงเหนือชั้นกว่าผู้ใดในพุกามทีเดียว ข้าขอดื่มคารวะ"
ไขลูชนจอกกับจีสะเบงอย่างเอาใจ
"ท่านไขลูยกย่องข้าเกินไปแล้ว ท่านเองก็เป็นถึงครูดาบพระอนุชาแห่งหงสาวดี ข้าไฉนจะกล้ายกตนเกินท่านไปได้"
"ข้ายกย่องท่าน เพราะตั้งแต่เป็นครูดาบสอนศิษย์มาทั่วแผ่นดินหงวสาวดี ยังหาศิษย์ผู้ใดมีท่วงท่าดาบงดงามเท่าท่านจีสะเบง"
จีสะเบงหัวเราะชอบใจ
"แล้วท่านเอาพระอนุชาของหงสาวดี ศิษย์เอกท่านไปไว้ที่ไหน"
"พระอนุชาสอพินยานั้น แม้จะเฉลียวฉลาดในเพลงดาบก็จริง แต่ด้วยพระองค์ทรงมีพระภารกิจมากจึงมีเวลาซ้อมน้อยไปหน่อย"
"นี่ท่านกำลังเอาความลับของกรุงหงสาวดีมาขายเราเชียวนะ ฮะๆๆ"
ไขลูทำกระซิบ
"อย่าทำอึ้งไป...เพราะข้านิยมในฝีมือท่านจึงพูดความจริง แต่น่าเสียดายนิดเดียว"
จีสะเบงหน้าเสียทันที
"เสียดายเรื่องอะไร"
"ข้าพเจ้าเสียดายแทนคนตองอูที่ไม่...ไม่ เห็นความสำคัญในฝีมือดาบท่าน"
จีสะเบงโกรธ ลุกขึ้นโวยวาย
"ทำไมท่านคิดเช่นนั้น ฝีมือดาบข้า จีสะเบงลูกแม่ทัพใหญ่ตองหวุ่นญี คนทั้งแผ่นดินตองอูก็รู้สิ้น"
ไขลูรีบเข้าปลอบ
"ข้าขออภัย ข้าไม่น่าพลั้งปากให้ท่านดูต่ำต้อยเลย ลงนั่งร่ำสุราต่อเถอะ อย่าให้เสียบรรยากาศมิตรภาพของเราเลย"
1
จีสะเบงลงนั่งอย่างเสียไม่ได้
"ข้าอยากเห็นเพลงดาบของท่าน ข้าอยากเห็นเพลงครูดาบแห่งหงสาวดี"
"ข้อนั้นอย่าห่วงเลย หากท่านให้ความนับถือข้า
ข้าก็ยินดีจะแนะนำให้ท่าน มิตรใหม่แห่งตองอู จนหมดทุกเพลงเลยทีเดียว"
"แต่ข้ายังข้องใจ"
"ท่านยังข้องใจเรื่องใดอีก"
"ทำไมท่านจึงเอ่ยว่า ตองอูไม่เห็นความสำคัญข้า"
ไขลูหัวเราะ
"ข้านับเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาของพระอนุชาแห่งหงสาวดี คติคือ ต้องกราบทูลความจริงถวายด้วยชีวิต แม้เรื่องที่กราบทูลไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย"
"งั้นก็แจ้งข้ามาเถอะ ข้ายินดีฟัง"
"ท่านมีฝีมือดาบเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินตองอู เป็นถึงลูกแม่ทัพใหญ่ แต่หาได้มีตำแหน่งใดในแผ่นดินสมกับวิชาดาบของท่านไม่ ฝีมืออย่างท่านหากเป็นกรุงหงสาวดีคงได้ถึงราชองครักษ์ เป็นอย่างน้อย"
จีสะเบงถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะเคยแต่เที่ยวเล่น เบ่งบารมีฝีเพลงดาบตามที่สาธารณะ แต่ไม่เคยคิดถึงความสำคัญเช่นนี้มาก่อน
วันใหม่ ในอุทยานตองอู มังตราคุยกับนันทวดี เรื่องขอความรัก อิจฉาจะเด็ดไม่ต้องวิ่งตามหารัก
เรือนตะคะญี มังฉงายกวาดใต้ถุนเรือนอยู่ในชุดกะเหรี่ยง , มังฉงายกับสีอ่องช่วยกันตักน้ำมาใส่โอ่งใต้ถุนเรือน เมียตะคะญียิ้มหวานชอบใจ, จาเลงกะโบ,เนงบา,สีอ่องกำลังอาบน้ำให้ช้าง มังฉงายเข้ามาช่วย สีอ่องแกล้งให้ช้างพ่นน้ำใส่ แล้วพากันหัวเราะสนุกสนาน , มังฉงายผ่าฟืน เนงบาขนฟืนมาให้ แต่ท่าทางยังไม่กล้าพูดกับมังฉงาย จาเลงกะโบเล่นอยู่กับช้างด้วยท่าแปลกๆ
ทุกคนกำลังซ้อมเพลงดาบ ตะคะญีสอนมังฉงายถึงเทคนิคเพลงดาบหวาย แล้วส่งต่อให้ซ้อมกับเนงบา กันทิมาคอยให้กำลังใจ เนงบารู้สึกน้อยใจ
ทุ่งเนินเขา เวลาเย็น ท้องฟ้าแดงฉาน มังฉงาย จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง ซ้อมเพลงดาบอยู่บนเนินเห็นท้องฟ้าสีแดง
เวลาเดียวกันไขลูกำลังสอนเพลงดาบให้จีสะเบงอยู่ ท่าทางจีสะเบงดูมุ่งมั่นมาก
ต่อมา..ในห้องโถง เรือนใหญ่ สอพินยากับไขลูจัดเลี้ยงต้อนรับจีสะเบงอย่างหรูหรา
"น่าเสียดายทีที่นี่ไม่ใช่หงสาวดี เราจึงไม่ได้ต้อนรับท่านจีสะเบงได้ใหญ่โตถึงขนาด หากท่านไปเยี่ยมเราที่หงสาวดีเราจะต้อนรับให้สมศักดิ์ของลูก แม่ทัพใหญ่แห่งตองอูเลยทีเดียว" สอพินยาบอก
จีสะเบงยิ้มบาน ตัวพองโต
"ข้าพเจ้าได้ฝากตัวเป็นศิษย์ต่อท่านอาจารย์ไขลูแล้ว"
สอพินยาชูจอกเหล้า
"ฮะๆๆ ขอต้อนรับศิษย์ผู้น้องแห่งครูดาบค่ายเดียวกัน"
ทั้งหมดยกจอกขึ้นดื่ม
"เวลานี้ท่านจีสะเบงเป็นบุรุษที่น่ากลัวที่สุดในแผ่นดินพุกามเสียแล้วนะ พระอนุชา" ไขลูบอก
"ท่านอาจารย์ ยกข้าต่อพระพักตร์พระอนุชาได้อย่างไร"
"ท่านไขลูเมื่อชอบพอฝีมือผู้ใดมักพูดให้ผู้นั้นเหาะได้เสมอ แต่ถ้าไม่นิยมแล้ว ก็จะเหยียบจนจมธรณีทีเดียว แสดงว่าเวลานี้ท่านไขลูคงนิยมฝีมือการต่อสู้ของท่านมากๆเป็นแน่"
"การที่ข้าพเจ้านำท่านจีสะเบงมาเข้าเฝ้าพระอนุชาครั้งนี้ ก็เพื่อเวลาในภายภาคหน้าเมื่อสิ้นวาสนาข้าพเจ้าแล้ว ถ้าพระอนุชาต้องการองครักษ์ที่มีฝีมือ หาผู้ใดในธรณี มีวิทยาการในเชิงดาบเทียบได้ ข้าพเจ้าอยากจะฝากท่านจีสะเบงไว้ให้พระอนุชาได้โปรดเชิดชู ให้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินด้วย"
จีสะเบงยิ้มปลื้มอย่างทระนง สอพินยาสบตาไขลูอย่างรู้กัน แล้วหัวเราะเสียงดัง
"นั้นไง...ข้าว่าแล้ว ท่านไขลูหลงฝีมือท่านจริงๆท่านจีสะเบง จะเป็นไร ท่านไขลูรับรองท่านถึงเพียงนี้ข้าจะมองข้ามได้อย่างไร แต่ท่านไขลูต้องเผื่อใจสำหรับความผิดหวังไว้เสียหน่อยนะ เราเป็นคนหงสา ไฉนท่านจีสะเบงซึ่งเป็นคนตองอูจะมาภักดีต่อเรา ข้าอิจฉาคนตองอูจริงๆ ที่มีคนมีฝีมืออย่างท่านจีสะเบง.....ดื่มๆ"
สอพินยายกเหล้าให้จีสะเบงอย่างยกย่อง ไขลูรีบรินเหล้าให้จีสะเบงอย่างเอาใจ จีสะเบงเริ่มน้อยใจที่ตนเองดูด้อยค่าในสายตาคนตองอู
ลานกลางทุ่ง ตะคะญีสอนกลเม็ดในเชิงดาบพร้อมทำท่าให้ดูด้วย มังฉงายฟันดาบกับตะคะญีทั้งคล่องแคล่ว ว่องไว แก้กระบวนดาบได้ทุกท่า
ณ เมืองตองอู นางเลาชีเดินนำทาสหญิงนำดอกไม้เข้ามาไหว้พระในโบสถ์วัดกุโสดอ ท่าทางนางเหนื่อยล้ามาก
ระหว่างที่นางกำลังก้มกราบ.....ก็ล้มฟุบลงกับพื้น ทาสที่อยู่ใกล้ๆ รีบเข้ามาและตะโกนเรียก
"พระนม พระนมเป็นอะไร พระนม เร็ว รีบไปตามหมอหลวงมาเร็ว"
ณ ลานหน้าเรือนตะคะญี มีการต่อสู้ระหว่างตะคะญีกับมังฉงาย ผู้คนทั้งหลายยืนเรียงรายล้อมวงดู เพลงไหนมังฉงายก็สามารถแก้เพลงดาบตะคะญีได้ ทุกคนพากันดีใจปรบมือ
เนงมาบอกสีอ่อง
"ไม่นิยมมันไม่ได้แล้ว"
กันทิมาชื่นชมมาก ปรบมือดังกว่าใคร ทหารตองอูขี่ม้ามาอย่างเร็ว และหยุดที่ลานซ้อม ทุกคนหยุดซ้อมและมองทหารอย่างสงสัย จะเด็ดยืนแอบหลังจาเลงกะโบ
"เรามีสารจากพระมหาเถรมังสินธูถึงมังฉงาย"
มังฉงายค่อยๆเดินออกมาหลังจาเลงกาโบอย่าง งงๆ
เลาชีนอนพักฟื้นอยู่บนที่นอน มีจันทราเฝ้าดูแลนางเลาชีอยู่ใกล้ๆ
"ข้าพเจ้าต้องกลายเป็นภาระของตะละแม่ไปเสียแล้ว"
"หมอหลวงให้ท่านแม่พักผ่อนมากๆอย่าได้กังวลเรื่องใด คงเป็นเรื่องจะเด็ดพี่ท่านที่ทำให้ท่านแม่นอนไม่หลับ"
"ขึ้นชื่อว่าลูก แม้จะโกรธจะเกลียดแค่ไหน แต่เมื่อหายไปแห่งหนตำบลไหนไม่รู้ได้ ผู้เป็นแม่ย่อมกังวลได้เสมอ"
"จะเด็ดพี่ท่าน มีพระอาจารย์กุโสดอคอยเอาใจใส่อยู่แล้ว คงไม่ลำบากนัก"
"แม่เป็นห่วงความดื้อรั้นของจะเด็ดต่างหาก ใจร้อนก็เท่านั้น วู่วามก็เท่านั้น เป็นผู้ไม่ยอมแพ้ใคร หากไม่มีราชวงศ์เมงกะยินโยคุ้มหัวแล้วจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร"
จันทราจับมือแม่นมมากุมไว้
"ท่านแม่อย่าห่วงเรื่องนี้เลย ราชวงศ์เมงกะยินโยจะไม่มีวันทอดทิ้งจะเด็ดพี่ท่านอย่างเด็ดขาด"
เลาชีกุมมือจันทราไว้แน่น น้ำตาเออไหลออกมา
"เป็นบุญหัวของจะเด็ดมันจริงๆ"
จันทราพยายามยิ้มให้เลาชี ทั้งๆที่คิดถึงจะเด็ดอย่างที่สุดไม่แพ้เลาชีเหมือนกัน
ลานหน้าบ้าน มังฉงาย จาเลงกะโบ เนงบา, สีอ่องต่างก้มกราบลาตะคะญีกับเมียไปตองอู
"ขอให้เดินทางกันแคล้วคลาดปลอดภัยกันทุกคน จาเลงกาโบ เนงบา สีอ่อง มันไม่เคยเข้าไปในเมืองใหญ่ ถึงจะเป็นนักดาบฝีมือดีเพียงใด มันก็ยังเป็นชาวป่าอยู่ดี" ตะคะญีบอก
"ท่านอาจารย์อย่าเป็นห่วงอันใดเลย ข้าพเจ้าจะดูแลพี่ๆทุกคนอย่างดี หากแม่ข้าพเจ้าแข็งแรงดีแล้วข้าพเจ้าจะกลับมาฝึกดาบกับท่านอาจารย์ต่อไป"
"พาคนป่าไปเบิกตาดูบ้านดูเมืองเสียบ้างก็ดี ไปเถอะ รีบเดินทางจะได้ไม่มืดค่ำกลางทาง"
มังฉงายมองไปทั่วๆเหมือนมองหาใครอยู่
สีอ่องบอก
"ไปเถอะ ข้าอยากจะได้ยลสาวในเมืองตองอูจะแย่อยู่แล้ว เจอแต่สาวชาวป่ามาตั้งแต่เกิด"
"แม่เอ็งก็สาวบ้านป่านะสีอ่อง กันทิมาเข้าป่าไปตั้งแต่เช้าแล้ว" เนงบาบอก
ตะคะญีบอก
"เจ้าอย่าห่วงนางเลย นางเหมาะเป็นสาวบ้านป่ามากกว่า กันทิมาซื่อเกินจะไปอยู่ในเมือง"
มังฉงายจึงตัดสินใจจูงม้าเดินไป ตะคะญีมองตามลูกๆอย่างเป็นห่วง
"ข้าผิดหรือเปล่าที่เอาพวกเขามาเลี้ยงอยู่ในป่า ไม่เคยให้ได้เห็นความศิวิไลซ์เลย"
ทางเดินในป่าบนเนินเขา ทุกคนเดินจูงม้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นกันทิมานั่งสะพายห่อผ้าอยู่ที่คบไม้ริมทาง ทุกคนหยุดมองอย่างแปลกใจ
"อ้าว กันทิมา อุตส่าห์มาส่งพวกข้าถึงชายแดนป่าเลยหรือนี่" สีอ่องถาม
กันทิมากระโดดลงจากคบไม้
"ใครบอกว่าข้าจะมาส่งเล่า ข้าจะไปด้วย"
"จะไปไหน"
เนงบาดีใจ
"เจ้าจะไปเมืองตองอูกับพวกข้าอย่างงั้นหรือ"
"ใช่ซิ ข้าขอไปเมืองตองอูด้วย"
"แต่...ท่านครูตะคะญีบอกข้าว่าท่านเป็นหญิง ไม่อยากให้ไปกับพวกข้า" มังฉงายบอก
"ข้าเป็นลูกครูดาบตะคะญี ใครจะทำข้าได้ ไปเถอะอย่าเสียเวลาซักข้าเลย ข้าดูแลตัวเองได้"
กันทิมาเดินนำหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้
จาเลงกาโบบอก
"แม่ท่านจะเป็นห่วงนะกันทิมา เจ้าบอกแม่ท่านหรือยัง"
กันทิมายังคงเดินไปเรื่อย ไม่เดือดร้อน
"ข้าเขียนความทิ้งไว้ให้แม่ท่านแล้ว"
มังฉงายเหลือบมองจาเลงกาโบก็รู้ว่า เขาห่วงน้องสาวเขามาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ริมลำธารระหว่างทางเดินในป่า มีการหุงหาอาหารและนั่งกินกันอยู่ริมน้ำ กันทิมานั่งและเล็มอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ไม่เดือดร้อนใดๆ มังฉงายเดินมาลงนั่งใกล้ๆ
"แม่นางอิ่มหรือยัง"
"รีบใช่ไม๊ จะรีบไปเจอใครที่ตองอูล่ะ"
"แม่ข้าป่วยเจ้าก็รู้"
"เจ้าไม่มีใครอยากพบอีกแล้วหรือนอกจากแม่"
"ข้าถามว่าอิ่มหรือยัง"
"อิ่มก็ได้...รีบนัก ข้าก็อยากเห็นเมืองตองอูจะแย่อยู่แล้วเหมือนกัน"
กันทิมารีบทิ้งเศษกระดูกใส่กองไฟเดินไปล้างมือที่ลำธาร มังฉงายเดินมาใกล้ๆ แกะผ้าโผกศีรษะออก นางเหลือบตามามองอย่างสงสัย
"เข้ามาใกล้ข้าทำไม"
"ข้าจะมาเช็ดมือให้เจ้าไง"
กันทิมางง แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ส่งมือให้มังฉงายเช็ดให้แต่โดยดี นางเขินอาย ฉับพลัน ... มังฉงายก็รวบเอาผ้ามัดมือนางอย่างรวดเร็ว จนกันทิมาตกใจ
"อะไรกันนี่มังฉงาย ท่านจะทำอะไรนี่"
"เจ้าอย่าตามพวกข้าไปเลย อยู่ดูแลท่านอาจารย์กับแม่ท่านเถอะ ข้าไปเยี่ยมแม่ข้าจริงๆ พวกข้าไปไม่นานดอก"
"ปล่อยนะ แก้มัดข้าเดี๋ยวนี้ อย่าทำกับข้าอย่างนี้ ปล่อยข้า"
มังฉงายดึงกันทิมามาผูกไว้กับต้นไม้ นางพยายามดิ้น พวกจาเลงกาโบเข้ามาช่วยจับ
"พวกผู้ชายเห็นแก่ตัว ทีพวกเจ้าไปเที่ยวได้แต่ข้าไม่ให้ไป อย่างนี้มันจะถูกหรือ จาเลงกาโบเจ้าเป็นพี่ข้านะ แก้มัดข้าเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้แก้มัดข้าเดี๋ยวนี้ เนงบา สีอ่อง เจ้าก็อีกคนใช่ไม๊ เจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อข้าแล้วใช่ไม๊"
1
เนงบาเกรงใจกันทิมามาก
"อย่างว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แม่กันทิมา ข้าเองก็ยังไม่รู้จักตองอูดี เจ้าอย่าเพิ่งไปเลยนะ พ่อครูตะคะญีสั่งข้าไว้"
มังฉงายจูงม้าเดินนำออกไป คนอื่นๆเดินตาม มีเนงบาเท่านั้นที่ยังเป็นห่วง
"อีกสักปะเดี๋ยวคงมีคนผ่านทางมาเจอเจ้านะ กันทิมา"
"ไอ้พวกผู้ชายเห็นแก่ตัว ทำไมผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเท่านั้น ผู้ชายมีการเที่ยวได้ ผู้หญิงก็มีการเที่ยวได้เหมือนกันนะ ข้าก็มีฝีมือเพลงดาบไม่แพ้พวกเจ้าหรอกนะ มังฉงาย เจ้ากลัวคนรักเจ้าที่ตองอูเห็นข้าใช่ไม๊ มังฉงาย...ข้าเกลียดเจ้า ข้าเกลียดเจ้าด้วย เนงบา สีอ่อง เฮ้ย...กลับมาปล่อยขาเดี๋ยวนี้นั"
กันทิมาพยายามดิ้น แต่ก็ไม่สามารถหลุดจากการพันธนาการได้
ริมถนนในเมืองตองอู มังฉงายเอาผ้าผืนใหม่คลุมหัวไว้กลัวคนจำได้ เดินมากับจาเลงกะโบ เนงบา สีอ่องที่เดินจูงม้ามาตามทาง ชาวเมืองเริ่มกลับบ้านกันบ้างแล้ว
"ข้าว่าเราน่าจะแวะหาที่กินสักหน่อยนะ ข้าเมื่อยขาจะแย่แล้ว" เนงบาว่า
"เจ้าอยากสำราญกับแม่สาวชาวเมืองต่างหาก..ข้ารู้" สีอ่องบอก
"หรือเจ้าไม่...เจ้ากับข้าก็คนเหมือนกันนะแหละเจ้าสีอ่อง อย่ามาทำเป็นสำบัดสำนวนว่าวิเศษกว่าข้า"
"แต่ข้าก็ไม่ออกนอกหน้าอย่างเจ้า"
"เอาละๆๆ อย่างเถียงกันเลย ไปเถอะ..เข้าไปร้านนั้นก็ได้ ข้าก็ล้าเหลือเกิน"
มังฉงายเอาม้าไปผูกที่หน้าร้าน แล้วพากันเดินเข้าไปในร้านเหล้าริมถนน ทุกคนเดินเข้ามาในร้านมองหาโต๊ะนั่ง แต่เห็นคนเดินไปมาเต็มไปหมด
จาเลงกาโบบอก
"ไปร้านอื่นเถอะ ร้านนี้คนเต็มไม่มีที่นั่งแล้ว"
เจ้าของร้านรีบออกมาต้อนรับ
"แหม...อภัยให้ข้าด้วยเถิด วันนี้คนล้นร้านจริงๆ ถ้าไม่ลำบากขอท่านยืนกันไปก่อนนะ"
"จะขี่คอกันอยู่แล้ว ข้าไม่เอาหรอก ไปๆๆ" เนงบาบอก
แล้วก็มีเสียงคุ้นๆดังเข้ามาว่า
"ถ้าไม่ถือสา จะมานั่งกับข้าก็ได้"
มังฉงายและเพื่อนๆหันไปมองตามเสียง เห็นกันทิมานั่งกินอาหารอยู่ผู้เดียว จาเลงกาโบรีบเดินไปหา
"เจ้าเป็นหญิง ทำไมมานั่งกินอาหารในร้านนี้เพียงผู้เดียว"
"เอ้า... ก็ข้าขอตามมาดีดี ทำไมไม่ให้ข้ามาด้วยล่ะ ไม่อยากนั่งก็ไปร้านอื่นซิ"
จาเลงกาโบโกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้ มังฉงายจึงรีบสรุปดึงทุกคนลงนั่ง
"เอาเถอะพี่ท่าน ถึงป่านนี้แล้วคงห้ามนางไม่ได้หรอก เรารีบกินแล้วไปหาพระอาจารย์กุโสดอกันเถอะ"
เนงบา สีอ่อง ดีใจรีบลงนั่งข้างกันทิมาจะหยิบของกิน แต่นางเอาศอกกระทุ้งให้ไปห่างๆ
"เจ้าสองคนไม่ใช่พวกข้าแล้วไปห่างๆ"
สีอ่องตะโกน
"มีอะไรกินบ้างยกมาเลย ข้าหิว"
กันทิมานั่งกินข้าวอยู่ แต่ตามองมังฉงายอย่างยียวน จนเขารู้สึกอึดอัด พูดไม่ออก แต่พอจะเดาได้ว่า กันทิมาคิดอะไรอยู่กับตน
ภายในกุฏิ วัดกุโสดอ มังฉงายกราบถึงตัวมหาเถรมังสินธู เพื่อนทั้ง 3 คนกราบห่างออกมา พระอาจารย์ลูบหัวมังฉงายด้วยความรัก แล้วหันไปมองที่ละคน
"เจ้าคนนั้น เหมือนตะคะญีเมื่อหนุ่ม ลูกชายเรอะ"
มังฉงายบอก
"ใช่แล้วพระคุณท่าน ชื่อจาเลงกะโบ อีกสองคนชื่อ เนงบา และ สีอ่อง เป็นศิษย์รักของครูดาบ"
มหาเถรมังสินธูหันไปจ้องกันทิมาที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ห่างๆ แล้วหันมามองมังฉงายอย่างระแวง มังฉงายตกใจรีบโบกไม้โบกมือ พูดระล่ำระลัก
"อย่าเพิ่งตำหนิข้าพเจ้า นางเป็นน้องสาวจาเลงกะโบ ลูกสาวครูดาบตะคะญี นางอยากเข้ามาเที่ยวในเมืองด้วยเท่านั้น"
มหาเถรมังสินธูถอนหายใจอย่างโล่งอก
"ฝีมือดาบจัดจ้านกันทุกคนสิ...แม้เป็นลูกสาว ข้าก็เชื่อว่าตะคะญี คงไม่เก็บเจ้าไว้ทำกับข้าวให้ผู้ชายกินอย่างเดียวหรอกนะ"
กันทิมายกมือไหว้อย่างเก้อๆ
"ขอให้พวกเจ้าจงรักสามัคคีกัน รักษาตัวให้ดี คนมีฝีมืออย่างพวกเจ้า สักวันต้องมีประโยชน์กับตองอูแน่นอน ไปเถอะดึกแล้ว ไปหาที่นอนที่กุฎิหลังโบสถ์นั่นเถอะ"
ทุกคนกราบมหาเถรมังสินธูแล้วแยกย้ายกันออกไป
"มังฉงาย"
มังฉงายหยุดหันมาฟัง
"พวกเขารู้ไม๊ว่าเจ้าคือใคร"
"ข้ายังไม่เคยบอกใครตามที่พระอาจารย์สั่ง"
"ดีแล้ว เพราะเวลานี้พระอนุชากับพวกหงสายังไม่ได้กลับไป เจ้ายังต้องระวังตัวไว้อยู่นะ"
"ข้าพเจ้าระวังตัวไว้เสมอ ข้าพเจ้าจะขอไปเยี่ยมแม่หน่อยนะ พระคุณเจ้า"
มหาเถรพยักหน้ารับ ไม่พูดอะไรต่อ มังฉงายจึงคลานออกไป
ค่ำวันเดียวกัน ในเวลาต่อมา เลาชีนอนหลับอยู่ในห้องนอน มังฉงายคลานเข้ามากราบที่เท้า แล้วเอามือลูบเท้าแม่มาลูบศีรษะตัวเอง เลาชีสะดุ้งตื่น
"จะเด็ดใช่ไม๊ลูก"
"ข้าพเจ้าเองแม่ท่าน"
เลาชีพยายามยื่นมือมาคว้าหาลูกชาย มังฉงายรีบจับมือเลาชีมาหอมแล้ววางไว้บนหัวตัวเอง
"จะเด็ด เจ้ามาได้อย่างไร"
"ตะละแม่จันทราบอกข่าวไปแจ้งแก่พระอาจารย์กุโสดอน่ะ ท่านแม่"
"เจ้าเลยเสี่ยงภัยเข้ามาหาแม่ ระวังตัวไว้นะลูก แม่ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้ารีบหลบออกไปเถิด"
"ข้าพเจ้ามายังไม่ทันกอดแม่ท่านให้ชื่นใจเลย ก็จะมาไล่ข้าพเจ้าไปเสียแล้ว"
"ก็แม่หายแล้ว ตะละแม่พระพี่นางคอยดูแลอย่างดี ไม่ต้องห่วงหรอก"
ประตูห้องเปิดออก มังฉงายสะดุ้ง หันไปมองเห็นตะละแม่จันทรายืนอยู่ที่ประตู ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอย่างนึกไม่ถึง
"ดึกแล้วยังเป็นธุระจัดหาอะไรมาอีกหรือ ตะละแม่จันทรา"
จันทราตั้งสติได้ เดินเข้ามาคุกเข่าลงข้างๆ เลาชี มังฉงายค่อยๆ คลานหลบออกไปอยู่ที่มุมห้อง
ตองสาถือถาดหม้อต้มยาเข้ามา เห็นมังฉงายที่ไม่มีผ้าคลุมหน้าก็จำได้
"ข้าพเจ้าต้มยามาให้แม่ท่านดื่มก่อนนอนอีกสักมื้อหนึ่ง จะได้ช่วยเร่งบรรเทาให้หลับสบาย"
จันทรารับหม้อยาจากตองสา เอาช้อนตักป้อนให้เลาชีที่ทำท่าจะลุกไม่ไหว มังฉงายจึงรีบเข้ามาพยุงขึ้น
"อย่าดื้อนะแม่ท่าน ตะละแม่มีน้ำใจแก่พวกเราเหลือเกิน อย่าให้เสียน้ำใจตะละแม่ท่านนะ"
จันทราทำเป็นรู้ไม่ทัน เอายาป้อนเลาชีจนหมดถ้วย
ขบวนสีวิกาที่จอดรออยู่ ตะละแม่จันทราเดินลงมาจากเรือนเลาชี มีจะเด็ดตามมาส่ง ทั้งคู่ต่างเก็บความรู้สึกภายในไว้ไม่แสดงออก ตองสาถือถาดหม้อยาตามมา ท่าทางไม่พอใจนัก
จันทราหยุดหันมามองมังฉงาย สายตานั้นอาลัยนัก
"ข้าพเจ้าไม่ได้พบพี่ท่านเสียนาน ดีใจที่พี่ท่านยังสุขภาพดี"
"ข้าพเจ้าคงหาผู้ใดในแผ่นดินนี้ มีน้ำใจแก่ข้าพเจ้าได้เท่าตะละแม่จันทรา"
"ข้าพเจ้าคงทำอะไรเพื่อใครไม่ได้ตามใจดอก รักษาตัวพี่ท่านเองให้ดี ถ้าตัวพี่ท่านเป็นอะไรไปท่านแม่เลาชี คงเสียใจมาก"
"ข้าพเจ้าต้องไปแล้ว"
มังฉงายอยากจะฉุดมือไว้แต่ทำไม่ได้
"เป็นบุญข้าพเจ้าเหลือเกินที่ได้เฝ้าตะละแม่ในคืนนี้ ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะได้เฝ้าอย่างนี้อีก"
จันทราขึ้นนั่งสีวิกานิ่ง ไม่ได้หันมามองมังฉงายแม้แต่น้อย จนตองสามาปิดม่านให้ขบวนสีวิกาเคลื่อนออกไป ตองสาเหลือบมองเขาแว๊บหนึ่งเมื่อเดินผ่าน เห็นเขายืนนิ่งมองตามอย่างอาลัยอาวรณ์
ตองสานั่งคุยอย่างกังวลอยู่กับไขลูบนเรือนบ้านทะกยอดิน
"อีกไม่กี่เพลาเรากับพระอนุชาก็ต้องเสด็จกลับหงสาวดี ข้าต้องเอาคืนเจ้าจะเด็ดมันให้ได้ โทษฐานที่มันบังอาจขโมยพระธำมรงค์พระอนุชา ถ้าเจ้าทำการครั้งนี้ให้ข้าสำเร็จ ข้ายินดีจะกราบทูลให้พระอนุชานำเจ้ากลับไปหงสาวดีด้วย เจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่"
ตองสาหนักใจ ตัดสินใจไม่ถูก
"ว่าไงตองสา การแค่นี้ไม่ควรคิดนาน เจ้าอุตส่าห์นำความมาแจ้งแก่ข้า แสดงว่าเจ้าก็ชังมันอยู่ ฉะนั้นเราก็ควรร่วมมือกันล้างแค้น แค่เจ้าเจรจาให้มันออกมาพบข้าได้ ตำแหน่งราชินีหงสาวดีก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว ข้ารับรองว่า การนี้ข้าจะไม่แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้"
ตองสายังตัดสินใจไม่ได้ แต่เริ่มเห็นด้วยกับไขลู
เวลาเย็น มังฉงายกับเพื่อนทั้งสี่กำลังเก็บกวาดลานวัดอยู่ มังฉงายหันมาเห็นตองสา แต่ยังจำไม่ได้ เพราะนางมีผ้าคลุมหัว กวักมือเรียก มังฉงายเดินไปหา จาเลงกะโบมองตาม มังฉงายจำได้ต่อเมื่อนางปลดผ้าคลุมหัวออก
"ตองสา เจ้ามีการอันใดหรือ"
ตองสาหันไปเห็นจาเลงกะโบมองอยู่ จึงฉุดมังฉงายออกไป จาเลงกะโบคิดว่าเป็นคนรักของมังฉงาย กันทิมามองเห็น สีหน้าบอกบุญไม่รับ
ในมุมลับตา วัดกุโสดอมังฉงายยิ้มดีใจเป็นที่สุด
"จริงหรือนี่ ตองสา"
ตองสาสีหน้ามีพิรุธ แต่มังฉงายไม่ทันสังเกต
"ตะละแม่ใคร่จะพบท่านเป็นที่สุด ทรงรับสั่งให้พาท่านเข้าไปพบคืนนี้ให้ได้"
มังฉงายนัยน์ตาวับขึ้นทันที
"เจ้าจะนำข้าเข้าไปได้อย่างไร"
"พระธิดารับสั่งเป็นอุบายมาแล้ว"
ตองสาเอียงเข้าไปกระซิบที่หู มังฉงายฟังอย่างตั้งใจ แล้วเริ่มงง...
1
เวลากลางคืน ส่วนหนึ่งของพระราชวัง ในส่วนทางเดินที่มีกำแพงแก้ว ตองสายืนกระวนกระวายอยู่ที่ศาลา พลางหันไปตะโกนถาม
"เสร็จรึยังท่าน อย่ามัวช้า เดี๋ยวมีทหารมาพบจะไม่เสร็จการ ท่าน...ว่าไง"
มังฉงายแต่งกายเป็นหญิงสาวโผล่หน้าออกมา กวาดตามองซ้าย ขวาอย่างกระมิดกระเมี้ยน ตองสามองตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมา
"ข้าแทบจำท่านไม่ได้แน่ะ มาเถอะ เราต้องไปแล้ว"
มังฉงายเดินออกมา ท่าทางเป็นชายฉกรรจ์เต็มตัว ตองสาพยายามกั้นหัวเราะ
"ท่านเดินแบบนี่ไม่ได้ พวกโขลนไม่ยอมให้เข้าวังเด็ดขาด"
ตองสาจึงเดินเป็นตัวอย่างให้ดู มังฉงายจึงพยายามเดินตาม ตองสาหันมายิ้มให้ ท่าทางยั่วยวน
โขลนนั่งอยู่บริเวณประตูท้ายวัง นางกำนัล เดินเข้าเป็นแถว ทักทายโขลนบ้าง ตองสากับมังฉงายเดินเข้ามา ท่าทางมังฉงายเดินส่ายสะโพกดูน่าขำ
มังฉงายกระซิบถาม
"ใช้ได้ไหม"
"มากไปนิด"
มังฉงายจึงลดการส่ายลงหน่อย ตองสาพามังฉงายเดินเข้าประตู ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู
โขลนพูดเสียงดัง
"เดี๋ยว ... หยุดก่อน"
มังฉงายก้าวเท้าลอยอยู่บนธรณี หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ตองสาเหลียวไปดู เห็นโขลนเดินไปหานางคนหนึ่งที่หอบข้าวของพะรุงพะรัง ตองสากระชากแขนมังฉงายพาเดินพรวดไป
ตองสาเปิดประตู กระชากมังฉงายพรวดเข้ามาในห้องนอน มังฉงายหน้าแทบคะมำ
"ท่านต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องข้าพเจ้าก่อน ต่อเมื่อดึกกว่านี้ พระราชธิดาจึงจะเสด็จมา"
มังฉงายสีหน้าตื่นๆ เมื่ออยู่ในห้องเดียวกับตองสา
หลังวังตองอู ไขลูกับทหารหงสาวดี 5 คน ทุกคนมีผ้าปิดหน้าอำพราง ยืนแอบอยู่หลังพุ่มไม้ มองไปทางในวังหลวง
"ข้านัดกับตองสาไว้แล้วว่า ยามสามให้ปล่อยเจ้าจะเด็ดออกมา แล้วหลังจากนั้น จะเป็นหน้าที่ของข้ากับพวกเจ้า"
ทหารหงสาวดี ต่างมองอย่างมาดหมาย
ทหาร 1 บอก
"ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าพเจ้าจะไม่ให้เกินสามเพลง มันจะต้องสิ้น"
ดวงจันทราลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า แต่ไม่เต็มดวง มังฉงายนั่งมองจันทร์อยู่ริมหน้าต่าง เสียงตองสาเรียก
"ตะละแม่จันทรา"
มังฉงายหันมา ตองสาเข้ามากอดพิงมังฉงายด้วยความรัก
"จันทรา ... พระจันทร์"
มังฉงายขยับหนีอย่างนิ่มนวล
"ขอบใจแม่ตองสาเหลือเกิน บุญครั้งนี้จะส่งแม่นางถึงสวรรค์แน่"
ตองสาหน้าสลดลง แสร้งหยิบข้าวของบางอย่าง แล้วมองมังฉงาย
"ท่านแต่งเป็นผู้หญิงสวยจริง ถ้าข้าพเจ้าเป็นชายคงจะไม่อดใจจับมือเกี้ยว"
มังฉงายส่งมือให้
"เชิญจับมือข้าพเจ้า แล้วเกี้ยวตามปรารถนาเถิด"
"ข้าพเจ้าบอกว่า ถ้าข้าพเจ้าเป็นชาย"
"จะต่างกันตรงไหน เนื้อแท้ท่านเป็นหญิงข้าพเจ้าเป็นชายถ้ามีการเกี้ยวกัน ก็ไม่ผิดวิสัยดอก"
ตองสาใจระทึก ปั่นป่วน ก้มหน้านิ่ง
"หรือว่าจะให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นชายแท้เกี้ยวท่านซึ่งเป็นหญิง"
มังฉงายจับมือตองสาทั้งสองมือ ด้วยกิริยาอ่อนโยน แล้วพูดต่อ
"จนปัญญา ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร วานท่านสอนข้าพเจ้าได้หรือไม่"
"พูดเก่งอย่างนี้ ตะละแม่ถึงได้พิศวาสนัก หญิงสูงสุดท่านยังเอาชนะได้ ตองสาคนต่ำต้อยหรือจะเกินปัญญาท่าน ปล่อยมือข้าพเจ้า"
ตองสาดิ้นรน มังฉงายยิ่งจับ ทั้งคู่ต่างดิ้นกันไปดิ้นกันมา ตองสาก็เข้าไปอยู่ในอ้อมแขน
ของมังฉงาย ตัวอ่อนลืมสติ เงยหน้าจะให้มังฉงายจูบ
เสียงระฆังกังสดาลดัง 2 ที มังฉงายปล่อยตองสา
"น้องท่านไปดูทีเถิดว่าตะละแม่จะมาหรือยัง"
ตองสาหน้าบึ้ง แล้วลุกออกไป มังฉงายถอนใจ โล่งอก
2
พุ่มไม้หลังวังตองอู ไขลู กับ พวกทหาร แอบอยู่ใกล้ๆ ประตู
"ยามสองแล้วท่าน"
"เออ...ไม่ต้องร้อนใจ เราเชื่อว่าตองสาต้องทำการสำเร็จ"
พวกทหารจ้องมองไปที่ประตูไม่วางตา
ตองสาหน้างอเปิดประตูเข้ามา แล้วปิดไว้เหมือนเดิม มังฉงายผวาเข้ากอดเอาใจ ตองสาค้อนน้อยๆ
"เป็นอย่างไรบ้าง"
"พระราชเทวีประชวรพระนาภี จึงเรียกหาตะละแม่ไปบรรทมเป็นเพื่อน"
มังฉงายหน้าสลดปล่อยมือที่กอดออก ตองสามอง และเริ่มสงสาร
"งั้น แม่ตองสาไปส่งข้าพเจ้าที่ประตูวังหน่อยเถิด จวนยามสามแล้วกระมัง ข้าพเจ้าต้องกลับ"
ตองสาหน้าเสีย ตัดสินใจไม่ถูก มังฉงายเข้ามาจับมือตองสาขึ้นมา ด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน
"อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเป็นหนี้แม่ตองสาแล้ว ท่านมีใจเป็นกุศลที่ช่วยบรรเทาความร้อนในรักเรา"
ตองสาอดใจไม่ไหว โผเข้ากอดกลิ้งหน้าอยู่กับอก มังฉงายคิดตรึกตรอง นึกรู้ว่า ตองสานั้นปรารถนาในตัวตน
"ท่านจะเด็ด ข้าพเจ้าประจักษ์ในรักแท้ของท่านเหลือเกิน"
มังฉงายคิดว่าจะทำอย่างไร แล้วตัดสินใจเล้าโลม ลูบไล้ เชยคาง จัดผมที่ยุ่งให้เรียบร้อย ยิ้มให้ตองสาอย่างแจ่มใส นางเผยอหน้าให้ เขาจูบตอบ ร่างสองร่าง แทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน...
"ใกล้ยามสามแล้ว เร่งพาข้าพเจ้าไปส่งที่ท้ายวังเถิด"
ตองสาละล้าละลัง ถอยออกไปแล้วโผเข้ามากอดอีก ทำอะไรไม่ถูก
เสียงตีกังสดาลตี 3 ที
ตองสาสะดุ้งสุดตัว
"เราไปกันเถิด"
ตองสาว้าวุ่น แล้วโถมตัวเข้ากอดมังฉงายร้องไห้ออกมาอย่างต็มเสียง มังฉงายสีหน้างง ๆ
"ข้าพเจ้ามีเรื่องสารภาพ"
มังฉงายหยุดชะงักฟัง
พวกหงสาวดีทั้งหมดยังคงซุ่มอยู่ที่เดิม ทุกคนไม่มีใครพูด ต่างจ้องเขม็งไปที่ทางออก
มังฉงายดึงตองสาตรงไปเปิดประตู นางพยายามฉุดไว้
"หลีกไป...ข้าบอกให้หลีกไปตองสา ข้าจะต้องออกไปพบมัน จะได้รู้ดีรู้ชั่วเสียในคืนนี้"
"ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านเสียเลือด จึงบอกความจริง ทำไมท่านไม่ฟังข้าพเจ้าเลย เชื่อข้าพเจ้าเถิด ขอหลบอยู่ในห้องนี้ก่อน"
"จะให้ข้าพเจ้าซุกแอบอยู่หลังสตรีข้าพเจ้ายินดีตาย...หลีกไป"
เขากระชากนางเหวี่ยงกระเด็นแล้วเปิดประตูออกไป นางลุกได้วิ่งตามไป
ตองสาวิ่งมาหาทหารคนหนึ่งที่นั่งหลับๆตื่นๆอยู่
"ข้ามีเรื่องด่วนจากพระราชธิดาให้ไปวัดกุโสดอ...เดี๋ยวนี้"
ทหารคนนั้นตกใจ รีบลุกขึ้นวิ่งไปเตรียมม้า
ตองสานั่งม้าไปกับนายทหารม้า...ควบไปอย่างรวดเร็ว นางวิตกอย่างมากกลัวไม่ทันการ
มังฉงายท่าทางเอาเรื่อง เดินลัดเลาะป่ามาคนเดียว ไม่มีเสื้อใส่ ร่างกายท่อนบนเห็นเพียงกลักงาห้อยคอเพียงสิ่งเดียว
พุ่มไม้หลังวังตองอู มังฉงายเดินมาหยุดตรงลานกว้าง มองไปรอบๆอย่างโกรธแค้น
"กูมาแล้วไอ้หงสาขี้ขลาด คิดจะลอบกัดกูรึ แน่จริงก็ออกมาสู้กันเห็นๆซิวะ"
ไขลูเดินออกมาจากพุ่มไม้ท่าทางหยิ่งผยอง
"คืนนี้หัวมึงไม่ได้ติดตัวกลับหงสาแน่ มึงใส่ร้ายกูจนต้องพเนจรเข้าป่าหนหนึ่ง นี่ยังลอบมากัดกูอีก มาเลย เข้ามา"
ไขลูยังยืนยิ้ม สักครู่ทหารหงสากับเพื่อนค่อยๆโผล่ออกมาจากที่มืด มีผ้าโพกหน้าค่อนข้างมิดชิด
ไขลูชัดดาบเข้าฟันมังฉงายอย่างไม่รีรอ
นายทหารวังควบม้ามาส่งตองสาที่ลานวัด จาเลงกะโบเดินออกมาจากเรือนพักนึกว่า เป็นมังฉงาย ตองสาวิ่งเข้าไปหา
"เร็วเข้าท่าน เร็วเข้า จะเด็ดแย่แล้ว"
"ใครคือจะเด็ด"
"ก็...คนที่ข้ามาตามเมื่อเย็นนี้ไง ท่านเป็นเพื่อนจะเด็ดไม่ใช่หรือ เร็วเข้า ขืนช้าจะเด็ดอาจตาย"
จาเลงกะโบยังยืนงง ไม่ได้รีบอย่างที่ตองสาต้องการ สีอ่องกับเนงบาออกมา
พุ่มไม้หลังวังตองอู มังฉงายได้ฆ่าทหารหงสาตายไป 2 คน การถูกรุมทำให้กำลังมังฉงายลดลงอย่างมาก มีหลายครั้งที่เกือบเอาตัวไม่รอด และเกือบจะถูกอาวุธของไขลู
พุ่มไม้หลังวังตองอู ไขลูตกเป็นรองบ้าง ทหารหงสาคนหนึ่งจะเข้าฟันมังฉงายด้านหลัง เนงบาเข้ากันแล้วฆ่าคนผู้นั้นตาย เนงบาชอบใจ มังฉงายรู้ซึ้งน้ำใจเนงบามาก ทหารวังกลุ่มใหญ่ควบม้าวิ่งเข้ามา
"อย่าอยู่เลยพวกเรา....ทหารแห่มากันเต็มเลย" สีอ่องบอก
สีอ่องวิ่งนำขึ้นม้าก่อนใคร จาเลงกะโบกันมังฉงายขึ้นม้า เนงบายังไม่ยอมกลับ
จาเลงกะโบสั่ง
"เนงบา...กลับ ขึ้นม้าเร็ว"
ไขลูพลิกแผนตะโกนลั่น
"ช่วยด้วย...ช่วยเราด้วย เราโดนลอบสังหาร พวกมันสังหารคนของเราตาย ตามไปจับมัน มันหนีไปทางโน้น"
ทหารวังไม่รู้ความจริงรีบควบม้าตามพวกมังฉงายไป
ในกุฏิ วัดสุโสดอ มหาเถรสังสินธูโกรธจนตัวสั่นเมื่อฟังเรื่องหมดแล้ว ทุกคนนั่งหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงหน้า กันทิมานั่งฟังอยู่ห่างๆที่นอกชาน
"มัวพะวงเรื่องอิสตรี ไม่ได้รู้จักรักตัวเอง เราสิ้นหนทางที่จะช่วยเจ้าแล้ว เตรียมตัวรับอาญาก็แล้วกัน"
สีอ่องตกใจ กระวนกระวายมากกว่าเพื่อน มังฉงายเงยหน้า น้ำตาอาบแก้ม
"อันตัวข้าพเจ้านั้นไม่ได้อาลัยในชีวิตแล้ว เมื่อผิดก็ยินดีรับโทษ แต่เพื่อนข้าพเจ้าเขาไม่รู้เห็นอันใดเลย"
"ข้าเป็นแต่เสียดายแทนตะคะญีที่ต้องเสียทั้งลูกและศิษย์ฝีมือดีไปพร้อมๆกันถึงสามคน ข้าผิดเอง ไม่ควรส่งเจ้าไปให้ตะคะญีเลย รึเจ้าคิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนช่วยเจ้าได้ แจ้งข้ามาซิ ลางทีพระแก่ๆอย่างข้าจะยอมให้ผู้หญิงมาบังเจ้าไว้"
มังฉงายหันมาหาพี่ร่วมสำนักทั้งสาม
"ความกรุณาเยี่ยงมิตรแท้ของพี่ท่านทั้งสาม ข้าพเจ้าแจ้งแก่ใจหมดสิ้นแล้ว เสียดายแต่ว่าไม่อาจทดแทนคุณได้ในชาตินี้ ขอพี่ท่านทั้งสามอภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย"
มังฉงายก้มลงกราบ
จาเลงกะโบบอก
"เราให้สัตย์แก่พ่อแล้วว่า จะรักเจ้าดุจน้องในไส้"
"ไอ้พวกหงสามันต้องการล้างตองอู เราก็จะทำให้มันรู้ว่าคนตองอูไม่ได้กลัวตาย" เนงบาว่า"เราไม่มีวันทิ้งกัน...แต่พระคุณเจ้าต้องเข้าใจนะว่า มังฉงายถูกพวกมันหลอกไปสังหาร ถ้าไม่สู้จะทำประการใดได้" สีอ่องบอก
มหาเถรมังสินธูนิ่งเงียบไม่อาจตอบสีอ่องได้
2. หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ประพันธ์โดย : โชติ แพร่พันธุ์
หรือเจ้าของนามปากกา “ยาขอบ”
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ ขอบพระคุณครับ
โฆษณา