17 เม.ย. 2020 เวลา 11:30 • ปรัชญา
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 4
ลานวัดกุโสดอ เช้าวันต่อมา ตองหวุ่นญีเดินนำทหารเข้ามาเต็มลานวัด แล้วยกมือให้สัญญาณหยุด
"พวกเจ้ารออยู่ที่นี้"
ตองหวุ่นญีเดินขึ้นกุฏิไปนั่งอยู่กลางห้องต่อหน้ามหาเถรมังสินธู
"ข้าพเจ้าจำต้องนำคนทั้งสี่ไปจองจำไว้ก่อน หาไม่เราอาจจะต้องขัดแย้งกับหงสา ซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ เพราะเหตุนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว"
"ข้าเองก็เห็นจะวางมือทางโลกจริงๆเสียที เลี้ยงคนไปก็ไม่เป็นคุณ รีบๆเอาตัวมันไปให้พ้นวัดข้าเสียที"
ตองหวุ่นญีก้มกราบ
"เดี๋ยวก่อนท่านแม่ทัพ"
มังตรายืนขวางประตูอยู่
การฆ่าทหารหงสาของราชฑูตในเขตพระราชฐาน เป็นเรื่องใหญ่มาก ย่อมรู้ถึงพระกรรณ และมังตราย่อมรู้อยู่แล้วว่า จะเด็ดต้องมาอยู่กับพระอาจารย์กุโสดอ จึงเสด็จตามตองหวุ่นญีมา
"การลอบสังหารทหารหงสาเราเชื่อว่าท่านไขลูเป็นผู้วางแผนเป็นแน่ เหมือนคราวพระธำมรงค์พระอนุชาสอพินยาหาย ใยเราจะยอมเสียคนตองอูเพื่อกลลวงของพวกหงสาเล่า เราได้กราบบังคมทูลสมเด็จพ่อหมดทุกอย่างแล้ว ท่านให้เราตามมาเจรจากับท่านแม่ทัพตองหวุ่นญี และพระอาจารย์"
ทุกคนมองหน้ามังตราอย่างสงสัย
มังตราประทับนั่งเสมอมหาเถรมังสินธู มังฉงายและคนอื่นๆหมอบเฝ้าอยู่กับพื้น ต่าง
ก้มมองแผนที่ซึ่งเขียนขึ้นมาคร่าวๆ
"เมื่อหงสาและแปรไม่ได้มีเจตนาซื่อต่อเราเช่นนี้ ใยเราจะมาประหัตประหารคนของเรา ถ้าไม่อยากให้เกิดศึกลำบากแก่ราษฎร เราต้องยกพลไปชิงเมืองหงสาวดีก่อน ท่านตองหวุ่นญีท่านเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งตองอู ท่านเห็นแผนเป็นเยี่ยงไร"
ตองหวุ่นญีบอก
"การจะยกพลไปตีหงสาวดีเลยนั้น เรายังมีแปรที่เป็นพระประยูรญาติข้างหงสา และมีแคว้นติดตองอู ข้าพเจ้าเกรงว่าหงสาวดีคงขอให้แปรช่วยตีกระหนาบหลัง ฉะนั้นถ้าจะให้ข้าพเจ้ากราบทูลเสนอ ข้าพเจ้าขอกำหนดตีชิงเมืองแปรเป็นเมืองแรก"
ทุกคนฟังตั้งใจ แม่ทัพตองหวุ่นญีกล่าวต่อ
"แต่ชัยภูมิเมืองแปรนั้นเป็นชัยภูมิที่ยากแก่การเข้าตี เราขาดการรู้มานาน การจะเข้าตีเมืองใดเราต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็ง เพื่อการได้เปรียบ ควรจะมีใครแอบเข้าไปตรวจสอบภูมิประเทศให้ทะลุปรุโปร่งก่อน"
มังตราเสริม
"และคนๆ นั้น ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ต้องเป็นคนเข้าใจตำราพิชัยสงครามลึกซึ้งดั่งนายทัพ"
ตองหวุ่นญีพยักหน้าอย่างหนักใจ
"ท่านตองหวุ่นญี เรากำหนดคนคนนั้นไว้ให้ท่านแล้วคือ จะเด็ด พี่เรา"
มังฉงายใจหาย มองหน้ามังตราเหมือนไม่อยากไป
"เป็นหนทางเดียวที่เราจะแก้การนี้ได้ พี่ท่านจะต้องเร่งเข้าแปรโดยเร็ว ก่อนที่คณะฑูตจะเสด็จกลับ"
"หาผู้อื่นลอบเข้าแปรแทนข้าพเจ้าเถิด พระราชบุตร"
"พี่ท่านพะวงสิ่งใด หากอยู่ที่นี่โทษประหารยังไม่ได้พิจารณา"
มังฉงายยังนิ่งไม่รับปาก พระมหาเถรมังสินธูรอคำตอบจนโมโห
"ไอ้จะเด็ด ชั่วแล้วยังไม่หาหนทางล้างด้วยความดีรึมึง"
"หาอยู่พระคุณเจ้า"
"มึ้ง แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ"
ตองหวุ่นญีถาม
"มีอะไรเป็นห่วงหรือ แม่เลาชี รึ"
มังฉงายไม่ตอบ สีหน้าสลด
"ความอาลัยนั้น เพราะตะละแม่จันทรา พี่หญิงของเราต่างหาก"
มหาเถรมังสินธูตะลึงงัน มองซ้ายมองขวาอย่างหงุดหงิด กันทิมาก็รู้สึกใจหาย
"มังตราพูดอะไรอย่างนั้น"
"จันทรา พี่นางข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายกไว้ให้มีเกียรติยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงเจ้าเมืองใดมาเป็นพี่เขย นอกจากจะเด็ดพี่ท่าน เราให้สัตย์พี่ท่านดังนี้ พี่ท่านหมดกังวลหรือยัง"
มังฉงายมองมังตราอย่างสำนึกในน้ำใจ
"จะเด็ดเอย ตายแล้วเกิด เจ้าจะไม่พบน้ำใจเยี่ยงพระราชบุตรมังตราอีกแล้ว ชอบที่จะกราบบาทมังตราไว้ แล้วถวายชีวิตแด่พระองค์เสีย"
มังฉงายกราบลงแทบเท้า มังตรากอดมังฉงายแรงๆ
"หากการกลับเป็นเยี่ยงนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอตัวพี่ร่วมสาบานทั้งสามนี้ไปแปรด้วย เพื่อจะได้ช่วยเหลือกันต่อไป"
กระเหรี่ยงทั้ง 3 คน กราบลงเหมือนกัน กันทิมางงว่า ทำไมไม่ให้ไปเมืองแปรด้วย
มังฉงายกับมังตราควบม้ามากับจาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง และทหารองค์รักษ์ เมื่อมาถึงเนินเขาชายแดนมองลงไปข้างล่างเห็นขบวนรถม้าคันหนึ่งวิ่งมา ทั้งหมดหยุด
"นั่นรถม้าผู้ใด"
มังตรายิ้มมีเลศนัยบอก
"เป็นผู้ที่ท่านอยากลา"
มังฉงายตาเป็นประกายรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร จึงรีบชักม้าควบลงไป คนอื่นๆยืนม้ารอ มังฉงายควบม้ามาหยุด แล้วลงจูงเข้าไปหารถม้าด้วยใจระทึก นันทวดีเปิดม่านออกมา มังฉงายหยุดเดินทันที
นันทวดีถือพิณลงมาส่งให้ มังฉงายแปลกใจที่เดาผิด สีหน้าของนางนั้นตัดใจแล้ว แต่แววตานั้นเศร้านัก
"ข้านำพิณมาคืนท่าน คิดว่ายามท่านอยู่แปรคงได้ใช้มัน แปรนั้นถึงจะเป็นเมืองที่ต้องเอาการศึก แต่โดยวิสัยแล้วเป็นคนอ่อนโยน รักการดนตรีเป็นที่ยิ่ง การจะเข้าเฝ้าพระเจ้านรบดีแห่งแปรได้นั้น ท่านจะต้องเล่นพิณนี้ได้ต้องพระราชหฤทัย"
นันทวดีส่งพิณให้ มังฉงายรับแล้วเหลือบมองไปในรถม้า นันทวดีมองตาม
"ตะละแม่พี่นางเสด็จมาการนี้ด้วย"
มังฉงายรู้สึกตื่นเต้น เดินตามนันทวดีไปเหมือนต้องมนต์ นางเปิดม่านให้แล้วเลี่ยงออกไปยืนอยู่ห่างๆ
ตะละแม่จันทรานั่งนิ่งมองมังฉงายไม่วางตา เขาไม่หลบสายตาคู่นั้น แต่เหมือนมีก้อนแข็งๆขึ้นมาจุกที่คอพูดไม่ออก
"ข้าพเจ้าได้แต่สดับฟังข่าวพี่ท่าน มีการใดที่ไม่ต้องวิสัย ก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนา ด้วยเป็นหญิงไม่อาจหาญวิ่งออกจากวังไปช่วยพี่ท่านได้ และเดี๋ยวนี้พี่ท่านจำต้องจากไปแดนไกล จึงตัดสินใจหลบออกมาเพียงเพื่อจะขอให้พี่ท่านรู้ว่า ยังคอยอยู่เสมอ"
มังฉงายกลับยิ่งพูดไม่ออก ได้แต่หยิบกลักงาที่แขวนคออยู่ขึ้นมา
"สิ่งเดียวที่พี่อยากจะบอกน้องท่าน กลักงานี่จะไม่ห่างอกพี่แม้ชั่วลมหายใจเดียว พี่ขอฝากแม่นางกันทิมา บุตรตรีของท่านครูตะคะญี ไปเป็น ข้าฯ รับใช้น้องท่านตามเห็นจะสมควร ตัวข้าพเจ้านี้เหมือนคนอกตัญญู ไม่มีโอกาสได้ทดแทนคุณแม่เลาชี ขอน้องท่านช่วยดูแลท่านแม่แทนข้าพเจ้าด้วย"
จันทรายิ้มให้ทั้งน้ำตา
"พี่ท่านไปเถอะ จะได้ไม่เสียการ"
"การนี้พี่ไปเพื่อตองอู แต่จะกลับมาเพื่อตะละแม่ยอดดวงใจ"
มังฉงายตัดสินใจหันหลังกลับทันทีที่พูดจบ โดดขึ้นม้าแล้วควบออกไป จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง ควบตาม มังตรายืนม้ามองตามอย่างชื่นชม จันทรากับนันทวดีมองอาลัย คนหนึ่งโหยหา คนหนึ่งตัดใจ
มังฉงายและพวกควบม้าข้ามขุนเขาไปจนเกือบลับตา
วันใหม่ เวลากลางคืน พระเจ้าสิริชัยยะสุระทรงมีพระอาการเจ็บพระหทัยอย่างรุนแรง ทรงดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะเริ่มเพ้อ หมอหลวงรีบลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียเข้ามาเฝ้าดูพระอาการ พระราชเทวีบรรทมอยู่ใกล้ๆสะดุ้งตื่นบรรทม รีบลุกมาประคองด้วยความตกใจ
เวลาต่อมา ณ เมืองแปร จะเด็ดและสหายอีกสามคนแฝงตัวเข้าเมืองแปรได้เดินทางมาถึงเมืองแปรและแปลงเป็นขอทานเล่นพิณส่วนคนที่เหลือให้ไปแฝงตัวเป็นคนคุมช้าง
เวลาต่อมาจะเด็ดได้ถูกนำตัวเข้าไปเล่นพิณในวัง เพราะว่าเสียงพิณที่จะเด็ดหรือมังฉงายได้บรรเลงไปนั้น ดันไปถูกอกถูกใจข้าหลวงในวังค์ของเมืองแปรเข้า
ชาวบ้านแขวงใต้ เมืองแปร ทั้งลูกเล็กเด็กแดงต่างนั่งดูมังฉงายเล่นพิณกันอย่างตื่นเต้นชอบใจ คนอื่นๆ ยืนแอบมองอยู่ห่างๆ เสียงพิณนั้นให้อารมณ์เคลิบเคลิ้มยิ่ง สักครู่.....หัวหน้าหมู่บ้านพามองออนเข้ามาดู มองออนยืนฟังดนตรีอย่างพอใจ
ตัดมาที่เมืองตองอู
ภายในห้องบรรทม เวลากลางวัน ทุกคนนั่งล้อมดูหมอหลวงตรวจพระอาการจับชีพจรพระเจ้าสิริชัยยะสุระอยู่ที่แท่นบรรทม หมอหลวงมีสีหน้ากังวลมาก ขยับออกมาทรุดลงใกล้ๆพระราชเทวี
"เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ"
"พระอัสสาสะพระปัสสาสะ (ลมหายใจเข้าออก) อ่อนมากพระราชเทวี"
พระเจ้าอยู่หัวพยายามจะยกมือเรียกมังตราที่รีบลุกไปคุกเข่าข้างพระแท่น
"การศึกยั...ง กำลัง จะ...เริ่ม เจ้า...ต้องรักษาตองอู...ไว้"
มังตราพยายามกลั้นน้ำพระเนตร
"อย่าตรัสเช่นนั้น สมเด็จพ่อทรงไม่เป็นอะไร"
"กษัตริย์...ไม่...อ่อนแอ"
"อย่ารับสั่งเช่นนั้น กษัตริย์คือสมเด็จพ่อพระองค์เดียว"
มังตราพยายามกลั้นน้ำพระเนตรอย่างที่สุด
ขณะที่สอพินยา ไขลู รานอง นั่งดื่มกันอยู่กลางห้องท่าทางเคร่งเครียด
สอพินยาบอก
"ป่านนี้ เจ้าจะเด็ดมันคงบอกความจริงให้พวกมันฟังหมดแล้ว พวกตองอูถึงไม่คิดจับมันมาส่งเรา"
"แต่การที่เรานิ่งเฉยก็เท่ากับเราปล่อยให้ตองอูหยามหน้า ซึ่งเป็นเรื่องมิบังควร" ไขลูว่า
"พอเถอะท่านไขลู การล้างแค้นส่วนตัวในเพลานี้จะยิ่งเลยเถิด ทำให้เสียการไปกันใหญ่ เรื่องมันเงียบเช่นนี้ข้าพเจ้าว่าดีแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่า เราควรได้เวลากลับบ้านกลับเมืองกันเสียที" รานองบอก
"แต่ข้าพเจ้าอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยท่านอา" สอพินยาบอก
"การต่างๆในตองอูเราก็เห็นสิ้นแล้ว ผังเมืองตองอูเราก็มีหมดแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ตองอูอีกต่อไป" รานองบอก
"ข้าพเจ้าว่าสองสามวันมานี่มันมีอะไรแปลกๆ เหล่าหมู่ข้าราชการดูสงบปากสงบคำมาก ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจว่าพระเจ้ามหาสิริชัยยะสุระน่าจะมีพระอาการทรุดลงเป็นแน่" ไขลูว่า
สอพินยาบอก
"เราน่าจะอยู่ให้เห็นว่าพระเจ้าตองอูสิ้นพระชนม์ต่อหน้าเรานะท่านอา"
"สตรีที่หงสาวดีมีให้หลานท่านเลือกมากมาย อย่าเสียเวลาอยู่ที่ตองอูนี่เลย เรากลับไปวางแผนรับศึกเถิด หลานท่านอย่าลืมว่า ด้านเหนือยังมีเมืองอังวะอีกเมืองหนึ่งที่ต้องการขยายดินแดนลงสู่ทะเล ถ้าพระเจ้ามหาสิริชัยยะสุระสิ้นพระชนม์วันใด พระเจ้าเมืองอังวะคงยกทัพลงมาตีตองอูทันทีแน่ เราควรรีบกลับก่อนพระเจ้าตองอูสิ้น เพราะอีกไม่นานแผ่นดินพุกามคงร้อนเป็นไฟอีกครั้งเป็นแน่" รานองว่า
สอพินยาเหมือนรู้สึกขัดใจ แต่ก็ไม่มีเหตุผลจะดื้อรั้น รานองจึงต้องเงียบไป
ทะกยอดิน เดินขึ้นมาบนเรือนอย่างเร่งรีบ สีหน้าตื่นตระหนก
วันใหม่ เวลากลางวัน บริเวณพลับพลาอุทยาน เมืองแปรนางรำรามัญกำลังร่ายรำอย่างสวยงามอยู่กลางลาน...ที่จุดโคมประดับอย่างสวยงาม เหล่าข้าราชบริพารดื่มกินอย่างสนุกสนาน ที่ประทับพระเจ้านรบดีกับพระอัครมเหสีที่ทอดพระเนตรอยู่ เบื้องหลังเป็นฉนวนผ้ากั้นไว้เห็นเงาของ กุสุมา อเทตยา และเหล่านางใน
ตะละแม่กุสุมาท่าทางไม่ได้สนใจอะไรนัก สักครู่การแสดงสิ้นสุดลง เหล่านางรำแยกออกไป
มองออนบอก
"ลำดับต่อไป ข้าพเจ้าขอพระบรมราชานุญาตเบิกตัวผู้บรรเลงพิณ13 สาย สุดยอดฝีมือจากแขวงใต้ที่ได้บรรจงคัดสรรมาอย่างดี ถวายการบรรเลงเพื่อเป็นที่พระเกษมสำราญพระเจ้าข้า"
มังฉงายนั่งอยู่กลางลาน เริ่มบรรเลงพิณ คนอื่นๆหยุดพูดคุยหันมาตั้งใจฟัง หลังฉนวนผ้ากั้นนั้นเห็นเงากุสุมาค่อยๆหันมาฟังอย่างตั้งใจ อเทตยาพยายามขยับตัวจะแง้มฉนวนมอง กุสุมาตีไหล่ให้สำรวม อเทตยาหันไปซุบซิบกับกุสุมา โชอั๋วพยามยามมองมังฉงาย ขณะที่อเทตยาชะเง้อมองอย่างหลงใหล
"ชายผู้นี้เป็นใครกัน รูปงามองอาจเกินจะเป็นชาวป่าได้ เล่นพิณจับใจน้องเหลือเกิน"
"สำรวมกริยาไว้อเทตยา ชาวแคว้นจะตำหนิได้" กุสุมาบอก
"น้องจะต้องรู้จักชายผู้นี้ให้ได้"
ปะขันหวุ่นญีเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง ตรงไปถวายรายงานกับพระเจ้านรบดี ทรงตกพระทัย แล้วพยักพักตร์ให้ยกเลิกการสำราญ ปะขันหวุ่นญี เดินออกมายืนเด่นกลางลานประกาศให้ทุกคนรับรู้
"พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้งดการพระสำราญลงเพียงแค่นี้ เนื่องด้วยมีพระราชกรณียกิจเร่งด่วน บัดนี้...พระมหาสิริชัยยะสุระแห่งตองอูสิ้นพระชนม์แล้ว มังตราราชบุตรได้ขึ้นเสวยเศวตรฉัตรแทน จำต้องเร่งเสด็จประชุมคณะเสนาบดีเป็นการพิเศษ จึงขอยุติให้ทุกคนเข้าเฝ้าเพียงเท่านี้"
ทุกคนต่างพากันก้มกราบ... มังฉงายนั่งตกตะลึง พยายามเก็บความตื่นเต้นจนมือที่ดีดสายพิณอยู่สั่นระริก
ยอดหน้าผาสูงมังฉงายนั่งพนมมือหันหน้าไปทางเมืองตองอู เห็นท้องฟ้าแดงฉาน น้ำตานองอาบแก้ม
"ข้าพเจ้าขอถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงชุบเลี้ยงข้าพเจ้ากับแม่ให้มีความสุขใต้เบื้องพระบารมีอย่างดีที่สุด และขอสาบานว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ และขอปกป้องรับใช้แคว้นตองอูด้วยชีวิต"
มังฉงายถวายบังคมไปยังเมืองตองอู
ห้องสรงในตำหนักกุสุมา มีอ่างน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง ดูโอ่โถง ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว สมเป็นห้องพระราชธิดาเมืองแปร มีม่านบางๆแบ่งกั้นเป็นสัดส่วนหลายชั้น อเทตยานั่งคอยถวายงานกุสุมาอย่างเหม่อลอย คิดถึงมังฉงายอยู่มุมหนึ่ง
เสียงพิณดังแว่วลอยมา แล้วดังขึ้นเรื่อยๆ นางกำนัลกำลังช่วยกันปรุงเครื่องหอมและเครื่องสรงต่างๆให้กุสุมาที่นอนอยู่ในอ่างน้ำอย่างเหม่อลอยเช่นกัน
พลับพลาแขวงด่านใต้ มังฉงายนั่งอยู่กลางลานบรรเลงพิณ
อเทตยาซึ่งเป็นเด็กสาวแรกรุ่น ยังคงมีจินตนาการเพ้อฝันอยู่มาก จึงหลงใหลเสียงพิณและรูปลักษณ์ของมังฉงายจนทนไม่ไหว รีบขยับมาหากุสุมาที่ยังนอนแช่น้ำอย่างไม่รีบร้อน
"พี่นางว่าผู้เล่นพิณถวายคืนนั้นเป็นเช่นไร"
กุสุมาทำไก๋
"ผู้ใด"
"ก็ผู้เล่นถวายในอุทยานคืนนั้นนะซิ แล้วก็บรรเลงยังไม่ทันจบ ก็มีราชกิจด่วนขึ้น"
"พี่ไม่ทันตั้งใจฟัง"
"พี่นางกุสุมาลวงน้องแล้ว น้องเห็นพี่นางตั้งใจฟังเหมือนต้องมนต์สะกด แล้วตั้งแต่คืนนั้น พี่นางก็เปลี่ยนไป ไม่ทรงเล่นสนุกกับน้องเหมือนเคย"
"พี่มัวแต่คิดเป็นห่วงสมเด็จพ่อเรื่องราชกิจการเมืองต่างหาก"
"น้องร่วมเล่นอยู่ใกล้ชิดพี่นางมาแต่น้อย พระนิสัยพี่นางน้องรู้สิ้น"
กุสุมาอายมาก
"เจ้ารู้อะไร ถ้ารู้ดีลองเอ่ยมาซิอเทตยา"
อเทตยายิ้มเจ้าเล่ห์
"เพราะเสียงพิณของหนุ่มแขวงใต้ผู้นั้นดอก…น้องรู้"
กุสุมาชะงักหันมามองตาขวาง
"เจ้าโตแล้วนะอเทตยา อย่าเจรจาเล่นลิ้นโดยไม่มีเหตุ พี่จะขึ้นจากสรงแล้ว"
อเทตยาสั่งให้นางกำนัลเอาผ้ากางรับกุสุมาให้ขึ้นจากน้ำ ตะละแม่เสอุบายขึ้นจากน้ำ ไม่อยากให้อเทตยารู้ความในใจ
เงาพระวรกายของกุสุมาทาบกับผ้าขาว งดงามดั่งรูปปฎิมาปั้น นางกำนัลรีบเอาผ้าห่อตัวกุสุมาไว้เมื่อพ้นน้ำแล้ว พามาบรรจงเช็ดตัวที่มุมหนึ่ง อเทตยายังตามมารบเร้า
"งั้นพี่นางสัญญานะว่า จะไม่มีใจกับนักเล่นพิณผู้นั้น"
"พี่ไม่ใช่ผู้นิยมการเพ้อละเมอฝันเช่นน้องท่านนะ อเทตยา"
"งั้นพี่นางสัญญามาซิ สัญญากับน้องซิว่าจะไม่มีใจกับนักเล่นพิณผู้นั้น"
"ได้ๆ พี่สัญญาก็ได้"
อเทตยายิ้มพอใจ
"ค่ำนี้…น้องได้ทูลให้พระเจ้าป้าใช้มหาดเล็กไปตามนักบรรเลงพิณผู้นั้นมาบรรเลงพิณให้พระเจ้าลุงฟัง พี่นางต้องไม่สนใจนะ"
กุสุมาหันมามองอเทตยาอย่างเสียรู้
"น้องได้เพ็ดทูลพระเจ้าป้าว่า พระพี่นางโปรดจะให้นักบรรเลงพิณผู้นั้นมาถวายการสอนบรรเลงพิณ พระเจ้าป้าได้โปรดอนุญาตแล้ว ทีนี้ล่ะน้องจะขอให้เขามาสอนพิณให้พระพี่นางทุกวัน จากนั้น...เขากับน้องก็จะได้ไม่ต้องห่างกายกันอีก นับเป็นบุพเพสันนิวาสเมื่อครั้งชาติปางก่อนเป็นแน่แท้ แต่พระพี่นางสัญญากับน้องไว้แล้วนะว่า จะไม่มีใจกับผู้บรรเลงพิณรูปงานคนนั้น"
เสียงพิณดังแว่วขึ้นอีกครั้ง
ตัดมาจากเมืองตองอู
ในท้องพระโรงตองอู พราหมณ์นำมหามงกุฎในพานทองขึ้นถวาย มังตราหยิบขึ้นสวมศีรษะ ทุกคนถวายบังคม พระราชเทวีอยู่ในชุดออกบวชถือศีลหลังพระสวามีสวรรคต เสียงประโคม... ทุกคนกล่าว
"ขอพระเจ้าอยู่หัวตะเบงชะเวตี้แห่งแคว้นตองอู ทรงเจริญสวัสดิ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ปกครองประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุข แผ่อำนาจยิ่งใหญ่ไพศาลปกคลุมไปทั่วลุ่มน้ำอิรวดีพุกามประเทศเถิด... พระเจ้าข้า"
ห้องโถงตำหนัก จันทรานั่งร้อยมาลัยดอกไม้ที่ชอบอยู่ กันทิมาหมอบเฝ้าอยู่ที่ประตู สักครู่ นางข้าหลวงผู้หนึ่งลุกรี้ลุกรนเข้ามาหมอบถวายรายงาน
"แม่นางนันทวดีมาขอเข้าเฝ้าพระพี่นาง"
นางข้าหลวงยังถวายรายงานไม่จบ นันทวดีก็เดินเข้ามาหมอบเฝ้าอยู่ข้างๆจันทรา
"อภัยข้าพเจ้าด้วยที่มาเฝ้ายามวิกาล ข้าพเจ้ามีเรื่องร้อนใจเหลือเกินพระพี่นาง"
จันทรายิ้มเหมือนรู้ใจ
"เมื่อเย็นนี้ พระเจ้าอยู่หัวมังตรา ได้มาเฝ้าพระราชเทวี เพื่อแจ้งการอภิเษกด้วยท่านแล้ว"
นันทวดีก้มหน้าหลบความเสียใจ
"ข้าพเจ้าดีใจด้วยที่ความรักของท่านจะได้สมหวัง"
จันทราเชยหน้านันทวดีขึ้นมองอย่างเอ็นดู
"ตำแหน่งพระมเหสีแห่งตองอูช่างสมกับน้องท่านแท้ เดือนห้านี้แล้วนะ ท่านกับพระเจ้าอยู่หัวมังตราก็จะได้อภิเษกสมรสกัน"
กันทิมาแอบเงยมอง เห็นนันทวดีก้มหน้ารับเหมือนยอมจำนน แต่จันทรานั้นเศร้านัก
"ข้าพเจ้าเชื่อว่า ถ้าจะเด็ดรู้ก็คงดีใจไม่แพ้ข้าพเจ้าเช่นกัน น้องท่านดูแลตัวให้ดีเถิด เมื่อถึงวันอภิเษกข้าพเจ้าอยากให้น้องท่านเป็นราชินีตองอูที่งามที่สุด การรับสนองพระเจ้าอยู่หัวมังตราก็ดุจได้รับใช้แผ่นดินตองอูเช่นกัน"
นันทวดีบอก
"ข้าพเจ้าซาบซึ้งน้ำพระทัยพระพี่นางยิ่งนัก พระพี่นางช่างกล้าหาญ...ไม่หวั่นไหว แม้รู้ว่าผู้ที่พระพี่นางคอยนั้นตกอยู่ในห้วงอันตราย"
"ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงอิสตรีผู้หนึ่ง อ่อนไหวและสะเทือนใจง่าย แต่หน้าที่ของข้าพเจ้ามอบให้แผ่นดินตองอูไปแล้ว เมื่อเกิดมาใต้เศวตรฉัตร ไฉนจะมาคร่ำครวญกับสิ่งที่ยกเลิกไม่ได้ แม้ข้าพเจ้าจะเป็นห่วงจะเด็ดพี่ท่านเพียงใด หน้าที่ของข้าพเจ้าก็คือ การคอยอย่างสงบ"
นันทวดีเริ่มรู้สึกสงสารจันทรายิ่งกว่าตัวเอง
"ข้าพเจ้าจะขอจำคำของพระพี่นางเป็นแนวทางปฎิบัติตลอดไป ข้าพเจ้าไม่น่านำเรื่องไร้เหตุผลมากวนพระทัยพระพี่นางเลย ขอพระพี่นางอภัยข้าพเจ้าเถิด ท่านจะเด็ดจะต้องปลอดภัย เพราะท่านจะเด็ดเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบ คงเอาตัวรอดกลับมาหาพระพี่นางได้เป็นแน่แท้ และยังมีนักดาบสำนักตะคะญีไปเป็นผู้ช่วยอีก คงแคล้วคลาดทุกอย่าง"
กันทิมาก้มหน้านิ่ง เธอได้ยินทุกคำ จันทราประทับนิ่ง ในมือคงกำมาลัยที่ร้อยอยู่ไว้แน่น ด้วยความคิดถึงจะเด็ด
วันใหม่กุสุมานั่งอยู่ในพลับพลา มีม่านบางๆที่อยู่ตามเสาถูกลมพัดปลิวไปมา อเทตยากิริยาระริกระรื่นเดินนำมองออนกับมังฉงายถือพิณเข้ามาในอุทยานฝ่ายใน นางข้าหลวงกับอเทตยาช่วยกันรวบม่านผูกให้เข้าที่
กุสุมานั่งมองนิ่ง มังฉงายทรุดลงนั่งห่างๆ แล้วกราบ ก่อนหยิบพิณขึ้นมา
"ข้าพเจ้าขอถวายการสอนด้วยเพลงรำพันพื้นบ้านก่อน …ตะละแม่จะเล่นตามได้ง่าย"
กุสุมามองมังฉงายอย่างไม่แน่ใจ เขาเริ่มเล่นพิณ….ตะละแม่เล่นตาม อเทตยากับนางกำนัลหันมาฟังเหมือนถูกมนต์สะกด
วันใหม่ หน้าเรือนเลาชีจันทราเดินถือดอกไม้เข้ามาหยุดมองเรือนของจะเด็ดด้วยความระลึกถึง กันทิมายืนอารักขาอยู่ห่างๆ
เสียงพิณที่มังฉงายเล่นกับกุสุมายังดังต่อเนื่อง ทั้งคู่นั่งใกล้กันมากกว่าเดิม ตะละแม่สังเกตุการเล่น เขามองตาเป็นประกาย
จันทรานั่งเหงาเหม่อมองไปไกล
มังฉงายจับมือตะละแม่สอนวิธีการใช้มือดีดสายพิณ…กุสุมารู้สึกประหม่า
จันทราคิดถึงจะเด็ดจนร้องไห้ออกมา กันทิมารีบเดินเข้าคุกเข่าอยู่ใกล้ๆแต่ไม่พูดอะไร
มังฉงายจับมือกุสุมาเล่นพิณอย่างมีความสุข
ตัดมาที่โรงช้าง
จาเลงกะโบ กับสีอ่อง เอาอาหารให้ช้างกิน...เนงบาทำความสะอาดโรงช้างอยู่ ทั้งหมดทำงานอยู่ที่โรงช้างเมืองแปร
เวลากลางคืน บริเวณลานหน้าบ้านทะกยอดิน ไขลูเดินตรวจกองสัมภาระเดินทางของสอพินยาที่ทหารกำลังจัดอยู่ ตองสาเดินลัดเลาะเข้ามา ไขลูจึงเข้าไปขวางไว้
"พรุ่งนี้พระอนุชาจะเสด็จกลับหงสาวดีใช่ไม๊ ข้าจะเข้าไปเฝ้า ขอข้าเข้าเฝ้าพระอนุชาหน่อยเถิด"
"ไม่...ไม่ต้องเข้าเฝ้า พระอนุชาทรงกริ้วที่เจ้าทำให้ไอ้จะเด็ดมันไหวตัว"
"ข้าอยากอธิบายให้พระอนุชาเข้าใจ ขอให้ข้าได้เข้าเฝ้าเถอะ"
"พระอนุชาบรรทมแล้ว พรุ่งนี้ต้องเสด็จพระราชดำเนินแต่เช้า"
ตองสาตกใจ
"แล้ว…ข้าล่ะ ไหนท่านสัญญาว่าจะพาข้าไปหงสาวดีด้วย"
"ตามข้อตกลงเจ้าต้องทำการให้สำเร็จไม่ใช่หรือ และพระอนุชาไม่เชื่อว่า เมื่อเจ้ากับไอ้จะเด็ดอยู่ในห้องนอนสองต่อสองลับตาคน เจ้าจะไม่ถูกไอ้จะเด็ดมันล่วงสวาท"
ตองสาร้องไห้โผเข้ากอดขาไขลู
"ทำไมท่านเอ่ยเช่นนี้ ท่านเป็นผู้ให้อุบายให้ข้าเป็นคนพาจะเด็ดเข้าไปแอบอยู่ในห้องของข้าเอง ขอข้าเข้าเฝ้าพระอนุชาเถิด โปรดพาข้าไปหงสาวดีด้วย อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่…. ข้ายังภักดีต่อพระอนุชา ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว อย่าทิ้งข้าไป"
ไขลูพยักหน้าให้ทหารมาเอาตัวไป ตองสาพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่สู้แรงทหารไม่ได้ ทหารลากตัวตองสาออกไปจนพ้นประตู…ไขลูมองดูอย่างไม่แยแส
รานอง และสอพินยานั่งอยู่บนรถม้าคนละขบวน สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วแยกจากกันระหว่างทางไป เมืองแปรกับหงสาวดี
ท้องพระโรงเมืองแปร รานองกราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้านรบดีแปร มีประขันหวุ่นญี และอำมาตย์แปร 4-5 คนอยู่ด้วย
"พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ยังทรงพระเยาว์ อารมณ์ร้อนวู่วาม คะนองการศึก ข้าพเจ้ามั่นใจว่า คงหาทางยกทัพเข้าประชิดเมืองแปรในเร็ววันนี้"
ปะขันหวุ่นญีบอก
"แปรเราต้องรีบหาทางร่วมมือกับหงสาวดียกทัพประชิดตองอู ชิงการได้เปรียบก่อนจะเป็นการดีแน่"
นรบดีแปรบอก
"การศึกนั้นเป็นเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้ราษฎร มีแต่ความสูญเสีย เราอยากให้ประวิงเวลาดูเหตุการณ์ให้ท่องแท้เสียก่อน ตองอูเพิ่งผลัดเปลี่ยนแผ่นดินคงยังไม่มีความพร้อมที่จะจัดทัพในเร็ววัน"
บริเวณลานซ้อมอาวุธตองอู จิสะเบงกำลังฝึกทหารซ้อมอาวุธดาบอยู่ มังตราย่างม้าเข้ามาดูกับตองหวุ่นยีผ่านกลุ่มทหารไปเรื่อยๆ
"ป่านนี้จะเด็ดพี่ท่านยังไม่ส่งข่าวมาถึงเราเลย ไม่รู้ว่ามีการติดขัดอันใดอยู่"
"ข้าพเจ้าก็กังวลอยู่เกรงจะช้าไม่ได้การ หากแปรกับหงสาวดีเตรียมการได้ก่อน เราอาจจะตกที่นั่งลำบาก เพลานี้จึงให้จิสะเบงเร่งซ้อมทหารไว้ และมีการประชุมแม่ทัพนายกองเป็นประจำ" ตองหวุ่นญีบอก
จิสะเบงที่ซ้อมทหารอยู่อย่างแข็งขัน
"จิสะเบงบุตรชายท่านถ้าเราจะให้ขึ้นมากุมกองทัพ ท่านจะว่าอย่างไร" มังตราบอก
ตองหวุ่นญีหนักใจอยู่
"ข้าพเจ้าขอกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวด้วยสัตย์จริงว่า บุตรข้าพเจ้านี้ฝีมือดาบไม่เป็นรองใคร แต่การศึกนั้นยังไม่เคยรบ เพลานี้ข้าพเจ้ากำลังสอนกลศึกให้เขาอยู่"
"เราไว้ใจท่านอา...ที่สุด เพราะท่านอานั้นร่วมรบมาแต่ครั้งสมเด็จพ่อ จะหาผู้ใดซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินตองอูเท่าไม่มีแล้ว"
"ข้อนี้ข้าพเจ้าสามารถกราบทูลได้เต็มปากว่า ตระกูลข้าพเจ้านี้ถวายชีวิตเพื่อราชวงศ์เมงกะยินโยสิ้นแล้ว"
"งั้นเราไม่กวนเวลาซ้อมทหารของท่านอากับจิสะเบงแล้ว จงสร้างกองทัพตองอูให้เข้มแข็งไว้เถิด เมื่อไหร่ที่จะเด็ดพี่ท่านส่งข่าวมา กองทัพตองอูจะมีท่านและบุตรชาย เป็นแม่ทัพบุกไปขยี้ศัตรูทั่วสุวรรณปฐพีทีเดียว"
พลับพลาอุทยานเมืองแปร กุสุมากับมังฉงายกำลังบรรเลงพิณกับวงดนตรีรามัญให้นางรำร่ายรำถวาย
พระเจ้านรบดีและพระอัครเทวี ฟังเพลงอย่างมีความสุข หลังจบการบรรเลง ทรงตบมือด้วยความพึงพอใจ
"เราขอชมเชยครูผู้สอนที่สามารถฝึกลูกหญิงกุสุมาให้เล่นกับวงได้ ในชั่วไม่กี่เพลา ต่อไปนี้เราแต่งตั้งให้เจ้าเข้ามาประจำอยู่ในวงมหรสพหลวงได้" นรบดีบอก
2
มังฉงายก้มลงกราบ อุปราชรานองและปะขันหวุ่นญีเดินเข้ามาที่ประทับ
"ข้าพเจ้ามีเรื่องด่วนจะกราบทูลขัดเพลาพระเกษมสำราญของพระองค์" รานองบอก
"ท่านอุปราชมีอะไรเร่งด่วน"
รานองมองมังฉงายที่รีบก้มลงถวายบังคมรานอง ทำให้รานองมองมังฉงายไม่ถนัด
"เพลานี้ม้าเร็วจากหงสาวดีแจ้งมาว่าพระเจ้าสการะวุฒพีได้ให้อุปราชสอพินยาเสด็จมาแปรเพื่อปรึกษาแผนการปราบปรามตองอู"
"จะเสด็จมาถึงเมื่อไหร่"
"ข้างแรมเดือนหน้านี้พระเจ้าข้า" ปะขันหวุ่นญีบอก
"แน่ใจนะว่าจะมาเรื่องราชการศึก ไม่ได้มาเพื่อพบอเทตยาพระคู่หมั้น"
อเทตยาตกใจที่จะได้เจอสอพินยา
ด้านหนึ่งของอุทยาน รานองเดินมากับปะขันหวุ่นญีโดยมีทหารอารักขาตามมา
"เราเข้าใจความรู้สึกของพระเจ้าอยู่หัวดี พระองค์เป็นผู้มีน้ำพระราชหฤทัยที่อ่อนโยน ไม่อยากให้เกิดศึก เกรงว่า ประชาราษฎร์จะยากลำบาก แต่ถ้าถูกหงสาวดีรบเร้าเยี่ยงนี้ คงเป็นที่ระคายเคืองเป็นแน่แท้" รานองบอก
ปะขันหวุ่นญีบอก
"การศึกครั้งนี้อย่างไรก็หนีไม่พ้น ต้องตัดสินพระทัยให้เด็ดขาด ถ้าพระองค์ลังเลอย่างนี้ เราจะเข้าตาจน หงสาวดีอาจจะระแวงไม่ไว้ใจแปรได้"
รานองหยุดเดินหันมามองหน้าปะขันหวุ่นญี
"ท่านอุปราชมีอะไร"
รานองถาม
"นักดนตรีที่เล่นพิณถวายพระเจ้าอยู่หัวเมื่อกี้เป็นใคร"
"นักดนตรีที่ชาวแขวงใต้ได้คัดส่งมาเล่นถวายเมื่อตอนท่านอุปราชไปราชการตองอู เห็นชาววังล่ำลือว่าเล่นพิณ16 สายได้ดั่งเทพบนสวรรค์ และเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวกำลังโปรด ท่านแปลกใจอะไร"
"เรา...คิดว่าเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน"
รานองพยายามคิด แต่นึกไม่ออก
บริเวณพลับพลาในอุทยานคงเหลือกุสุมา อเทตยา โชอั้วและนางกำนัล ตะละแม่กำลังเล่นพิณอยู่ ขณะที่อเทตยานั่งหน้างออยู่อีกมุมหนึ่ง คนเดียว
"ทำไมไม่มาฝึกด้วยกันละ อเทตยา มาเถอะ" กุสุมาบอก โชอั้วบอก
"เวลานี้แม่นางอเทตยาคงไม่มีใจแก่ผู้ใดดอก คงเฝ้าคอยพระอุปราชหงสาคู่หมั้นที่กำลังเสด็จมามากกว่า"
"อย่ามาพูดทำลายน้ำใจข้าเยี่ยงนี้นะโชอั้ว ข้าไม่อยากอภิเษกกับอุปราชสอพินยาสักหน่อย" อเทตยา
กุสุมายิ้มอย่างเอ็นดูในลูกพี่ลูกน้อง
"ทำไมล่ะ หงสาวดีเป็นพระนครใหญ่ พระอุปราชสอพินยาสามารถหาความสุขให้เจ้าได้มากมาย ทำไมถึงไม่ต้องการเสียล่ะ"
"พี่นางตรองดู อุปราชสอพินยาเป็นใคร หน้าตาเป็นเยี่ยงไรก็ไม่รู้จะอ้วนตัวดำ หัวล้าน แก่หง่ำปานใดก็ไม่เคยเห็น จะให้น้องไปอยู่ด้วยทุกวัน...แหวะ"
อเทตยาทำท่าจะอาเจียน
"เจ้าอย่าเพิ่งตำหนิท่านสอพินยาโดยยังไม่ทันเห็นตัว ท่านอาจจะไม่อัปลักษณ์อย่างที่เจ้าคิดก็ได้"
"น้องไม่ใช่คนที่จะคอยรอผลไม้หวานต้นหน้า หากได้พบผลที่ถูกใจก็อยากจะปลงใจปลิดทันที"
"น้องท่านปลงใจกับครูสอนพิณมังฉงายนั่นแน่แท้แล้วหรือ"
"พี่นางสัญญากับน้องแล้วนะว่า พี่นางไม่ได้มีจิตปฎิพัทธ์กับครูผู้นี้ ยามเรียนพิณน้องหวั่นเหลือเกินว่า พี่นางกับครูสอนจะมีจิตพิศวาสกัน"
กุสุมาหยุด พูดไม่ออกหันมาจ้องอเทตยา นางข้าหลวงพากันหยุดมอง
ห้องพักในโรงช้าง เมืองแปร เวลาเย็น มังฉงายกำลังใช้ไม้เขียนแผนผังลงพื้นทรายอยู่ จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่องในเครื่องแต่งกายทหารคชสาร เมืองแปร ยืนมุงดูอยู่
เนงบาบอก
"จุดที่เป็นปราการสำคัญก็คือตรงที่เราอยู่นี่ เพราะเป็นที่ตั้งของกองคช"
"แล้วจุดอ่อนละท่านมังฉงาย" สีอ่องถาม
"ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าไปอยู่ในเขตพระราชฐานได้ไม่กี่เพลา พอจะจับเค้าได้ว่าป้อมเมืองด้านใต้น่าจะเป็นจุดอ่อนของแปร เพราะไม่มีการวางกำลังที่เข้มแข็งระเบียบวินัยของทหารก็ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่"
"เราน่าจะแจ้งข่าวให้พระเจ้าอยู่หัวเร่งยกทัพมาเสียเดี๋ยวนี้" เนงบาว่า
"ถึงแม้น้ำใสใจจริงของพระเจ้าแปรจะเป็นคนมีเมตตา แต่ก็คิดว่าพวกแม่ทัพคงไม่ได้นิ่งเฉย ข้าพเจ้าอยากประวิงเวลาสืบให้รู้ว่า พระองค์จะแก้ศึกนี้อย่างไรให้ชัดเจนก่อน"
สีอ่องบอก
"แต่ข้ากลัวว่ายิ่งอยู่นานพวกแปรจะจับพิรุธเราได้เสียก่อนซิ"
"ข้าพเจ้าก็วิตกข้อนี้ เพราะอุปราชรานองนั้นรู้จักข้าพเจ้าอย่างดี"
เสียงเอะอะของควานช้าง และเสียงช้างร้องดังอึงคะนึง มังฉงายจะรีบเอาเท้าลบแผนผังที่ทรายทิ้ง คนอื่นรีบกระจายแยกออกไป
จาเลงกะโบรีบบอก
"น้องท่านรีบหลบไปเถอะ เดี๋ยวจะมีคนเห็น"
จาเลงกะโบเข้ามาลบแผนที่ให้ มังฉงายรีบปีนออกช่องทางหลัง
เสียง…มองออน ร้องเรียกก่อนวิ่งเข้ามา
"มะจา...มะบาโว้ย หายหัวไปไหนกันหมด เร็วเข้ามะจา เจ้าพรายทลายพิมานตกมัน"
จาเลงกะโบตกใจวิ่งนำคนอื่นๆออกไป
จาเลงกะโบ สีอ่อง เนงบา วิ่งออกมาจากเรือนพัก พลายทลายพิมานยื่นนิ่งในโรงช้าง ท่าทางเอาเรื่อง
ควาญช้างพยายามเข้าไปหาแต่ถูกทำร้ายหลายคน ทั้งสามวิ่งเข้ามากันล้อมช้างไว้ แล้วใช้วิชาหญ้าสยบไพร
จาเลงกะโบดึงหญ้าขึ้นมากำแล้วเดินไปหยุดหน้าช้าง สีอ่องชักมีดหมอออกจากเอวขึ้นจบหัว แล้วขีดลงบนพื้นดินตรงหน้าจาเลงกะโบที่เอาหญ้าขึ้นมาบริกรรมคาถา…. ช้างขยับเข้ามาถึงเส้นที่สีอ่องขีดไว้ แล้วหยุดเหมือนปาฏิหาริย์ แล้วเดินเข้าหาช้าๆ จาเลงกะโบจบหญ้าเหนือหัว
มองออนและคนทั้งหลายแทบไม่หายใจ มองนัยน์ตาไม่กระพริบ จาเลงกะโบจ้องเขม็ง พอช้างมาใกล้
จาเลงกะโบก็กระทืบเท้า แล้วตวาดเสียงดังมาก มองออนอ้าปากค้าง มองตะลึงพูดไม่ออก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในสายตาของอุปราชรานอง
อุปราชรานองนึกถึงหน้ามังฉงายที่เพิ่งเจอที่อุทยานของพระเจ้านรบดี
พลับพลาอุทยาน เมืองแปร กุสุมาหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่มีสมาธิเรียน มังฉงายสอนก็จำไม่ได้
กุสุมาถอนใจดัง "เฮ้อ"
"พระธิดา มีอะไรไม่ต้องใจหรือ"
"ครูท่านอย่าพะวงใจเลย"
"เมื่อศิษย์ไม่ตั้งใจเรียน ครูเช่นข้าพเจ้าพึงสำนึกไว้ก่อนว่า คงสอนไม่ต้องพระทัย"
มังฉงายวางพิณ เก็บใส่ถุง
"ครูท่าน"
"ข้าพเจ้าจะทูลพระเจ้าอยู่หัว ขอเลิกสอนพิณตะละแม่"
กุสุมาตกใจ
"ครูท่าน อย่าเพิ่งเลย ข้าพเจ้าจะบอกเหตุให้แจ้ง นางอเทตยาลูกแม่น้าของข้าพเจ้า เจรจาไม่ระวังปากว่า...ว่า เอ่อ... ให้ระวังตัวว่า ข้าพเจ้ากับท่านไม่ได้คิดเรียนพิณกันจริงๆ ข้าพเจ้าเกรงว่าจะเป็นทาสปาก ทำให้นางและคนอื่นๆคิดไปทางอกุศล"
"อเทตยานี่ช่างเป็นคนเขลานัก บังอาจเอาเรือนแหวนธรรมดาเช่นข้าพเจ้า มาเทียบเคียงกับเพชรล้ำค่าเช่นตะละแม่ ธิดาพระเจ้าแปร ข้าพเจ้าจักว่าเสียให้หนักให้สาสมกับที่ทำให้ขัตติยนารี นายของข้าพเจ้าระคายใจ"
"ไม่เฉพาะแค่นั้น บรรดานางข้าหลวงทั้งหลายที่ได้ฟังนางอเทตยา ก็พาลจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง"
มังฉงายพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เหมือนพูดเรื่องธรรมดาๆ แต่นัยน์ตาคม มีนัยจับจ้องที่กุสุมา
"ตะละแม่ท่านจะวิตกทำไม ใครจะว่าอย่างไร ก็อย่าใส่ใจฟังเพราะข้าพเจ้านั้นถึงจะรักตะละแม่สักแค่ไหน ก็จะรู้อดเก็บไว้เพียงในใจ แม้ถ้าความรักล้นอกเก็บไว้ไม่ได้ ก็จะถวายบังคมลากลับไปรับกรรมที่บ้านเกิด ฉะนั้น ตะละแม่นอนใจเถิด เพราะแม้ว่าใครจะพูดล้ออย่างไรก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ข้าพเจ้าขอสาบานว่า จะไม่มีวันบอกกล่าวผู้อื่น แม้แต่ตัวตะละแม่เอง….ว่าข้าพเจ้ารักตะละแม่ปานใด"
กุสุมาทั้งเหวอ ทั้งตกใจ ขวยอายเป็นที่ยิ่ง มองจ้องมังฉงายปากสั่นใจสั่น แล้วเสหยิบพิณจะดีด แต่มือเจ้ากรรมก็พัลวัน พัลเกโดนพิณล้ม มังฉงายฉวยไว้ได้ทัน
กุสุมาทำเป็นโกรธ
"ท่านเอาความไม่ควรพูดมาพูดอย่างนี้ เราพูดด้วยท่านอีกไม่ได้"
กุสุมาลุกขึ้นเข้าข้างในทันที มังฉงายมองตามด้วยสายตาพอใจ มุมหนึ่งของพลับพลา รานองแอบมองเหตุการณ์อยู่...
ท้องพระโรงฝ่ายใน เมืองแปร ตอนเย็น รานองกับปะขันหวุ่นญีเข้าเฝ้าพระเจ้านรบดีอยู่แล้ว
"ด้วยเพลานี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ผู้สำคัญตองอูได้เข้ามาอยู่ถึงในเขตพระราชฐานแปรแล้วถึง 4 คน" รานองกราบทูล
พระเจ้านรบดีตกใจ
"มันเข้ามาอยู่ถึงในวังเราเลยหรือ มันเป็นใคร ท่านแม่ทัพปะขันหวุ่นญี ปล่อยให้พวกมันเข้ามาได้อย่างไร"
"มันที่ว่านี้คือ...ครูดนตรีพระราชธิดาพระองค์ท่าน" ปะขันหวุ่นญีบอก
พระเข้านรบดีพึมพำ
"มังฉงาย"
"ส่วนอีกสามคนเป็นผู้มีศิลปศาสตร์เกี่ยวกับช้าง ประจำอยู่ที่กองช้างแปรเรา ซึ่งท่านอุปราชได้แจ้งประจักษ์แล้ว" ปะขันหวุ่นญีว่า
"แต่พระองค์อย่าเพิ่งทรงวิตก พอจะเห็นหนทางแก้ หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง" รานองบอก"จะแก้อย่างไร ในเมื่อไฟมันกำลังไหม้ขึ้นกลางบ้าน"
รานองบอก
"หาทางให้มังฉงายอภิเษกกับตะละแม่กุสุมาพระธิดา"
พระเจ้านรบดียิ่งตกใจหนัก
"เป็นหนทางเดียวที่จะผูกสมัครบุคคล ซึ่งเป็นถึงหัวใจพระเจ้าตะเบงชเวตี้ไว้ในแปร ถ้าทำให้พระราชธิดาทำตามได้ นับว่าตะละแม่กุสุมาได้เสียสละให้แผ่นดินแปรอย่างหาที่สุดไม่ได้"
"ท่านปะขันหวุ่นญี..ท่านเป็นแม่ทัพจะว่าอย่างไร"
"มังฉงายยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เลือดในกายยังแรงนัก ถ้าใช้ไม้แข็งคงไม่คิดเสียดายชีวิต" ปะขันหวุ่นญีว่า"แต่กุศโลบายนี้ควรแจ้งพระอัครเทวีให้ล่วงรู้ ในเพลาที่เหมาะสม เพราะหากพระนางไม่เห็นควรด้วย ก็จะทำให้เสียการ" รานองว่า
พระเจ้านรบดีรู้สึกหนักใจมาก
ห้องพักโรงช้างแปร ทุกคนล้อมฟังมังฉงายพูด
"พระเจ้าอยู่หัวโปรดจัดที่พักให้ข้าพเจ้าไว้ในวัง เผื่อเรียกให้ข้าพเจ้าขับเสียงพิณรับใช้ได้ตลอดเวลา"
"เพราะได้รับความสุขสบายอย่างนี้นี่เล่า เจ้าถึงถ่วงเวลาไม่ยอมกลับตองอู" สีอ่องบอก"ข้าพเจ้าถูกสอนมาว่า การจะเข้าทำศึกกับเมืองใด ถ้าไม่รู้นิสัยแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม ก็เท่ากับเราหลับตาถือที่ตำข้าวสู้ พระเจ้านรบดีหลงกลข้าครั้งนี้ พี่ท่านน่าจะยินดี"
สีอ่องอึกอัก เถียงไม่ออก
"แต่ข้าหวังว่าคงไม่ใช่หาโอกาสได้ใกล้ชิดตะละแม่เมืองแปรหรอกนะ เจ้าฉกรรจ์นัก ข้ารู้"
มังฉงายหลบตาอย่างไม่รู้ตัว จาเลงกะโบสังเกตเห็นพิรุธนั้น
เวลากลางคืน ภายนอกบ้านพักมังฉงาย เมืองแปร อเทตยาถือดอกซ่อนกลิ่นมาทำลับๆล่อๆอยู่หน้าห้องที่มังฉงายพักอยู่
ภายในห้องพัก มังฉงายนอนก่ายหน้าผาก กลุ้มใจ ทุรนทุราย ที่วันนี้ไม่ได้เห็นหน้ากุสุมา จนตัดสินใจลุกออกไปอย่างรวดเร็ว
มังฉงายเปิดประตูออกอย่างแรง เผชิญหน้ากับอเทตยาอย่างไม่รู้ตัว อเทตยาตกใจ รีบทำหน้าบึ้ง แก้ขวยเขิน
"ทำไมยังไม่นอน"
มังฉงายมองจ้องหน้า เก็บความรู้สึก
"ตะละแม่หลานหลวง"
"เราถามท่านว่าเวลาล่วงเข้ายามนี้ ทำไมไม่หลับไม่นอน ยังจะมาจ้องหน้า"
มังฉงายยิ้มๆ ขำๆ อเทตยามองหน้าบึ้ง ถาม
"มีอะไรน่าขัน"
"คราวหน้าถ้าจะขู่ให้กลัว ก็อย่าถือดอกไม้นี้มา"
"ทำไม"
"ดอกไม้นี้ชื่อว่าซ่อนชู้ ถ้ามอบให้ชายใดถือว่ายื่นไมตรี"
"ดอกไม้ยังอยู่ในมือเรา จะมาตีความว่าให้ท่านได้อย่างไร"
มังฉงายเดินเข้าใกล้ ดึงดอกไม้ออกมาจากมือ อเทตยาตกใจ ทำท่าเอาคืน มังฉงายกอดไว้แนบอก อเทตยาจึงไม่กล้าเข้าใกล้
"วันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะบอกใครต่อใครว่า มีนางหนึ่งมาจูบข้าพเจ้าตอนกำลังหลับ พอข้าพเจ้าตื่นนางก็ไป ทิ้งไว้แต่ดอกไม้นี้"
แล้วมังฉงายก็เดินเข้าห้องแล้วปิดประตูโดยเร็ว อเทตยาหน้าซีดตกใจไม่กล้าตาม มังฉงายเข้ามาแล้วอมยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ตรงประตู อเทตยาอยู่ข้างนอกประตู หน้าตากลัดกลุ้มใจ แล้วร้องไห้
มังฉงายได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกก็เปิดประตูออก แต่ไม่ยอมเดินออกไป อเทตยาจึงต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา น้ำตานองเต็มตา พนมมืออ้อนวอน
"ขอท่านคืนดอกไม้เถิด"
"อย่าร้องไห้เลย ข้าพเจ้าจะไม่บอกผู้ใดอย่างที่ว่าดอก เชิญเข้ามานั่งสนทนากันก่อนเถิด"
อเทตยายังเฉยอยู่ มังฉงายจึงยื่นแขนไปดึงด้วยท่าทางนุ่มนวลสุภาพ อเทตยาไม่เคยต้องมือชาย กายจึงอ่อนเป็นขี้ผึ้งต้องเปลวไฟ
"ตะละแม่อเทตยามาเยือนข้าพเจ้ายามค่ำคืน มีธุระอันใด"
อเทตยาทอดเสียง เพราะที่จริงแล้วเจตนามาแอบดูมังฉงาย
"ไม่มีอะไรหรอก"
"ข้าพเจ้าจะไม่ขอเดา เพราะทางนี้ไม่ใช่ทางผ่านยามวิกาลและไม่มีโขลนติดตาม ถ้าไม่แจ้งความจริงท่านจะไม่ได้ดอกซ่อนชู้นี้คืน"
อเทตยาหาทางเอาตัวรอด
"พี่นางกุสุมาให้มาสอดแนมท่าน"
มังฉงาย ตาเกิดประกายอย่างลืมตัว
"เพื่ออะไร"
"ก็…อยากรู้ว่าท่านมีใจแก่พี่นางหรือเปล่า"
มังฉงายเลือดในกายร้อนวูบขึ้นมาทันที
"ข้า…ข่มตาไม่ได้ก็เพราะคิดถึงตะละแม่กุสุมา"
อเทตยาโกรธ นึกไม่ถึงว่ามังฉงายจะมีใจกับตะละแม่
"นั่นไง เราว่าแล้ว เราเสียทีจริงๆที่ให้อุบายนำท่านเข้ามาสอนพิณพี่นางรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านกับพระพี่นางทำความผิดร่วมกันใหญ่หลวงนัก พรุ่งนี้เถอะเราจะให้พระเจ้าลุงไล่ท่านออกไปจากวัง"
มังฉงายยืนงุนงง…อเทตยาฉวยดอกไม้วิ่งออกไป มังฉงายตั้งสติได้ออกวิ่งตาม
อเทตยาถือดอกไม้วิ่งขึ้นตำหนักหลวงไป มังฉงายวิ่งตามมาเห็นโขลนนั่งหลับอยู่ก็หยุดชะงัก หาทางแอบเข้าไปทางอื่น
มังฉงายเดินจรดปลายเท้ามาแต่ไกล หยุดยืนนึกสักครู่ แล้วเลี้ยวไปทางหนึ่ง เห็นประตูห้องหนึ่งแง้มอยู่…แสงตะเกียงสว่างออกมา จึงเปิดประตูเข้าไป
มังฉงายเดินผ่านลับแลกั้นเข้ามามอง เห็นกุสุมานอนหันหลังหลับสนิทมีผ้าห่ม มังฉงายมองคะเนว่า ใช่อเทตยาแน่ จึงเข้าไปแตะไหล่เบาๆ
"ตะละแม่อเทตยา อภัยให้ข้าเถิด…ข้าไม่ได้เจตนาพูดให้แสลงใจท่าน ถ้าใจของน้องท่านเป็นอย่างที่ข้าคิด จงหันมาเจรจากัน"
เสียงเบาๆของมังฉงาย ทำให้กุสุมาลืมตาแบบคนที่ยังฝันอยู่ นิ่งตะลึงอยู่อึดใจ มังฉงายเองก็ตะลึงเหมือนกัน พอคลายตกใจก็ยิ้มแย้มเอามือมากุมมือนางไว้
กุสุมาหน้าตื่นจากความฝัน พอถูกจับมือก็ตกใจรีบสลัดมือมังฉงายออกเต็มแรง ปิดหน้าร้องไห้สะอื้น มังฉงายทำอะไรไม่ถูก
"หมายใจจะฆ่าเราหรือถึงทำอย่างนี้"
"ข้าพเจ้า…เออ..อยากมาเจรจาด้วยความคิดถึง"
"ถ้าท่านเอ็นดู ขอให้อดใจไว้เวลาอื่น วันคืนไม่ใช่จะสิ้นลงในวันในพรุ่ง ท่านจงออกไปเถิด"
"ถ้าท่านไม่ยอมฟัง เราทั้งสองจะเลิกฟังกันตลอดไป ข้าพเจ้าจะขออำลาตะละแม่ออกจากราชสำนักเมืองแปร....กลับเมืองตองอู"
ตะละแม่ก้มหน้านิ่ง ร้องไห้มากขึ้น ใจหาย
"ร้องไห้ทำไมอีกเล่า"
กุสุมาเสียงครือสั่น น้ำตาไหลเต็มหน้า
"ข้าพเจ้าเป็นหญิงจะเจรจาอะไรเหมือนท่านได้"
มังฉงายเห็นตะละแม่ร้องไห้หนัก รู้ดีว่ากุสุมาอาลัยในตัวจึงลดตัวลงนั่งใกล้ มีท่าทีอ่อนโยนแตะมือเบาๆ นางขยับมือหนี คราวนี้มังฉงายดึงนิ้วไว้แน่น
"ข้าพเจ้าภักดีต่อตะละแม่ท่าน ท่านแจ้งหรือไม่"
กุสุมาเสียงเยาะเล็กมากๆ
"ภักดี...หรือจะกล้าทำผิดประเพณี"
"ข้าพเจ้าทูลความเสน่หากับพระราชธิดาให้ถูกต้องตามประเพณีนั้นทำได้หรือ"
กุสุมาจนด้วยถ้อยคำ จะเด็ดมองแล้วความรักกำเริบขึ้นมาล้นอก กอดแล้วจูบแผ่วๆนุ่มนวล นางก็พยายามเอนตัวหนี
"ถ้าไม่คิดว่าจะต้องอายไปทั้งแผ่นดินจะร้องให้ก้องตำหนัก ดูซิว่าคอจะยังได้ตั้งอยู่บนบ่าหรือไม่" กุสุมาพูดทั้งที่ความรู้สึกไม่ตรงกับคำพูด
"ต้องโทษเป็นผีเสียก็ดี จะได้มาวนเวียนใกล้กุสุมาตลอดเวลาไม่ต้องกระวนกระวายรอคอยพระอาทิตย์ตกดิน"
มังฉงายพยายามจะเข้ามาจูบอีก กุสุมาดิ้นสุดแรง เอามือตระกายอกเขาจนเสื้อขาด กลักอันเล็กๆ ที่ห้อยคอมังฉงายอยู่ติดมือมาด้วย เขาได้สติรีบยื่นมือมาขอคืน กุสุมารู้สึกว่าเป็นของสำคัญ
"ถ้าท่านรังแกเราอีก เราจะทำลายสิ่งนี้ทิ้ง"
"คืนข้าพเจ้าในสภาพดีเถอะ ข้าพเจ้าสำนึกแล้ว"
ตะละแม่กุสุมาหน้าระแวงมาก แต่ยอมคืนให้โดยดี มังฉงายรับมาอย่างถนอมคล้องคอเหมือนเดิม
"คืออะไร ถึงสำคัญกับท่านขนาดนี้"
มังฉงายมองกุสุมา ตั้งใจพูดความจริง
"กลักนี้บรรจุผมของนางผู้หนึ่ง ความผูกพันกับเจ้าของมีหลายสถาน เมื่อเป็นเด็ก นางเปรียบเสมือนน้อง เมื่ออายุมากขึ้นนางนั้นคอยบำรุงใจ ตักเตือนประหนึ่งนางเป็นพี่ เพลานี้ข้าพเจ้าจากนางมา นางคงเป็นห่วง
เหมือนมารดาห่วงบุตร"
กุสุมาหน้าไม่ดี ถามทันควัน
"นางคือภริยาท่านใช่ไหม"
"เราทั้งสองยังไม่เป็นสามีภริยา แต่ความผูกพันในกันและกันนั้น ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีวันจะแยกได้"
กุสุมาเสียใจ ฟุบตัวแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น มังฉงายเข้าไปจะประคอง กุสุมาสะบัดโดยแรง
"กุสุมาฟังก่อน"
"ปีศาจใดมาเกิดเป็นตัวท่าน อย่าเจรจาอะไรอีกเลย เราไม่ฟัง ขาดกันตั้งแต่วันนี้ ท่านว่าจะลากลับไปบ้านเดิมก็ไปเลย เราไม่ทัดทาน และถ้ากลับมาให้เห็นหน้าวันไหน กุสุมาจะทำลายตัวเองให้สิ้น ที่จูบที่กอดเรานั้น เราเสียเชิงแล้ว...ทำได้แค่จะจำไว้จนตาย"
กุสุมา นอนร้องให้ มังฉงายทรุดนิ่งไม่สามารถขยับเขยื่อน
โรงช้างแปร วันรุ่งขึ้น จาเลงกะโบกำหญ้ากำลังจะให้ช้าง มองจ้องมังฉงายในอาการเศร้าสร้อยนั่งอยู่มุมหนึ่ง
จาเลงกะโบถาม
"เมื่อจะจากตองอูมา พระอาจารย์วัดกุโสดอกำชับนักกำชับหนาว่า ไม่ให้น้องท่านวุ่นวายเรื่องสตรี ไม่ฟังคำก็ร้อนใจอย่างนี้ อยากรู้ว่า ทำไมต้องบอกความจริงเรื่องตะละแม่จันทรา"
"ต่อไปข้างหน้าจะให้กุสุมาหยามข้าพเจ้าว่าพูดเท็จนั้นควรหรือ"
"โดนโกรธก็สมควรแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้น รึว่า… ท่านมีใจสวาทตะละแม่จริง"
มังฉงายหลบสายตา จาเลงกะโบพูดต่อ
"เราขอเตือนเรามาแปรเพราะงานเมือง ถ้าท่านมีใจพะวงในเรื่องอิสตรีจะเสียการ หาไม่จงเร่งกลับตองอูทำศึกกับแปรเถิด เมื่อชนะแปร ตะละแม่กุสุมาจะไปไหนเสีย"
มังฉงายยังคงนั่งซึมอยู่ที่เดิม
เสียงพิณดังแว่วเข้ามา พิณที่วางอยู่ข้างๆกุสุมา สายพิณขาดกระจุยกระจาย มังฉงายยืนมองนิ่งด้วยความโกรธ กุสุมาทำเหมือนไม่มีมังฉงายอยู่ที่นั้น
มังฉงายใจสะท้าน เดินไปหยิบพิณมาขึงสาย กุสุมาพูดไม่มองหน้า
"เราไม่ได้อยากเรียนพิณ...ท่านพ่อรับสั่งดอก"
มังฉงายฟังแล้วโกรธ
"ตะละแม่กุสุมาฟังข้าพเจ้า...ยังจะมีชายใดกล้าพูดความจริงเสมอคนนี้ หรือตะละแม่ต้องการฟังเท็จเพื่อให้ตัวเองสบายใจ"
กุสุมาไม่ตอบ ฟังนิ่ง
"ข้าพเจ้าจะบอกว่าเป็นเส้นผมมารดาก็ได้ ถ้าประสงค์"
"ธรรมดาผู้หญิงได้คู่แล้วก็อยากมีไว้คนเดียว นางเจ้าของผมก็คงเช่นกัน ท่านจงคืนไปบ้านเดิมเถิด นางผู้ตั้งตาคอยประหนึ่งคอยบุตรจะได้ยินดี หน้าตากุสุมาเป็นอย่างไรก็คงค่อยๆเลือนไปเอง"
มังฉงายยืนนิ่งอึ้ง ตอบไม่ถูก หน้าหมองหม่น
"ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักรัก เมื่อรักท่านก็รักเสียจนสุดรัก แต่เมื่อรู้ว่าไม่ใช่รักเดียวของท่าน ก็ไม่ขอฝืน....ไปเสียเถิดอย่าอยู่ให้ทรมานใจเลย"
มังฉงายใจหาย
"ท่านขับไล่ถึงเพียงนี้ แม้ไม่นึกว่าเป็นชายจะยอมก้มลงกราบเท้าวอนให้ตะละแม่คืนดี"
กุสุมายังนิ่ง แต่นัยน์ตาอ่อนละมุนลง
"ข้าพเจ้าจะออกจากราชสำนักเมืองแปรตั้งแต่อรุณรุ่งพรุ่งนี้ กรรมใดที่ล่วงเกิน อภัยให้ด้วยW
มังฉงายเดินออก กุสุมายืนหน้าซีด มังฉงายเกิดแค้นขึ้นหันมา )
"ไปครั้งนี้แล้วจะกลับมา แต่จะกลับมาข่มแหงอย่างศัตรู"
กุสุมาหันขวับมา หน้าฉงน
"ถึงคราวนั้น แม้ตะละแม่ยืนยันว่า ไม่รักก็จะไม่ฟัง"
มังฉงายพูดจบ กุสุมาตะลึงแล้วน้ำตาก็ไหลพรากเต็มหน้า
เช้าวันใหม่ บริเวณทางเสด็จในเขตพระราชฐาน เมืองแปร พระเจ้านรบดีเสด็จออกบนพระราชยานคานหาม มีขบวนมหาดเล็กตามเสด็จ มังฉงายหมอบเฝ้าอยู่พร้อมพานธูปเทียนแพ พระเจ้านรบดีแปลกใจ
1
"จะมาลาข้าไปไหน"
"ข้าพเจ้าจะขอกราบบังคมทูลลากลับไปอยู่บ้านข้าพเจ้าที่ถิ่นเดิม"
"เจ้าฝึกกุสุมาเล่นพิณเก่งแล้วหรือ"
"ข้าพเจ้าเป็นแค่คนแขวงนอกควรเจียมตัว ไม่มีความรู้พอเป็นครูสอนพิณพระธิดา"
"ข้ายังไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งสิ้น ให้ข้าว่าราชการก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกที"
ท้องพระโรงฝ่ายหน้า เมืองแปร พระเจ้านรบดีกลุ้มใจ รานองกับปะขันหวุ่นญีก็หนักใจไม่แพ้กัน
"ถ้ามันรู้ความเราหมดแล้วคิดกลับเมืองไปยกทัพกลับมาตีเรา ก็อย่าเอามันไว้เลย ข้าพเจ้าขออาสาตัดหัวมันเสียบประจานที่หน้าประตูเมือง ถ้าพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ยกทัพมา ก็ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย" ปะขันหวุ่นญี
"ใจเย็นก่อนท่านแม่ทัพ อะไรที่แก้ด้วยวิธีสันติก็น่าจะเลือกวิธีนั้นก่อน ถ้ามังฉงายได้เป็นใหญ่ที่แปรพระเจ้าตองอูคงไม่คิดยกทัพมาย่ำยี" รานองว่า
"งั้นท่านอุปราชคิดว่ายังมีวิธีไหนอีก"
"คงต้องเจรจาไม้ตาย…เออ"
"บอกข้ามาตรงๆเลย ข้ายินดีทำ…ข้าไม่อยากให้เกิดศึก"
"เจรจายกพระธิดาให้จะเด็ดตรงๆเลย เขาคงไม่ปฏิเสธเพราะ คงรักตะละแม่ไม่น้อย"
พระเจ้านรบดีตกใจมากขึ้นไปอีก
"แผนขายหน้า…ข้าอายนะที่อยู่ๆไปพูดยกลูกสาวให้เขาดื้อๆ ท่านพูดน่าจะเหมาะกว่า"
"ถ้าข้าพเจ้าพูด จะเด็ดก็คงรู้แน่ว่าเป็นการเราซ้อนแผน ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็พยายามหลบหน้าเขาจะแย่อยู่แล้ว เพื่อจะได้ไม่ให้เขาสงสัยว่าข้าพเจ้าจำเขาได้"
"ข้าอายพวกขุนวังในนี้เหลือเกิน หรือจะทำศึกให้มันรู้แล้วรู้รอด"
"ข้าพเจ้าและเหล่าขุนวังทั้งหลายเข้าพระทัยของพระองค์ดี เพราะทรงไม่อยากให้ประชาราษฎร์เดือดร้อนดอก พระองค์จึงหาทางออกด้วยวิธีนี้" รานองบอก
"ข้าจะขอทำเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่สำเร็จ จะเกิดศึกก็ให้มันเกิด"
ทางเสด็จในเขตพระราชฐานแปร มังฉงายหมอบเฝ้าพระเจ้านรบดี
"พรุ่งนี้ข้าจะออกป่าล่าสัตว์ เจ้าต้องตามไปเล่นพิณให้ข้าฟัง"
"แต่...ข้าพเจ้า"
"ข้าขอร้องนะมังฉงาย ตามข้าไปล่าสัตว์ก่อน แล้วค่อยกลับมาตัดสินใจอีกที"
เวลากลางคืน พระเจ้านรบดีนั่งกลุ้มใจอยู่บนเตียง อัครเทวีเดินเข้ามา
"มีการใดไม่ต้องพระประสงค์อีก"
"ถึงเวลาแล้วที่ลูกเราจะสนองคุณแผ่นดิน เพื่อต่อไปภาคหน้าอาณาจักรแปรกับอาณาจักรตองอูจะได้เป็นผืนปฐพีเดียวกัน"
"รับสั่งแปลก…แปรกับตองอูใกล้จะเกิดศึก ไฉนจะมารวมปฐพีกันเพราะลูกหญิง"
พระเจ้านรบดีหนักใจที่จะเล่าความจริงให้อัครเทวีฟัง
ขบวนช้างของพระเจ้านรบดีเดินทางไปล่าสัตว์ในชายป่า ทรงควบม้าไล่จับหมูป่าที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน โดยมีมังฉงายกับมหารเล็กควบม้าไล่ต้อนให้ สุดท้ายนรบดียิงได้ด้วยธนู
กระโจมค่ายกลางป่า เวลากลางคืนต่อเนื่องมา ทหารแปรเดินตรวจเวรยาม นายกองแปรชุดกึ่งรบเดินเข้าไปในกระโจมนรบดี
พระเจ้านรบดีนั่งอยู่บนตั่ง มีมหาดเล็กเตรียมเครื่องสรง และโกนหนวดอยู่ที่เตียงสรง สักครู่ มังฉงายเดินเข้ามาถวายบังคมคุกเข่าอยู่ห่างๆ
"มาโกนหนวดให้เราหน่อยซิ"
มังฉงายแปลกใจ แต่ก็ลุกเดินไปที่เครื่องโกนหนวดซึ่งมีมีดโกนเห็นคมเงาวับ เขาหยิบและเดินตรงไปที่พระเจ้านรบดีนอนเปิดคอขาวอยู่ แล้วถวายงานไปเรื่อยๆ ...
"ถ้าเจ้าได้โอกาสประหารเรา เจ้าจะทำไม๊...จะเด็ด"
มังฉงายชะงักมือ มองพระเจ้านรบดีอย่างแปลกใจ
พระเจ้านรบดีเสียงสั่นด้วยความสะเทือนใจ
"จะเด็ดเอย ตื้นลึกหนาบางในแผ่นดินเรา สืบจนหมดสิ้นแล้วหรือ"
มังฉงายสะดุ้ง ตะลึง มองพระเจ้าแปรที่สีหน้าเข้ม
"เรารู้มานานแล้ว แต่เลี้ยงดูเจ้าเพราะไม่อยากผูกเวร"
มังฉงายขยับตัวอย่างเร็ว มองไปรอบตัว
"ไม่ต้องเสียขวัญ… เราเลี้ยงเจ้าด้วยจิตเมตตา ไม่คิดทำลายด้วยใจอาฆาตดอก"
มังฉงายกัดกรามแน่น พระเจ้านรบดีพยายามบีบน้ำตาให้ออกมาทีละน้อย ปลอบโยนแบบคนแก่ที่เจนจัดในประสบการณ์
"ถึงจะรู้ว่าเป็นงูพิษแปลงกายมา ก็นึกว่าเป็นลูกหลานเลี้ยงดูอย่างดี คิดว่า จะเด็ดคงไม่ชั่วจนลืมคุณคน แต่ถ้าเราคิดผิด คิดแต่แผ่เมตตาก็จงฉวยโอกาสนี้สังหารเราเสียเถิด อย่าให้ได้เสียชีวิตไพร่พลเรือนแสน เราจะไม่ต่อยุทธให้ได้ยากแก่คนเมืองแปรกับตองอูแม้แต่ชีวิตเดียว แต่จะให้อยู่ดูแผ่นดินย่อยยับ ก็ทนอายไม่ได้...จะเด็ดเอย แม้นยังรำลึกถึงบุญคุณเรา ก็ขอจงก่อสถูปบรรจุกระดูกเราไว้ให้คนแปรคำนับศพบ้าง ก็ถือว่าตอบแทนคุ้มแล้ว"
พระเจ้านรบดีพูดจบลง นั่งนิ่งขึง น้ำตาไหลเงียบๆ น้ำตานั้นทำให้มังฉงายว้าวุ่นใจ ทำอะไรไม่ถูกคุกเข่าน้อมกายพูดนอบน้อม
"ขอให้พระเจ้าอยู่หัวพึงถือว่า ข้าพเจ้าเป็นนักโทษแผ่นดินเถิด ถ้าโทษถึงฆ่าฟันก็ขอให้ฆ่า ถ้าไม่ฆ่าจะคุมขังไว้ ขอให้คุมให้แข็งแรงเพราะถ้ามีช่องทางหนีวันใด ข้าพเจ้าก็จะหนี และต่อจากนั้นจะทำแก่กันเหมือนศัตรูเพราะถือว่าล้างกันสิ้นแล้ว"
"เราไม่ต้องการจองจำเจ้า ถ้าเจ้าคิดถึงบุญคุณเรา ขอเพียงให้อยู่ไม่ไปไหนจนกว่าจะสนองคุณเราคุ้ม แต่ถ้าอยากจะเป็นคนอกตัญญูก็เชิญออกจากเมืองไปได้ เราเป็นคนใจพระไม่มีเครื่องมืออะไร จะไปผูกมัดหรือต่อสู้กับคนไม่รู้คุณคนดอก"
จะเด็ดฟังแล้วแค้นจัด ลุกยืนพรวด
"พระองค์ท่านอย่าหมิ่นน้ำใจชายด้วยกัน คำสัญญาที่ท่านว่าข้าพเจ้ารับทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจะทดแทนไม่ไห้คุณท่านเหลือแม้แต่เส้นผมเส้นเดียว"
นรบดีลุกขึ้น ทำหน้าเคร่งโกรธจัด
"เราจะคอยดูว่าคนระดับนายทัพตองอูจะรักษาวาจาได้แค่ไหน งั้นฟังเรา เจ้ารักกุสุมาลูกเราแค่ไหน"
ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากัน จะเด็ดอึ้ง งง
ภายในห้องนอนเวลากลางคืน กุสุมาหน้าสลด ตกใจ นั่งร้องไห้ อัครเทวีทรงปลอบ "ลูกมีความผิดอะไรจึงจะขับไล่ลูก ถ้าไม่ปรารถนาเลี้ยงอย่างลูกหลวงก็เลี้ยงอย่างนางข้าหลวงเถิด ชาตินี้ลูกจะไม่อภิเษกกับผู้ใด"
"กุสุมา การอภิเษกครั้งนี้เท่ากับชนะรักษาแผ่นดินเมืองแปร"
กุสุมาแปลกใจมองหน้าแม่
"ตองอูจัดกองทัพแข็งแกร่งหมายจะยกมาตีแปร พ่อท่านจึงหมายตาคู่อภิเษกของลูกคือ นายทัพตองอู"
กุสุมาก้มหน้าร้องไห้ไม่หยุด
"เมื่ออ้างเพื่อแผ่นดิน จึงผลักไสให้ลูกไปอยู่กินกับแม่ทัพตองอูแก่คราวท่านพ่อ ก็โปรดทำตามพระประสงค์"
"แม่ทัพตองอูผู้นี้ศักดิ์เป็นพี่เขยพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ตองอู"
"พี่เขย"
"ใช่แล้ว และผู้นั้นคือ เจ้ามังฉงาย ครูพิณของลูก"
กุสุมาตลึงงันมาก ใจคิดไปถึงกลักใส่ผมที่ห้อยคอจะเด็ด ตะละแม่ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก
"พ่อท่านรับสั่งว่า ถ้าจะจองจำคนให้จองจำที่ใจ ลูกหญิงคนเดียวเท่านั้นที่จะมัดใจขุนพลตองอูผู้นี้ได้…เสน่ห์หญิงที่มีจงใช้ให้เกิดประโยชน์เถิด"
ก็เดินทางมาถึงตอนที่ 4 กันแล้วนะครับ ในตอนนี้เราจะได้รู้ว่าเจ้าเมืองแปรนั้นก็มีวาจาและอุบายอยู่ไม่น้อย ส่วนจะเด็ดนั้นก็เป็นคนที่รักษาสัญญายิ่งชีพ ตอนต่อไปจะเป็นอย่างไรอย่าลืมติดตามเพจของเราไว้นะครับ สำหรับวันนี้ขอลาไปด้วยคอนนี้แล้วกัน สวัสดีครับ
และถ้าท่านใดชื่นชอบอย่าลืมก็ไลค์เพื่อเป็นกำลังใจให้เพจ สยาม siam ด้วยนะครับ
2. หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ประพันธ์โดย : โชติ แพร่พันธุ์
หรือเจ้าของนามปากกา “ยาขอบ”
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ ขอบพระคุณครับ
โฆษณา