18 เม.ย. 2020 เวลา 02:09 • ปรัชญา
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 5
กระโจมค่ายกลางป่า พระเจ้านรบดีกับจะเด็ดจ้องหน้ากัน
"กุสุมาลูกเรา...เลี้ยงมาอย่างลูกสาวกษัตริย์ในเศวตรฉัตรแต่น้อยคุ้มใหญ่ ไม่เคยมีมือชายใดนอกจากพ่อแตะต้องตัว แต่เจ้ากลับเคยเข้าเฝ้าในห้องบรรทมยามวิกาล โบราณถือว่า กุสุมาไม่บริสุทธิ์สมขัตติยนารีแล้ว"
มังฉงายฟัง นัยน์ตาอ่านใจพระเจ้าอยู่หัวแปร
"ราคีของกุสุมาเกิดจากเจ้า เราจึงไม่อาจจัดให้ลูกอภิเษกกับชายอื่นได้อีก เจ้าจะยอมปกป้องเกียรติของลูกเราหรือไม๋"
มังฉงายตกใจ
"เจ้ายินดีหรือไม่มังฉงาย"
"พระองค์เพียงแค่รักษาประเพณื จนยอมเสียพระธิดาให้กับคนด้อยศักดิ์กว่า ข้าพเจ้าเป็นข้า... ขอทัดทาน"
พระเจ้านรบดีเสียงแข็ง
"เจ้าไม่คิดจะแต่งงานกับลูกเรา"
"ข้าพเจ้าเป็นคนที่ตัวเปล่าที่เหมือนไม่ใช่ตัวเปล่า ความผูกพันเมื่ออยู่ตองอูก็มี จะรับพระกรุณานั้นจนใจนัก เพราะจะให้มีสุขกับสตรีอื่นก่อนตะละแม่จันทราสุข ข้าพเจ้าทำไม่ได้"
"ฟังนะจะเด็ด เรายอมเสียศักดิ์ขอร้องเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าคิดจะสนองคุณเราก็จงยอม ถ้าคิดจะอกตัญญูก็จงหนีกลับตองอูเสียคืนนี้ เราก็จะได้รู้ว่าใจจริงแท้ เจ้าก็อยากเห็นเลือดคนแปรนองแผ่นดิน"
"จะกล่าวโทษสถานใดก็ว่าไปเถิด แต่ข้อว่าอกตัญญูนั้นอย่าพูดให้แทงใจเลย ไม่ใช่เพราะกตัญญูหรือ พระเจ้าแปรจึงทำเหมือนข้าพเจ้าเป็นหุ่นที่ไม่มีหัวใจ จะบังคับอย่างไรก็ได้"
พระเจ้านรบดียิ้มในใบหน้า
"จะเด็ด...ถ้ากตัญญูเจ้าก็จงอภิเษกเสียภายในเร็วนี้ ก่อนที่หงสาวดีจะเริ่มการใหญ่….แปรกับตองอูจะได้ไม่เกิดศึก"
จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง นั่งคอยจะเด็ดอยู่ในกระโจม จะเด็ดเดินเข้ามาในกะโจมที่พักด้วยสีหน้าเศร้า
"ความแตกแล้ว… พระเจ้าแปรรู้แล้วว่าเราเป็นใคร"
"งั้นรีบหนีเร็วซิ" สีอ่องบอก
จะเด็ดนิ่งไม่ตัดสินใจ
เนงบาบอก
"หนีเถิดมังฉงาย ภูมิประเทศช่องทางต่างๆในแปรเราก็รู้หมดแล้ว"
"นั่นสิ เมืองแปรแค่นี้ ไม่พอมือดอก" สีอ่องบอก
จะเด็ดตัดสินใจบอก
"ข้าพเจ้าถวายสัตย์แก่พระเจ้าแปรแล้ว"
เพื่อนทั้งสามหยุดพูด งง มองหน้าจะเด็ดรอฟัง
เนงบาถาม
"ถวายสัตย์อะไร"
"จะขออยู่ถวายคุณให้หมด แล้วจึงกลับตองอู"
จะเด็ดยืนนิ่งหนักใจ ทั้ง 3 คนฟังแล้วทำท่าไม่พอใจ เว้นจาเลงกะโบที่ยืนฟังด้วยความสงบเสงี่ยม
เนงบาถาม
"ถ้าพระเจ้าแปรทิวงคตไปเดี๋ยวนี้ล่ะ"
"เราก็พ้นกรรม"
เนงบาควักมีดสั้นที่เหน็บเอวออกมา ร้องเสียงเบาต่ำ แต่เป็นกังวาล
"พระเจ้าแปรสิ้นใจเสียเถิด เราจะได้คืนตองอู"
เนงบาขยับตัวจะไป สีอ่องตามทันที จะเด็ดขวางไว้ สองคนไม่ยอมผลักกันไปมา จนจะเด็ดต้องขู่
"สัญญาของเราคือต้องอยู่อย่างซื่อสัตย์ ถ้าพี่ท่านจะปลงพระชนม์พระเจ้าแปร จงประหารข้าพเจ้าก่อน"
สีอ่องบอก
"พระเจ้าแปรปรนเปรอแค่นี้ ลืมยางข้าวตองอูแล้วหรือมังฉงาย"
มังฉงายชะงัก หน้าแค้นจัดมาก แต่พยายามสะกดความโกรธไว้
"เพราะเป็นเกลอร่วมน้ำสาบานดอกจึงไม่เจ็บตัว"
มังฉงายชี้หน้า สีอ่องโกรธเหมือนกัน
"เอาสิวะ"
"เออ กูเอาด้วย มา" เนงบาว่า
จาเลงกะโบยืนนิ่งตั้งแต่ต้น ดึงคอสีอ่องและเนงบาไว้ มองหน้าจะเด็ดให้พูดต่อ
"คุณแผ่นดินตองอู ตายสิบชาติก็ทดแทนไม่หมด แต่คุณเมืองแปรไม่ช้าก็คืนได้ครบ ลองคิดดูถ้าพระเจ้าแปรฆ่าเราทั้งหมดเสียแต่แรก จะเอาอะไรไปทดแทนคุณตองอู"
เนงบา สีอ่อง เริ่มคล้อยตาม
"จาเลงกะโบพี่ท่าน ข้าพเจ้าคงกลับตองอูเพลานี้ไม่ได้จริงๆ ท่านจงพาเนงบากับสีอ่องกลับตองอู ทิ้งข้าพเจ้าไว้ที่แปรแต่เพียงลำพังเถิด"
"ไม่...เป็นตายอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะไม่ทิ้งน้องท่านเด็ดขาด"
ทั้งสี่ได้แต่มองหน้ากันนิ่งเงียบ
เนินเขาริมแม่น้ำอิระวดี เส้นทางไปตองอู วันต่อมา เนงบา สีอ่อง ควบม้าไปตามทางอย่างเร่งด่วน
ท้องพระโรงฝ่ายใน เมืองแปร พระเจ้านรบดีประทับอยู่บนบัลลังก์ คนอื่นๆหมอบเฝ้าอยู่
"ด้วยขุนวังซองควาเพลานี้ชราแล้ว เราจึงอยากให้เข้ามาถวายงานอยู่ในวัง เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดเรา และตั้งใจว่าจะบำรุงให้เบี้ยหวัดเงินปีตามปกติ ส่วนราชการหน้าที่ขุนวังเราขอแต่งตั้งให้มังฉงายปฏิบัติแทนต่อไป ท่านจงไปประกาศตามนี้"
ขุนนางผู้ใหญ่ถวายบังคมรับสนองฯ จะเด็ดก้มหน้านิ่งไม่ยินดียินร้าย
ท้องพระโรงฝ่ายใน เมืองตองอู มังตรา ในพระนาม "พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้" ยืนสง่าอยู่หน้าบัลลังก์ท่าทางโกรธจัด
"จะเด็ดไม่ซื่อต่อเรา เราหลงปล่อยเสือเข้าป่า น่าเวทนาตัวเองจริงที่คิดเสียรู้ การกระทำเยี่ยงนี้มันดุจคนทรยศ...ต้องประหาร ข้าพเจ้าจะยกทัพไปเมืองแปร ถ้าจะเด็ดเห็นดีเห็นงามกับพระเจ้าแปร ก็จะได้รบกัน"
มหาเถรมังสินธูบอก
"มหาบพิตร จะเด็ดมันเป็นคนมีความกตัญญู พระองค์มีบุญคุณยิ่งกว่าแม่น้ำและภูเขา พระเจ้าแปรน่ะหรือ...เทียบแล้วเท่าปลายก้อย"
"ก็มันเป็นศิษย์รักนี่ ถึงแก้แทนกัน"
"อ้าว..."
"ท่านอาจารย์ไม่เคยตำหนิจะเด็ด ใครว่าก็ไม่ได้"
"อ้าว..."
"เห็นว่าดีก็เอาใจช่วยแล้วกัน"
"อ้าว"
"อยากรู้นักว่าจะช่วยกันได้แค่ไหน"
"ถ้าจะเด็ดทรยศจริงจะให้เนงบากับสีอ่องมาแจ้งข่าวทำไม"
มังตรานิ่งอึ้ง แล้วฮึดขึ้นมา
"สองคนนี่ มันหนีมาก่อนจะไปดูหน้าไอ้เพื่อนทรยศที่เมืองแปรให้ได้"
เนงบา สีอ่องมองหน้ากันอย่างฮึดฮัด สีอ่องทนไม่ไหว พรวดเข้ามา
"ข้าพเจ้ากล้าเอาชีวิตเป็นประกันว่า ชาตินี้จะเด็ดไม่ทรยศต่อตองอูดอก แต่เพลิดเพลินไปตามอารมณ์หนุ่มเพราะพระเจ้าแปรโปรดมาก นอนก็ให้นอนใกล้ห้องบรรทม พระธิดาพระเจ้าแปรผู้งดงามก็ให้จะเด็ดสอนพิณ น่ากลัวจะเด็ดคิดจะรวบพระธิดาเสียก่อน แล้วถึงจะรวบเมืองแปร"
ขณะที่สีอ่องพูด มหาเถรมังสินธูก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
"มึงนะมึงไอ้สีอ่อง มึงเอาความเป็นเสี้ยนหนามมาทูลพระเจ้าอยู่หัวทำไม มึงรู้อะไรจริงหรือไม่จริง ฮะ จะเด็ดน่ะ มึงก็รู้ว่าจะทำอะไรก็มองไกลมองยาว มองรอบตัวเพราะกูสอนไว้"
มังตราและสีอ่องต่างจ้องมหาเถรมังสินธูที่พูดเพิ่งขาดคำ จนภิกษุชราเริ่มอึดอัด สีหน้าขัดเขิน
"พระอาจารย์จะว่าจะเด็ดถูกก็ว่าไปเถิด แต่ข้าพเจ้าตั้งใจไว้แล้วว่า จะกรีฑาทัพเหยียบให้ทั่วลุ่มน้ำอิระวดี ถ้าผู้ใดห้ามถือว่าทรยศต่อแผ่นดิน"
มหาเถรนิ่ง จนปัญญา
มังตราเดินไปเดินมาในห้องบรรทม นันทวดีนั่งมองจวนจะเวียนหัวอยู่แล้ว
"มันทำอะไรไม่เคยผิดเลย เป็นอย่างนี้ทุกเมื่อ ที่แท้อยู่เมืองแปรเพราะหลงผู้หญิง"
นันทวดียังรู้สึกหึงหวงในความรู้สึกอยู่ แต่พยายามระงับไว้
"หญิงผู้นั้นเป็นใคร"
มังตราเสียงขุ่นมัวมาก
"ตะละแม่พระธิดาพระเจ้าแปร เราจะยกทัพไปขยี้แปร จับตัวจะเด็ดมาลงโทษให้ได้ แต่เรื่องนี้เราไม่อยากให้พี่นางเสียใจ ใครควรจะเป็นผู้ไปทูลพี่นางดี"
นันทวดีนิ่งเงียบ
ห้องบรรทม อุทยานตองอู ตะละแม่จันทรายืนเหม่อมองออกไปไกล กันทิมาและนางข้าหลวง หมอบเฝ้าอยู่รอบๆ นันทวดีเสด็จมาถึง จันทราหันมามองยิ้ม
"พี่ได้ข่าวว่าคนของจะเด็ดพี่ท่าน กลับมาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว"
กันทิมาลอบฟังอย่างสนใจ นันทวดียิ้มไม่ออกหน้าเจื่อนไป
"ข้าพเจ้าจำใจยิ่งนักที่จะกราบทูลพี่นาง เพลานี้ท่านจะเด็ดสุขสบายยิ่งนักในเมืองแปร พระเจ้าแปรโปรดปรานพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ และกำลังพะวงหลงใหลอยู่กับตะละแม่กุสุมาธิดาพระเจ้าแปร"
จันทรานิ่ง แล้วก็เริ่มคลายกลายเป็นสีหน้าสดใสอย่างเดิม กันทิมารู้สึกโกรธ สีหน้าไม่พอใจ นันทวดีแปลกใจ
"พี่นางท่าน…ไม่โกรธหรือ"
จันทรายิ้มอ่อนโยน อบอุ่นเหมือนดวงจันทร์ฉายแสง
"น้องนาง…ข้าพเจ้าหนักใจ วิตกนอนไม่หลับมาหลายคืน เพราะเป็นห่วงจะเด็ดพี่ท่านจะเป็นอันตราย ทุกข์ทรมาน แต่สิ่งที่น้องนางนำมาแจ้งนั้น จะเด็ดกำลังมีความสุขดี เมื่อเป็นเช่นนี้พี่ควรดีใจไม่ถูกหรือ"
"พี่นางไม่หึงหวงบ้างหรือ"
กันทิมาฟังอย่างตั้งใจ จันทราเสียงอ่อนละมุน แน่วแน่
"น้องนันทวดี เครื่องพันธนาการความรักระหว่างเรากับจะเด็ดนั้น แน่นหนายิ่งกว่าเครื่องพันธนาการใดๆที่จะผูกมัดโดยน้ำมือมนุษย์ แต่สำคัญมั่นคงยิ่งกว่าความรักแห่งเราคือ…ความรักที่เรามีต่อตองอู ข้าพเจ้าจึงเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดจะเปลี่ยนใจจะเด็ดจากตองอูได้"
นันทวดีฟังแล้วเกิดความปลาบปลื้ม
"น้ำพระทัยพี่หญิงประเสริฐนัก ข้าพเจ้าขอนำไปปฏิบัติเป็นเยี่ยงอย่าง"
กันทิมาซาบซึ้งยกย่องในน้ำใจจันทรามากเช่นกัน
เนงบา สีอ่อง ควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท่าทางดีใจมาก มาที่ลานบ้านตะคะญี เมียครูดาบตะคะญีทำงานอยู่กับพวกตีดาบ 2-3 คน
สีอ่องร้องบอก
"แม่ครู…แม่ครู ข้ากลับมาแล้ว พวกข้ากลับมาจากกรุงแปรแล้ว"
เนงบาโดดลงวิ่งเข้าไปไห้วเมียตะคะญี
"บุญรักษาเจ้าเถอะ...แล้วจะเลงกะโบล่ะ"
"จาเลงกาโบยังอยู่แปรกับเจ้ามังฉงาย นี่ ข้าซื้อของจากในเมืองมาฝากเยอะแยะเลย" สีอ่องบอก
เนงบามองหากันทิมา
"พ่อครูกับแม่กันทิมาล่ะ"
"พ่อแกเข้าไปหาของในป่า อีก2-3วันถึงจะกลับ"
เนงบาถาม
"แม่กันทิมาไปด้วยหรือ"
"กันทิมาก็ไปรับใช้ตะละแม่จันทราที่วังหลวงไง เจ้าไม่รู้กันหรือ"
เนงบาท่าทางผิดหวัง จนสีอ่องสังเกตเห็น
อุทยานน้ำตก นางข้าหลวงกำลังเล่นน้ำอยู่ กุสุมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียว จะเด็ดเดินเข้ามา กุสุมามองเห็นขยับลุกหนี
"จะให้ข้าพเจ้าคะเนว่าหนีเพราะโกรธหรือหนีเพราะอาย สุดแผ่นดินแปรแล้วจะไปอยู่ที่ใด"
"ต่อไปนี้ทำบุญครั้งใดจะอธิฐานขอเกิดเป็นชาย ใครดูหมิ่นจะได้แก้มือกันเดี๋ยวนั้นเลย"
"สาธุขอให้กุสุมาเป็นชายเถิด ข้าพเจ้าจะได้หายชังน้ำหน้า หรือไม่ก็จะได้ประลองกำลังกันจริงๆ"
กุสุมาได้ฟังแล้วลืมตัวกราดเข้าหยิกข่วนเป็นพัลวัน จะเด็ดปกป้องด้วยสายตาเอ็นดู กุสุมาทำอะไรไม่ได้ก็ผละออกร้องไห้
"เกิดเป็นสตรีนี้มีกรรมจริง หัวใจนั้นรักเขาเป็นที่สุด แต่ทำมารยาเหมือนไม่รัก"
"หมิ่นเรารึมังฉงาย หาว่าเราเป็นหญิงเจ้ามารยารึ"
"มิได้…เป็นเพราะข้าพเจ้าอยากจะหยั่งใจตะละแม่…ว่ารักข้าพเจ้าเพียงใด บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งใจแล้วว่า ท่านก็รักข้าดุจกัน กุสุมา... ข้าพเจ้านั้นรักท่านเหลือเกิน ไม่อาจจากไปไหนได้"
กุสุมาดีใจอยากจะยิ้มแต่ไม่กล้า อยากโผเข้าไปกอดก็ขัดเขิน ได้แต่จ้องมองนัยน์ตา จะเด็ดรู้ดีในกิริยา เขยิบเข้าไปใกล้แตะมือกุสุมาเบาๆนุ่มนวล ตะละแม่ตัวสะท้าน เหมือนจะชักมือออกแต่ก็ไม่ชัก…สองคนมองตากันนิ่ง
จะเด็ดและรานองเดินปรึกษากันเรื่องสอพินยา ระหว่างในบริเวณทางเดินในอุทยาน เมืองแปร จะเด็ดนิ่งฟังอย่างกังวล
โรงช้างแปร จาเลงกะโบจ้องหน้าจะเด็ดที่เคร่งเครียดโกรธแค้น
"ไอ้อุปราชรามัญเจ้าเล่ห์ มันจะมาถึงแปรในอีก 7 วันข้างหน้า"
"ไอ้ไขลูก็คงต้องมาด้วย" จาเลงกะโบบอก
"มันผูกใจอาฆาตเราอยู่ เห็นทีจะไม่แคล้วมีเรื่อง"
จาเลงกะโบหนักใจ ทำงานต่อ
"ข้าพเจ้าขอให้พี่ท่านจงตั้งขันติอย่าหลงอารมณ์ที่มันยั่ว เพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่ามันต้องจ้องหาเรื่องเราแน่"
"ดีซิ…มีเรื่อง ที่นี่ไม่ใช่ตองอู ไม่ต้องเกรงผู้ใดอีก"
"เพราะไม่ใช่ตองอูนี่แหละ ที่เราอาจแพ้ เอาตัวไม่รอด"
จะเด็ดมองจาเลงกาโบด้วยความเป็นห่วง
วันใหม่ บริเวณห้องท้องพระโรง สอพินยาถือพานสาส์นเดินนำขบวนราชทูตและเครื่องบรรณาการเข้ามาถวาย พระเจ้านรบดีประทับอยู่กับอัครเทวีบนบัลลังก์ พยายามข่มไม่ให้สีหน้าวิตก รานองและข้าราชการคนอื่นๆอยู่พร้อม
สอพินยา
"พระเจ้าพี่สการะวุฒพี ทรงให้ข้าพเจ้าอัญเชิญพระราชสาส์นและสินสอดมาถวาย เพื่อนำตัวคู่หมั้นหมายซึ่งยังไม่เคยพบกัน กลับไปจัดการอภิเษกยังกรุงหงสาวดีในเร็ววัน และการสำคัญอีกประการ ให้ข้าพเจ้าร่วมหารือข้อตกลงศึกอาณาเขต ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้ากับตองอู"
พระเจ้านรบดีแอบมองหน้ารานอง
"อาขอขอบใจไปยังพระเจ้าหลานสการะวุฒพียิ่ง อันข้อการศึกนั้นอาถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่เพลานี้อาอยากให้ตะละแม่หลานหลวงอเทตยาเข้าเฝ้าให้ได้เห็นหน้ากัน เพื่อสนองคุณที่หลานอุตส่าห์เดินทางมารับตัวตามประเพณีด้วยองค์เอง"
พระเจ้านรบดีหันไปให้สัญญาณ ม่านประตูท้องพระโรงถูกเปิดออก ดนตรีประโคมรับ นางข้าหลวงนำอเทตยาเดินเข้ามาเป็นขบวน สอพินยาจ้องมองอย่างตั้งใจ…อเทตยาลงกราบ ทั้งสองสบตากัน อเทตยาหน้างอ สอพินยาจึงไม่พอใจ
"และในคืนเพ็ญนี้อาจะจัดงานเฉลิมฉลองให้ชาวเมืองได้ร่วมอวยพรให้หลานกับอเทตยาตลอดเจ็ดราตรี ฉะนั้นเพลานี้ขอให้หลานและคณะจงได้พักผ่อนให้คลายเหนื่อยก่อน ขุนวังมังฉงาย จงดูแลคณะทูตแห่งหงสาวดีดุจถวายงานแห่งเราเสมอกัน"
มังฉงายถวายบังคม สอพินยาและไขลูจ้องมองมังฉงายอย่างตกตะลึงไม่แน่ใจ
ในตำหนัก สอพินยาโมโหเกรี้ยวกราด อาละวาด ไขลูหมอบเฝ้าอยู่ห่างๆ
"มันกระทำหยามเราถึงเพียงนี้ มันคงเยาะที่ข้าหวังตั้งใจจะมา ประชุมการศึกขยี้ตองอูแล้วทำไม่ได้ ข้าจะบากหน้ากลับกรุงหงสาวดีได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าพี่อนุญาตให้ทำศึกไปแล้ว แปรมันคิดตีตัวออกห่างเรา"
"แปรคงไม่โง่เอาตัวเองไปแขวนไว้กับแคว้นเล็กๆดอก แต่คงไม่อยากทำศึก หวังจะผูกมัดทั้งตองอูและหงสาวดี" ไขลูบอก
สอพินยาบอก
"แต่เจ้าจะเด็ดมันคือหนามยอกอกเรา จะให้มันลอยนวลเป็นใหญ่ อยู่ในแปรอย่างงั้นหรือ"
"ขอพระอนุชาอย่าทุกข์ใจ ข้าพเจ้าสาบานว่าจะจองเวรไอ้จะเด็ดไปจนกว่าแผ่นดินกลบหน้า เพื่อสนองคุณพระอนุชา"
สอพินยาสีหน้าอาฆาต แค้นสุดฤทธิ์
ห้องนอน เวลากลางคืน อเทตยาร้องไห้อาละวาดขว้างปาข้าวของด้วยความโกรธ นางข้าหลวงพากันหลบวุ่นวาย ตะละแม่กุสุมาเดินเข้ามาเกือบโดนลูกหลง
"อเทตยา...ระงับอารมณ์หน่อยได้ไหม ไม่อย่างนั้นพี่จะฟ้องท่านแม่"
"จะฟ้องใครก็เชิญ พระอินทร์พระพรหมอะไรก็เชิญ พี่นางสมรักแล้วนี่ จะมารู้สึกความผิดหวังอย่างน้องได้อย่างไร"
"หยุดเดี๋ยวนี้นะอเทตยา ถ้าไม่คิดว่าเป็นน้องจะลงโบยเดี๋ยวนี้ เป็นหญิงไม่รู้จักละอาย ชายเขาไม่มีใจจะวิ่งไปทอดกายให้เขารึไง"
"พี่นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่รักน้อง ถ้าท่านลุงไม่ใช้อุบายบังคับเขาอภิเษกกับพี่นาง เขารึจะหมายพี่นาง น้องนี้รักใครรักจริง ไม่เคยคิดเอาคดีเมืองมาเป็นเครื่องต่อรอง ใครกันแน่ที่น่าละอายกว่ากัน"
อเทตยาร้องไห้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจ
กุสุมารู้สึกผิดขึ้นมาทันที
อเทตยานอนร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว มีข้าวของถูกขว้างเกลื่อนเต็มห้อง สักครู่…เสียงพิณดังลอยมา นางขยับตัวตั้งใจฟัง รีบเช็ดน้ำตาวิ่งออกไป
สอพินยาเหน็บกริชมาด้วย เดินไปทางอุทยานเพื่อไปตำหนักอเทตยา มีนางข้าหลวงที่ยกของกำนัลเดินตามหลัง เมื่อใกล้ถึงห้อง ก็ชะงักที่เห็นอเทตยาเดินแกมวิ่งออกมา
อเทตยากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุด เห็นมังฉงายดีดพิณอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ คาดหวังว่า มังฉงายคงอยากเจอตน..."เจ้าลุงรับสั่งให้ท่านไปอำนวยการพระอนุชา ไฉนจึงมาเล่นพิณอยู่ที่นี่ เพลานี้ก็ไม่ใช่การสอนพิณ"
"อภัยในการสะเพร่านี้เถิด ไม่นึกว่าน้องท่านจะรำคาญ ข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการซ้อมไว้เล่นสั่งลาในคืนเพ็ญที่จะถึงนี้ ต่อไปเมื่อน้องท่านอภิเษกไปอยู่หงสาแล้ว คงไม่มีโอกาสเล่นพิณให้ฟังอีก"
"การท่านเหมือนเมตตาข้า แต่ใยพูดบาดใจข้านัก ท่านไม่รู้หรือว่าข้าไม่ได้รักผู้ใด นอกจาก..."
อเทตยาพูดได้แค่นั้นก็ร้องไห้ดูน่าสงสาร มังฉงายเกิดความเอ็นดูยิ่งนัก ขยับเข้ามาจับมือปลอบแล้วเช็ดน้ำตาให้
อเทตยาเผลอใจก้มลงจูบนิ้วมือมังฉงายทีละนิ้ว
"ถึงข้าพเจ้าจะเป็นของผู้อื่น แต่จะไม่มีชายใดอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า…นอกจากท่าน"
ก่อนจะเตลิดกันไป สอพินยาก็เดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี จึงโมโหเลือดขึ้นหน้า ตรงดิ่งเข้าหาทันที
"ตะละแม่อเทตยา เจ้าคือคู่หมั้นเรา ไฉนปล่อยให้เจ้าขุนวังมาทำจ้วงจาบในที่รโหฐาน จะสมคบกันละเมิดกฎมณเฑียรวังรึ"
มังฉงายโกรธจัด
"หุบปาก…เป็นชายชาตรีอย่าหมิ่นอิสตรีถึงขั้นนี้"
สอพินยาโกรธมากดึงกริชคู่ที่เหน็บเอวออกมา มังฉงายถอยออก
"วันนี้เป็นวันตายของมึงแล้ว สงสารแต่พี่สาวตะเบ็งชะเวตี้เท่านั้นแหละที่จะเป็นม่ายอยู่ตองอู"
สอพินยาโถมเข้าใส่มังฉงายไม่ยั้ง อีกฝ่ายพยายามป้องกันตัวเองเต็มที่ อเทตยาเข้าขวาง
"ท่านอุปราชอย่า อย่าทำร้ายท่านมังฉงาย ท่านหมิ่นเราก่อน ยังจะใช้อาวุธประหารเขาอีกหรือ"
"อย่าเจรจา…ถอยไป"
สอพินยาไม่ฟังเสียงผลักอเทตยากระเด็นไป แล้วตรงเข้าฟาดฟันมังฉงายอุตลุด
"นี่หรือชายชาติทหารหงสาวดีที่เราจะถวายชีวิต หาเกียรติไม่ได้เลย"
มังฉงายสู้พลางถอยพลาง ฉุดอเทตยาวิ่งออกไป สอพินยาไล่ตาม
กุสุมากำลังทรงงานกับนางข้าหลวงเห็น อเทตยาวิ่งมาหาก็ตกใจ มังฉงายฉุดอเทตยาถอยมาไม่อยากมีเรื่อง
"พี่นางช่วยมังฉงายด้วย อุปราชสอพินยาหมายเอาชีวิต"
สอพินยาถือกริชวิ่งตามมา ไม่เคยเจอกุสุมามา ก่อนจึงไม่สนใจ แล้วบุกเข้าแทงจะเด็ดต่อทันที กุสุมาเป็นห่วงวิ่งเข้ามาขวาง
"หยุด...มังฉงาย สู้กันในเขตพระราชฐานมีโทษถึงประหารนะ"
สอพินยาบุกอย่างไม่ยั้งคิด ตะลุยอย่างไม่กลัวว่าจะโดนกุสุมา มังฉงายห่วง ดึงกุสุมาหลบ
สอพินยาใช้กริชแทงสวนเข้ามา มังฉงายโดนแทงเข้าแขน
"ท่านอุปราช… ใช้อาวุธทำร้ายสตรีโลกจะประฌามไม่จบ"
ทหารวัง 2-3 นาย วิ่งเข้ามาเห็นตกใจ
"พวกท่านทำอะไร มีเหตุวิวาทอันใดกัน"
สอพินยาตกใจ สำนึกได้ แต่ยังถือกริชอยู่ในมือ
ภายในอุทยานหลวง เมืองแปร ทุกคนหมอบเฝ้าอยู่ สอพินยามองกุสุมาไม่วางตา ส่วนจะเด็ดทำแผลแล้ว
พระเจ้านรบดีพักตร์บึ้ง ถามอย่างไม่พอใจ
"มีใครจะเป็นผู้แจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับเราได้บ้าง"
สอพินยาสะดุ้งเพราะไม่ได้ตั้งใจฟัง และไม่กล้าพูดความจริง
"ข้าพเจ้า...กับ..."
อเทตยากลัวเรื่องลุกลามบานปลายถึงประหาร จึงกล่าวว่า
"ท่านอุปราช ขอประลองอาวุธกับท่านมังฉงาย เป็นการผ่อนคลายประสาชาย ข้าพเจ้ากับพี่นางเข้าล้อมดูขวางทางจนท่านมังฉงายโดนคมกริช"
1
มังฉงายไม่อยากให้เรื่องลุกลาม
"ข้าพเจ้าอ่อนเชิงเอง ในเพลงอาวุธสั้นข้าพเจ้ายังไม่สันทัด จึงกราบทูลให้พระอนุชาทรงช่วยสอนให้"
พระเจ้านรบดีเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงก็ยิ้มออก
"ทำไมไม่ไปซ้อมกันที่โรงทหารให้เป็นเรื่องเป็นราว ทหารแปรจะได้เห็นเป็นบุญตาด้วย"
"ก็…กับมังฉงายสนิทสนมกันตอนอยู่ตองอู เลยเล่นกันสนุกๆ ไม่ได้หวังให้เป็นการใหญ่...แม่นางผู้นี้มาขวาง จึงทำให้พลาดโดนขุนวัง"
สอพินยาจ้องมองกุสุมาตาไม่กระพริบ
อัครเทวีพูดกับพระสวามี
"ท่านอุปราชยังไม่รู้จักลูกหญิง"
"ท่านอุปราชไม่เคยพบกุสุมา จำน้องคงไม่ได้ อาหมายจะนำเข้าเฝ้าในวันเพ็ญคืนเลี้ยงฉลอง"
กุสุมามองสอพินยาแล้วไหว้ทำความเคารพ สอพินยายิ้มให้อย่างพอใจ ตะละแม่ไม่พอใจสายตาคู่นั้นของสอพินยา จึงหาทางเลี่ยง
"ท่านพ่อ ขุนวังคงยังไม่ปกติ น่าจะให้ไปพักก่อน"
"ไปเถอะท่านขุนวังมังฉงาย"
มังฉงายถวายบังคมเดินออกไปกับเหล่านางข้าหลวง
อัครเทวีบอก
"น้องหญิงกุสุมาถามถึงพระอนุชาอยู่เสมอว่าวันใดจะได้เข้าเฝ้า"
สอพินยาใจพองโต ไม่ได้สนใจใครอีก นอกจากกุสุมา
ในเรือนหลวงสอพินยา เมืองแปร สอพินยานอนเคลิ้มฝันถึงกุสุมา สอพินยานัยน์ตาเป็นประกายวาววาบขึ้น
"ตะละแม่กุสุมา พระธิดาแห่งแปร ข้าไม่เคยพบมาก่อน"
"พระอนุชาท่านถือกำเนิดในร่มเศวตฉัตร" ไขลูทอดเสียง
สอพินยาเหล่มองไขลู
"ก็ใช่นะสิ พูดทำไม"
"คู่อภิเษกหงสาวดีแค่หลานหลวง แต่ตองอูกลับยกพระธิดาให้"
สอพินยาขยับตัวลุกทันที
"หมายความว่าเจ้าลุงหยามหงสาวดี"
ไขลูบอก
"ไม่สมพระเกียรติสักนิด พระอนุชาอย่ายอมแปร"
สอพินยาสีหน้ายิ้มค่อยๆหมองลงทีละน้อย
"งั้นจะทำยังไงจะไม่ผิดประเพณีเดิม"
"ไม่ใช่เรื่องยาก ก็หาทางให้ตะละแม่กุสุมาระแวงรักไอ้จะเด็ดเรื่องตะละแม่อเทตยาเสีย เรื่องระแวงรักผู้หญิงทุกชนชั้นจะไม่ผิดกัน"
วันใหม่ สนามประลองตองอู มังตราประทับอยู่บนพลับพลาสีหน้าไม่พอใจมาก เมื่อเห็นเหล่าทหารกำลังซ้อมอาวุธกันอย่างขมักเขม้น ตองหวุ่นญีกับจิสะเบงยืนอยู่ใกล้ๆ
"ท่านจัดเตรียมทัพได้ถึงขนาดนี้ ทำไมถึงบอกว่า ยังไม่พร้อมยังจะต้องรออะไรอีก"
"ข้าพเจ้าคิดว่า เราควรจะส่งคนลอบไปสืบความกับท่านจะเด็ดอีกสักครั้งว่า เมืองแปรมีการตั้งรับสถานการณ์อย่างไร"
"ไม่ต้อง ท่านร้างการศึกมานานจนไม่กล้าเสียแล้วหรือ ถึงให้ความสำคัญเจ้าจะเด็ดปานนี้ และต่อแต่นี้ไปห้ามผู้ใดเอ่ยชื่อเจ้าจะเด็ดทรยศให้เราได้ยินอีก หาไม่จะถูกลงทัณฑ์ขั้นอุกฤษฏ์โทษจำไว้"
จิสะเบงบอก
"ขออภัยต่อบิดาข้าพเจ้าเถิด ท่านผูกพันต่อเจ้าจะเด็ดจนลืมไปว่า การศึกนั้น ไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวมาพิจารณาให้ไขว่เขว ข้าพเจ้าขอถวายสัตย์ต่อพระเจ้าอยู่หัวแทนบิดาว่า จะนำทัพตองอูขยี้แปรตามพระบัญชาด้วยชีวิต"
มังตรามองอย่างเหยีดหยาม
"ท่านแม่ทัพตองหวุ่นญี ข้าว่าการศึกครั้งนี้ ไม่เหมาะกับขุนพลชราเสียแล้วกระมัง ท่านจิสะเบง ข้าจะแต่ง
ตั้งท่านเป็นขุนพลที่ปรึกษาในการศึกครั้งนี้ บางทีวัยหนุ่มอย่างเราเท่านั้น จะหารือกันได้ทันใจ ได้ฤกษ์เมื่อไหร่เราจะยกทัพบุกแปรทันที"
จิสะเบงยิ้มถวายบังคมรับ ตองหวุ่นญีหน้าสลดพูดไม่ออก
นันทวดีสีหน้าเป็นทุกข์ เข้าเฝ้าจันทราอยู่ในตำหนัก
"เพลานี้พระเจ้าอยู่หัวประชุมการศึกเมืองแปรทุกวัน พระองค์ทรงมีแต่ความแค้นท่านจะเด็ด ขุนนางแม่ทัพผู้ใหญ่กล่าวทัดทานก็ไม่ฟัง ข้าพเจ้าเกรงว่าศึกใหญ่ครั้งนี้จะขาดความรอบครอบ มีพี่นางผู้เดียวในเพลานี้ที่จะเตือนสติพระเจ้าอยู่หัว"
"เราเป็นหญิงไม่เคยยุ่งเรื่องราชการเมือง ถ้าพระองค์ตัดสินพระทัยแล้ว เราจะออกความเห็นค้านได้อย่างไร ซ้ำ..จะถูกประฌามว่า เอนเข้าข้างจะเด็ดพี่ท่าน"
"แต่การศึกครั้งนี้ผิดธรรมชาติ แม่ทัพไม่มีใจ ผู้สนับสนุนก็เป็นขุนพลหนุ่มร้อนวิชา ถ้าเกิดการเพลี่ยงพล้ำ คนตองอูต้องสะเทือนใจทั้งแผ่นดิน เพลานั้นเราจะเสียใจว่า เกิดเป็นหญิงตองอู แต่ไม่ได้ทำการอะไรเลย"
จันทราสีหน้าครุ่นคิดหนัก
ภายในตำหนักฝ่ายใน ตองอู มังตรายืนหน้าบึ้งไม่พอใจ…จันทรากับนันทวดีนั่งบนตั่งห่างออกไป
"จะเด็ดมันทำกับข้าพเจ้ากับพี่หญิงหนักหนาถึงเพียงนี้ พี่หญิงยังจะมาขอให้ข้าพเจ้าปรานีมัน พี่หญิงห้ามเพราะยังสวาทมันจนไม่ลืมหูลืมตา ขอพี่หญิงตัดใจจากมันเสีย นับแต่นี้ ความเกี่ยวดองระหว่างตองอูกับเจ้าจะเด็ดได้สิ้นสุดลงแล้ว จะมีแต่การคิดล้างผลาญกันเท่านั้น"
จันทราสีหน้าสงบนิ่ง พยายามข่มใจให้เป็นปกติ
"ผู้ใด…แม้รักเคารพปานใด หากคิดคดต่อตองอูต้องถูกประหาร พี่นี้ไม่เคยอาลัย แต่เสียใจที่ถูกน้องท่านกล่าวหาว่า พี่คัดค้านเพราะความสวาทส่วนตัว อย่าว่าแต่จะเด็ดเลย แม้ชีวิตพี่ พี่ก็ปลิดได้เพื่อตองอู แต่ที่มาพูดการนี้เพราะพี่เป็นห่วงราษฎร และพระเกียรติยศน้องท่าน"
มังตราหน้าเข้ม นิ่งขึงอยู่ นันทวดีรีบพูดเสริม
"เมืองแปรมีภูมิประเทศยากแก่การโจมตี อย่าด่วนเอาแต่ความแค้นเป็นใหญ่ ไตร่ตรองผลได้ผลเสียของการรบด้วยเถิดพระองค์ท่าน"
"หยุด...ท่านใช่ไม๊ที่ไปยุพี่นางให้มาเจรจา จะช่วยพี่นางปรามาสเราหรือ"
นันทวดีจำต้องนิ่งเงียบ หันมามองจันทราให้พูดต่อ
"ตองอูเพิ่งผลัดแผ่นดินร้างศึกมานาน พอน้องท่านขึ้นประทับใต้เศวตรฉัตรไม่ทันไร ก็จะเร่งยกทัพ ถ้าการทหารเราไม่พร้อม รบแพ้เมืองแปรเสียแต่แรก หัวเมืองอื่นจะหมิ่นตองอูจนสุดแผ่นดิน"
มังตราได้ยินคำว่าแพ้ก็ฮึดฮัด นันทวดีอึดอัดอยากจะช่วยพูด แต่ไม่กล้า
"ก่อนยกไป ขอตรองให้จงหนัก อย่าฮึดเอาโดยความพยาบาท"
มังตรา ลุกพรวดทันที พูดเสียงเย้ย
"พี่นางฉลาดนักนะ ท้วงข้าพเจ้าไม่ให้ยกทหารเหยียบเมืองแปร เพราะเกรงไอ้คนรักจะเป็นอันตราย เพียรยกแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อม เห็นน้องท่านเป็นอีกา จึงขู่ด้วยลูกธนูอย่างนี้ ข้าพเจ้าขอบอกวันเพ็ญเดือนหน้า ทันทีที่พระจันทร์เต็มดวง ข้าพเจ้าจะยกทัพบุกแปรทันที"
มังตราพูดแรง เร็วด้วยอารมณ์โกรธจัด แล้วปึงปังออกไปทันที
จันทรานั่งนิ่งสนิท พยายามสะกดกั้นอารมณ์ นันทวดีลุกเดินมาจับแขนเบาๆ ด้วยสีหน้าเห็นใจ
"ข้าพเจ้าขอเดาใจจะเด็ดพี่ท่าน หากมังตรายกทัพไปถึงแปร พี่ท่านจะต้องออกมาเฝ้าแน่นอน และมังตรายามโกรธไม่มีวันไตร่ตรองถึงเหตุอื่น คงจะจับจะเด็ดลงทัณฑ์ถึงตายเป็นแน่ จะแก้ไขได้อย่างไร"
นันทวดีได้ยินก็ตกใจ และวิตกมาก
"ต้องหาคนไปห้ามจะเด็ดท่าน ไม่ให้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวมังตรา"
จันทราบอก
"ผู้ใด…เพลานี้ยังจะมีผู้ใดภักดี ยอมตายเพื่อจะเด็ดพี่ท่านอีก"
ภายในตำหนักจันทรา กันทิมาหมอบอยู่ใกล้ๆจันทรา มีนางข้าหลวงที่ไปตามเฝ้าอยู่ห่างๆ
"งานครั้งนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของคนผู้หนึ่ง แต่การตายของคนผู้นี้… ตายเพราะความจงรักภักดี ถ้าไม่แก้การนี้ต่อไป ภายหน้า...วงศ์เมงกะยินโยเราจะถูกดูหมิ่นไม่รู้จบ เราจึงหวังจะพึ่งท่าน"
กันทิมาฟังตั้งใจทุกคำ
"และอีกประการหนึ่ง คนผู้นั้นมีราคายิ่งกว่าราคาชีวิตของเรา ท่านเองก็รู้จักดี เขาคือจะเด็ด"
กันทิมาสะท้านไปถึงหัวใจ รีบก้มหน้า แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นกลักเงินฉลุสวยงามลอยอยู่ตรงหน้า เหมือนที่คอจะเด็ด จันทราเปิดกลักเห็นดอกไม้แห้ง
"ตั้งแต่จะเด็ดแซมผมให้ ข้าไม่เคยสลัดทิ้ง เก็บถนอมไว้อย่างดี หากจะเด็ดเห็นคงรู้ว่าท่านไปจากข้า แจ้งการใดคงไม่ขัด แต่หากจะเด็ดท่านเห็นว่า ธิดานรบดีมีค่าเกินเรา ขอจงนำกลักผมของเราที่เคยมอบให้จะเด็ดคืน จะเด็ดจะได้เริงรักกับธิดาพระเจ้าแปรให้เต็มที่"
กันทิมากั้นสะอื้น หูอื้อไม่ได้ฟังอะไรอีก
"อย่าหาว่าใช้ท่านเกินหญิง หากรู้ว่า ท่านมีฝีมือขั้นหนึ่งแล้ว ท่านเป็นลูกครูดาบตะคะญี เราเชื่อว่า ครูตะคะญีต้องฝึกปรือให้ท่านเหมือนฝึกปรือลูกชายเช่นกัน"
กันทิมา ปลอมตัวเป็นชายชื่อ "นาคะตะเชโบ" ระหว่างการเดินทางจากเมืองตองอูไปเมืองแปร ตลอดทั้งคืน นาคะควบม้า มองตรงไปข้างหน้า ผ่านเทือกเขา แม่น้ำ ป่า ทุ่ง
วันใหม่ เมืองแปร บรรยากาศตลาดกลางเมืองดูพลุกพล่าน เห็นชาวเมือง พ่อค้าต่างพากันมุงดูการแสดงอยู่อย่างสนใจ นาคะตะเชโบในชุดชนเผ่าผสมหนังสัตว์คล้ายๆจีน ผมเกล้าโผกหัว กำลังร่ายรำเพลงดาบ คนสนใจทยอยเข้ามาดูเรื่อยๆจนเต็มไปหมด นาคะรำอย่างปล่อยลวดลาย คนมุงดูทุกคนชื่นชอบมาก
บริเวณนั้น สอพินยาเดินมากับไขลู เห็นคนมุงดูก็ตามเข้าไปดูบ้าง นาคะตะเชโบกำลังรำฉวัดเฉวียน เห็นดาบหมุนแหวกอากาศ มีเสียงดังกระหึ่ม ประกายจากดาบวิบวับแสบตา
กรมการเมืองแปร 2 คนยืนดูชอบใจอยู่ นาคะตะเชโบรำเสร็จ ไหว้ไปรอบๆ
"ข้าพเจ้าเป็นคนแดนไกล จึงรำอาวุธแลกเบี้ยจากท่านเพื่อซื้อหาอาหารประทังชีวิต ขอท่านเมตตาด้วย"
ผู้ชมโยนเบี้ยลงบนผ้าวางแบอยู่ที่พื้น เรื่อยๆจนมากพอควร นาคะก้มลงเก็บชายผ้า 4 มุม ไขลูวางแท่งเงินลงมา 5 แท่ง นาคะตะเชโบเงยหน้ามองแปลกใจ
"ข้าพเจ้าขอรับแค่ 5 เบี้ย10 เบี้ยก็พอเพียงแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นเราขอแลกกับดาบเล่มนั้น ถ้าไม่พอเราจะให้อีกจนพอ"
นาคะตะเชโบเริ่มหน้าตึง
"เป็นชายออกปากซื้ออาวุธถือว่าหยามกัน เก็บเงินของท่านไปเสียเถอะ"
นาคะตะเชโบเอาดาบพันรอบเอว ผู้คนร้องฮือขึ้นพร้อมกัน
"ตัวเจ้า...เบี้ยจะหาใส่ปากใส่ท้องยังไม่มีติดตัว ถึงกับต้องขอทานกลางตลาด ยังจะหมิ่นเงินเราอีกหรือ" (ดาบของกันทิมาหรือตอนนี้ได้ปลอมตัวโดยใช้ชื่นาคะตะเชโบ มีความพิเศษตรงที่สามารถงอแล้วพันรอบเอวได้ ถือว่าเป็นดาบที่ยิดหยุ่นแต่ยังแฝงไปด้วยความคม)
นาคะตะเชโบเลือดขึ้นหน้า
"ข้าเป็นขอทานแต่ก็ยังเจรจาอ่อนน้อมกับคนทั้งปวง แต่ตัวเจ้านุ่งห่มเป็นผู้ดีเสียเปล่า แต่วาจานั้นแม้ว่าสุนัขพูดภาษาคนได้ คงจะพูดได้ไพเราะกว่าเจ้าด้วยซ้ำ ดาบของเราเราไม่ขาย แต่ถ้าเมื่อคนเดนตายอยากได้นัก ก็เอาหัวมาแลกไป"
ไขลูสบัดดาบออกมา
"กูเป็นคนเดนตาย แต่คนตายน่ะคือมึง"
ไขลูชักดาบออกจากฝักทันที นาคะตะเชโบสลัดดาบออกจากเอว คนทั้งปวงร้องฮือ ฉับพลันไขลูฟาดดาบเปรี้ยงลงทันที อีกฝ่ายไม่มีท่าทีตกใจ ยกดาบรับดาบไขลู ทั้งคู่ฟาดฟันกันอย่างน่าสนใจ ช่วงหนึ่งนางเสียทีถูกไขลูฟาดดาบใส่อย่างแรง ทำให้เซถลาล้มลง
สอพินยายืนมองดูพอใจ แต่ไม่แสดงออกนอกหน้านัก
"บุญของข้าแท้ๆที่ไม่เสียเงิน 5 แท่ง เป็นค่าดาบ"
นางตวัดดาบฟาด ไขลูรับพลางหัวเราะก้อง สองคนสู้กัน นาคะพยายามสู้ด้วยแรงใจ แต่แรงกายนั้นจะหมดแล้ว ไขลูฟาดซ้ายฟาดขวากิริยาราวยั่วประสาท ก่อนกระหน่ำนาคะจนล้มคว่ำล้มหงายอยู่ สอพินยาเผลอหัวเราะชอบใจเสียงดัง แต่ผู้คนทั้งหลายเงียบกริบ ไขลูได้ทีเงื้อดาบฟาดลง
มะจาเสือกดาบเข้ารับดาบไขลูไว้ พลิกกลับถีบจนไขลูกระเด็นหงายลงบนพื้น
"บ้านเมืองไม่มีขื่อแปรึ"
"เฮ้ย มึงอีกแล้วรึ"
ไขลูโมโหโผนเข้าใส่สุดแรงเกิด ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับ นาคะตะเชโบจ้องมอง มะจา แล้วดีใจที่เห็นพี่ชาย... จาเลงกะโบ
ไขลูเหงื่อเต็มหน้าเหนื่อย ส่วนมะจาทั้งฮึกเหิม ทั้งสดชื่นแข็งแรง ผู้คนเชียร์โห่ร้อง พนันขันต่อกันอย่างสนุกสนาน ไขลูหันมาสบตาสอพินยาแว๊บหนึ่ง เพื่อขอให้ช่วย สอพินยารู้ว่าฝ่ายตัวแพ้แน่ ไม่รู้จะทำอย่างไร
เสียงมังฉงายดังขึ้น
"หยุด…รามือได้แล้วมะจา"
มะจาหยุดหันไปมอง มังฉงายยืนกอดอกมองอยู่ ไขลูทำท่าจะไม่หยุด จะเข้าไปสู้ต่อ
"ข้า…ขุนวังสั่งให้หยุด ถ้าผู้ใดไม่ฟังจะได้เห็นดีกัน"
ไขลูหอบแทบหายใจไม่ทัน มหาดเล็กรีบวิ่งเข้าไปพัดวีให้ มะจายืนมองอย่างสมเพช
สอพินยายะโส
"ข้าเป็นผู้สั่งให้ไขลูจับมันเอง มันเป็นไอ้หัวขโมย แต่เพื่อนเจ้ามาขัดขวางช่วยขโมย"
มังฉงายสีหน้านิ่งไม่สะทกสะท้าน นาคะตะเชโบงง…
"ขโมยอะไร" มังฉงายถาม
"ดาบเล่มนั้น"
นาคะตะเชโบก้าวออกมาถาม
"อะไรนะ"
มังฉงายจับแขนนาคะตะเชโบดึงไว้เบาๆ มองสายตาปลอบโยน นางอ่อนระทวนลงทันที
"ดาบเล่มนั้นหายไปจากคลังพระแสงหงสาวดี" สอพินยาบอก
ไขลูรีบสวมรอย
"ใช่…ใช่แล้ว"
"ดาบชนิดนี้คนธรรมดาจะมีได้อย่างไรถ้ามันไม่ขโมยมา เราเอ็นดูอุตส่าห์ไม่เอาผิด เจรจาขอซื้อกลับคืน มันไม่ยอม ทำท่าจะหนีไขลูก็อุตสาห์ปลอบโยนให้คืนโดยดี มันกลับพูดจาก้าวร้าวโอหังต่อสู้ ไขลูจึงจำต้องสกัดไว้"
นาคะตะเชโบสีหน้าแค้นแทบระเบิด จ้องสอพินยา
"เอาล่ะ…เราไม่ชวนทะเลาะเอาผิดกับคนพาลดอก เอาแค่อายัดตัวกักขังฐานขโมยก็พอ"
มังฉงายนิ่งมองนาคะตะเชโบที่ทำจะท่าโต้ตอบรุนแรง
มังฉงายเสียงเข้ม
"ท่านมีหลักฐานอะไรว่าดาบนี้เป็นของท่านจริง"
นาคะตะเชโบโมโหสุดๆ มังฉงายชูดาบขึ้น พร้อมน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ดาบนี้ อยู่ๆท่านมาทึกทักว่า เป็นของหงสาวดี ก็หาหลักฐานมายืนยัน แค่มา... ชี้มือร้องว่าเป็นของตัว ใครๆก็ทำได้ ยากอะไร
สอพินยาขยับเข้าหา
"ชะ...ไอ้ปากดี"
มังฉงายก้าวออกไปกันนาคะตะเชโบไปด้านหลังด้วยทีท่าคุ้มกัน สีหน้าสงบนิ่ง แต่แววตาเอาเรื่อง สอพินยาหยุดชะงัก เข่นเขี้ยว กรมเมืองเข้ามาตรงหน้าขุนวังปรึกษา
"เห็นควรกักกันหนุ่มทวายผู้นี้ตามที่พระนัดดาสอพินยาขอ"
นาคะตะเชโบจ้องมองมังฉงายไม่พอใจ เพราะคิดว่ามังฉงายเข้าข้างสอพินยาแน่ ไขลูหัวเราะ
"ก็แค่นั้น เอาตัวมันไป"
กรมการเมืองเดินเข้าหานาคะตะเชโบ มังฉงายจับข้อมือกรมการเมืองทั้งสองไว้
"เดี๋ยว...ข้าพเจ้าขุนวังขอรับหน้าที่กักขังหนุ่มผู้นี้ไว้เอง ถ้าภายใน 30 วัน หงสาวดีหาหลักฐานไม่ได้ ข้าพเจ้าก็จำใจเหลือเกิน ต้องปล่อยไป"
สอพินยาหน้าเข้ม พูดไม่ออก แกล้งทำเป็นเดินผ่านนาคะตะเชโบ
"ก็ได้…ดีมาก เจ้าเป็นคนมีบุญนะที่ขุนวังเมตตา"
สอพินยาลูบหัวนาคะตะเชโบเบาๆ เป็นเชิงเอ็นดูแล้วตบอย่างแรงก่อนเดินลอยชายไป นางแค้นใจ ไขลูตามติดไปด้วยท่าทางผยอง ชาวเมืองทั้งหมดมองตาม อย่างเขม่นเข่นเขี้ยว
มังฉงายหันมายิ้มให้นาคะตะเชโบเหมือนปลอบใจว่านิดหน่อยช่างมัน เพราะนึกว่าเป็นผู้ชาย แต่พอนางสบตาจะเด็ด. ก็เกิดความอาวรณ์คิดถึงมากมาย แต่ไม่กล้าทำอะไร ได้แค่มอง
ลานหน้าประตูเมืองตองอู ขบวนช้างศึกของมังตรา เคลื่อนออกมาจากในเมือง มหาเถรมังสินธู ยืนอยู่บนประรำที่ช้างมังตราผ่าน
"มหาบพิตรฟังอาตมา ถ้ายังทรงคิดว่ายังเป็นพระอาจารย์"
มังตราอึ้งไป แต่ยังนั่งหน้ายังขุ่นอยู่บนช้าง
"อาตมา...จะรู้สึกเสียดายที่ได้เป็นอาจารย์จะเด็ด หากจะเด็ดทำการอย่างที่พระองค์ต้องการคือ หนีกลับตองอูเหมือนคนขี้ขลาดทั้งๆที่พระเจ้าแปรจับได้และยังได้ละเว้นชีวิตให้ ดังนั้นอาตมาจึงเห็นว่าจะเด็ดทำถูกแล้วที่ยอมอยู่ในแปร หมื่นแปร แสนแปรรัก ยังไม่เท่าความกตัญญูของมัน เจริญพรมหาบพิตร"
มังตราทั้งรักทั้งแค้น ทิฐิ ยกมือพนมไหว้มหาเถรมังสินธูแล้วไสช้างออกไป พระภิกษุชราพรมน้ำมนต์ให้อย่างเป็นห่วง มองตามอย่างไม่สบายใจ
ในเรือนขุนวังมังฉงาย เมืองแปร นาคะตะเชโบนั่งเหม่อลอยอยู่ มังฉงายเดินถือกระบอกน้ำเข้ามาให้ นางยกดื่ม จ้องมองไม่หลบตาเพราะปลอมกายเป็นผู้ชาย ทำดัดเสียงห้าว
"ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยประการหนึ่ง"
"อะไรหรือ"
"ท่านเป็นขุนวังชื่อมังฉงายแน่หรือ"
"ใช่ สงสัยอะไรหรือ"
"สงสัยว่า เหตุใดท่านขุนวังมังฉงายจึงเห็นแก่ความสุขอยู่เมืองแปรจนถึงกับลืมตองอูบ้านเดิม"
มังฉงายตะลึง ลุกขึ้นโดยแรงจนเก้าอี้กระเด็นไปดังโครม นางสะดุ้งสุดตัว
"ตัวเป็นใครมาถามเราอย่างนี้"
นาคะตะเชโบเงยหน้าจ้องเขม็ง มังฉงายตวาดซ้ำ ขยุ้มคอนางจนตัวลอย
"ฮะ…ถามว่า ตัวเป็นใคร"
"ข้าพเจ้าก็คือนาคะตะเชโบ คนเมืองทรางทวย แค่มีหัวใจสงสัยว่าขุนวังมังฉงายจะรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้ว่าพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้กำลังจัดขบวนทัพมุ่งหน้ามาสู่แปร"
มังฉงายจับคอเสื้อเขย่า ตวาดเสียงดัง
"อะไรนะ"
"พระเจ้าตะเบงชเวตี้กำลังจัดกองทัพ หมายยกมาชำระแค้นในตัวท่าน"
มังฉงายสีหน้าตกใจ
เส้นทางระหว่างตองอูถึงแปร ช้างศึกทรงเครื่องครบ ธงทิวปลิวไสว มังตราประทับบนกูบช้าง เต็มไปด้วยความแค้นจะเด็ด ตองหวุ่นญี แม่ทัพสีหน้าหนักใจนั่งบนกูบอยู่หน้ากองทัพช้าง จิสะเบง สีอ่อง คุมกองทัพม้าศึกมีแม่ทัพนายกองคุม ทุกคนแต่งตัวครบกระบวนศึก เนงบาคุมพลเดินเท้าเป็นหมื่นยืนถืออาวุธพร้อมมือ สีหน้าทุกคนฮึกเหิมอยากออกศึก
ในเรือนขุนวังมังฉงาย นาคะตะเชโบยื่นกลักเงินของตะละแม่ให้จะเด็ด
"ถ้าท่านคือ จะเด็ดแห่งตองอู ข้าขอมอบกลักนี้แก่ท่าน"
จะเด็ดตกใจ รับมาดูด้วยความคิดถึง
"ท่านนำมาจากที่ไหน"
นางเล่าด้วยท่าทางตั้งใจ
"แม่หญิงคนหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าได้ช่วยพวกนางต่อสู้ไล่พวกปล้นไป แต่นางผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสจึงฝากความมาถึงท่าน"
นาคะตะเชโบเว้นอึดใจ แล้วพูดต่อเสียงชัดเจน
"นางบอกข้าชื่อกันทิมา เป็นข้าหลวงตะละแม่จันทรา"
มังฉงายยิ่งตกใจหนัก... "กันทิมา"
นาคะตะเชโบพยายามกั้นความสะเทือนใจ
"ใช่…นางสั่งว่าแสดงกลักนี้ต่อท่าน แล้วให้แจ้งข้อความจากตะละแม่จันทราที่เป็นทุกข์ ถึงท่านอย่างหนักว่า ถ้าทัพตองอูยกมาถึงแปร ขอท่านอย่าออกไปพบพระเจ้าอยู่หัวมังตรา เพราะพระองค์กำลังแค้นที่ท่านมาสำเริงสำราญอยู่เมืองแปร เกรงจะโดนลงทัณฑ์ถึงประหาร"
จะเด็ดกัดฟันแน่น
"ตะละแม่รักท่านสุดแสนรัก จึงไม่กล้าชักชวนให้ทิ้งแปรกลับตองอู เพราะสำหรับท่านเมืองแปรคงเหมือนสวรรค์ จึงขอคืนกลักงาจำหลักลายนี้มายังท่าน และขอรับกลักของตะละแม่ที่อยู่กับท่านคืนด้วย"
จะเด็ดฟังอย่างตั้งใจทุกคำ
"อย่าว่าแต่ท่านจะเอาของสำคัญไปจากเราเลย แม้แต่ภิกษุผู้ครองผ้า…ถ้าบังอาจมาแย่งของนี้ เราจะไม่เกรงบาปฐานทำร้ายสาวกของพระพุทธองค์ดอก"
นางฟังแล้ว แอบน้อยใจ
มังฉงายยืนนิ่งถือกลักเงินมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
นาคะตะเชโบนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป มังฉงายบอก
"ท่านกลับไปแจ้งแก่แม่นางกันทิมาเถิดว่า ข้าจะเก็บกลักเงินนี้ไว้นำไปคืนแก่ตะละแม่จันทราเอง"
นางลุกขึ้นจะเดินออกไป
"นาคะตะเชโบ... แม่นางกันทิมาที่เจ้าช่วยไว้จากภัยโจรนั้น ข้าพเจ้ามีใจเอ็นดูนางยิ่งนัก นางจะปลอดภัยหรือไม่ บาดแผลสาหัสเพียงใด ข้าพเจ้าห่วงนางเหลือเกิน"
นาคะตะเชโบยิ้มออก
"นางปลอดภัยแน่"
จะเด็ดยิ้มให้อย่างดีใจ
พระเจ้าแปรนรบดี ประทับอยู่บนสีหาสนบัลลังก์ สีหน้าทุกหนัก มังฉงายกราบทูล
"ทัพตองอูยกพลมาครั้งนี้หมายบดขยี้แปรไม่ให้เหลือ หากเมืองแปรไม่อยากรบให้เดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป ควรจะผูกมิตรไมตรีกันไว้"
ขุนนาง มองหน้ากันไปมา
ปะขันหวุ่นญีบอก
"แค่ลิ้นสองนิ้วที่ยังไม่ทันจะระเหยกลิ่นน้ำนมของแม่เจ้าจะมาเป็นทูตเจรจาขู่เอาเมืองแปรไปให้ตองอูเชียวหรือ"
บรรดาขุนทหารฮือฮาเห็นด้วย
รานองนิ่งเฉย มองอย่างรอบคอบ
"ท่านน้าปะขันหวุ่นญีก็เจริญด้วยอายุแล้ว ทำไมจึงมาพูดอย่างนี้ ข้าพเจ้าว่าลิ้นของท่านน้าเป็นประโยชน์แก่เมืองแปรน้อยกว่า ลิ้นไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของข้าพเจ้าเสียอีก"
ปะขันหวุ่นญีหน้ามืด โดนว่าอย่างแรง จะขยับตัวปะทะฝีปาก มังฉงายรีบพูดต่อ
"ท่านน้าให้อภัยเถิด ข้าพเจ้าขอเตือนให้ประมาณกำลังศึกดูให้ดี ทัพตองอูยกมาครั้งนี้เหมือนน้ำเหนือไหลแรงจัด แปรถึงจะเป็นต้นไม้ใหญ่ มาขวางทางน้ำอย่างนี้มีหรือจะทานได้ รังแต่จะถูกถอนทั้งรากทั้งโคน"
ทุกคนนิ่งอึด
พระเจ้านรบดีบอก
"คำพูดเจ้า หากเราเป็นสตรีสิบางทีจะยอมฟังคำ อย่านึกว่าเราจะขอทำไมตรีเป็นเมืองออกแก่ตองอูอย่างคนสิ้นคิด หมิ่นแม่ทัพตัวเอง"
"ข้าพเจ้าไม่ได้หมายจะให้พระเจ้าอยู่หัว นำเมืองแปรไปยกให้ตองอู ข้าพเจ้าเป็นชายรักศักดิ์ชาย ไหนเลยจะไปแนะชายอื่นทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง แท้จริงตองอูหวังตีเมืองอังวะและเมืองหงสาวดี "
มังฉงายมองสอพินยาที่ขยับตัว แล้วพูดต่อ
"แต่จะยกไปตีสองเมืองนั้น ก็เกรงเมืองแปรที่อยู่ใกล้ตองอูจะเข้าปล้นตลบหลัง ฉะนั้นถ้าพระเจ้าอยู่หัวจะให้สัตย์แก่พระเจ้าตะเบ็งชะเวงตี้ว่า ถ้าตองอูยกไปตีบ้านเมืองใด แปรจะไม่ทรยศแอบเข้าปล้นเมือง เมื่อนั้นพระเจ้าตะเบงชเวตี้ คงจะเลิกทัพกลับตองอูเป็นแน่"
ทุกคนนิ่งฟัง หน้าตรึกตรอง
"ราชสำนักเมืองแปร สิ้นคนดีมีปัญญาแล้วหรือ ไส้ศึกมาพูดพล่อยๆ ยังอุตส่าห์สำรวมฟัง ไม่เห็นหรือว่าพระเจ้าเมืองตองอูเป็นคนใจบาปหยาบช้า จ้องแต่จะระรานเมืองอื่น หากเมืองแปรเอออวยก็เท่ากับยื่นมือไปทำบาปร่วมกัน แม้ตองอูจะยิ่งใหญ่ด้วยกำลังพล แต่หงสาวดีของหลานหรือจะใจดำไม่ส่งคนมาช่วย วิสัยชายชาติทหารแห่งหงสาวดี ถึงคราวตาย ก็ขอตายอยู่บนอานม้าให้คนสรรเสริญ ดีกว่านั่งอยู่บนบัลลังก์ให้คนสาปแช่ง เย้ยหยัน" สอพินยาบอก
"อนิจจา สอพินยา"
สอพินยาเลือดขึ้นหน้า
"มึงไม่ต้องมาทำเสียงเวทนากู"
"ท่านอุปราชสอพินยาฟังคำท่านก็รู้ว่า ท่านเรียนตำราพิชัยสงครามมา แต่ข้าพเจ้าคะเนว่าท่านเรียนได้ถึงครึ่งหรือเปล่ายังสงสัย"
สอพินยาหน้าเปลี่ยนสี มังฉงายพูดต่อ
"เพราะวิสัยผู้เจนจบในสงครามย่อมรังเกียจการทำสงคราม จะพึงทำก็ต่อเมื่อไม่เห็นทางออมชอมกัน ชนะศึกจะได้เป็นกษัตริย์ แต่บำรุงสุขราษฎรจะได้เป็นมหาราชา"
สอพินยา ฮึดฮัดจะเถียง มังฉงายรีบพูดต่อ
"ข้าพเจ้าไม่อยากให้แปรสูญเสีย เพราะรู้คุณพระเจ้าแปร คนเมืองแปรตายลงสักสิบหมื่น ท่านจะวิตกเท่าเสียทหารหงสาวดีเพียงร้อยคนหรือ"
สอพินยาลุกขึ้นเผ่นโผนเข้าหามังฉงาย มีไขลูส่งตัวอยู่ด้านหลัง ขุนนางทั้งหลายช่วยกันจับ ขณะที่มังฉงายนั้งนิ่งเป็นสง่า
"ไม่จริง…อย่าไปฟังมัน มันกำลังใช้ลิ้นยุยงให้แปรกับหงสาวดีแตกกัน"
มังฉงายหรี่ตามอง
"ข้าพเจ้ารู้ความคิดในหัวท่าน"
"พระเจ้าลุง แปรจะเสียเมืองเพราะความเจ้าเล่ห์มัน จับมันบั่นหัวเถิด"
มังฉงายเสียงดัง ชัดเจน มีกังวาน
"ท่านเองก็หวังจะยืมมือทหารเมืองแปรป้องกันหงสาวดี ท่านกลัวว่า ถ้าตองอูกับแปรรวมกัน หงสาวดีจะเป็นอันตราย"
ทุกคนเงียบสนิท
สอพินยาฮึดฮัดแต่ไม่กล้าทำอะไร เพราะไขลูสะกิดแล้วปรามด้วยสายตา
อุปราชรานองกับพระเจ้านรบดีมองตากันอย่างหนักใจ มังฉงายจ้องมองสอพินยาอย่างท้าทาย
ระหว่างทุ่งกว้างในหุบเขา ขบวนทัพตองอูเดินมาเต็มทุ่ง มังตรามุ่งมั่นจะเอาชนะ สีหน้าเครียดแค้นอย่างมาก
เวลาเย็นในเรือนขุนวังมังฉงาย กุสุมากราบลงที่ตักมังฉงาย กอดแล้วเอนกายเข้าแนบอก
"การมาเยี่ยมท่านนี้ข้าพเจ้าละอายใจนัก ที่ต้องพาความเจ็บช้ำมาขอท่านให้มีใจเอื้อต่อแปร หากแม้นข้าพเจ้าเป็นชายจะไม่เอ่ยให้ระคายใจตัวเอง จะขอออกรับศึกยอมตายให้คนสรรเสริญ"
กุสุมากุมมือมังฉงายขึ้นมาจูบ จ้องหน้า มังฉงายเสียงสั่นอย่างพยายามอดกลั้นอารมณ์
"ฟังคำข้าพเจ้าไว้ให้ดี"
กุสุมาหน้าเสีย สังหรณ์ใจว่า คงไม่สำเร็จ แต่ฝืนยิ้มสู้
"ข้าพเจ้านี้เป็นคนรักชีวิต และเมื่อรักท่านก็รักยิ่งกว่าชีวิต"
กุสุมาหน้าเสียลงตามลำดับ
"แต่ทั้งชีวิตท่านและชีวิตข้าพเจ้ารวมกัน ข้าพเจ้ายังรักน้อยกว่าตองอู สาเหตุมีเพียงอย่างเดียว เพราะข้าพเจ้าเกิดเป็นคนตองอู ฉะนั้นอย่าพยายามเลยกุสุมา"
กุสุมาหน้าเริ่มถอดสี
"ศึกครั้งนี้..ถ้าตองอูชนะข้าพเจ้าจะขอนิ่งดู แต่ถ้าทัพพระเจ้าอยู่หัวตะเบงชะเวตี้เป็นรองเมื่อใด ข้าพเจ้าจะลอบนำทหารไปปกป้อง แล้วจะยอมกลับมาให้พระเจ้าแปรฆ่าเสีย โทษฐานเป็นคนทรยศ"
กุสุมาพยายามระงับอารมณ์
"กุสุมา…รักสตรีนั้นรักได้หลายนาง แต่รักเมืองมาตุภูมินั้นรักได้เมืองเดียว"
กุสุมาร้องไห้เสียใจ จะเด็ดจึงดึงเข้ามากอดไว้
ภายในท้องพระโรงฝ่ายใน เมืองแปร กุสุมานั่งก้มหน้านิ่ง พระเจ้านรบดีเดินหน้าเครียด อัครเทวีหมดกำลังใจ
รานองบอก
"ถ้าการเป็นอย่างนี้เราจะให้จะเด็ดลอยนวลอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้นิสัยหนุ่มตองอูผู้นี้ดี เขาต้องทำอย่างที่ลั่นวาจา ข้าพเจ้าขออำนาจสั่งกุมตัวจะเด็ดไปไว้ในคุกแต่เดี๋ยวนี้"
กุสุมาตกใจ ร้องไห้
"ทำไมเกิดเป็นธิดาพระเจ้าแปรถึงมีกรรมเพียงนี้ สมเด็จพ่อบังคับให้ลูกรักกับขุนวัง เมื่อรักแล้วก็จะจับคนรักไปต้มไปยำด้วยเรื่องของการศึก ลูกเสียใจนัก ทำไมไม่แลกกับชีวิตลูกเสียเอง"
พระเจ้าแปรตวาด
"พึ่งผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้ ถือเรื่องของหัวใจเป็นใหญ่กว่าแผ่นดินเรา อดสูใจจริงๆ"
รานองพูดติดๆขัดๆ
"กฎสงคราม…ผู้ใดไม่สามิภักดิ์ต่อเราต้องประหาร"
"ถ้าชาวแปรคนใดถูกพระเจ้าตองอูชุบเลี้ยง แล้วไปสวามิภักดิ์กับพระเจ้าตองอู เราจะสรรเสริญว่าผู้นั้นเป็นคนดีหรือ" กุสุมาถาม
"แต่พ่อเป็นชาวแปรพ่อต้องทำเพื่อประโยชน์ของแปร"
พระเจ้านรบดีตอบแล้ว หันไปถามอัครเทวี
"ทำไมเราไม่มีลูกชายสักคน จะได้ไม่มีเรื่องแบบนี้"
กุสุมาร้องไห้เสียงดังบอก
"ไม่ยุติธรรมต่อลูกเลย"
"กุสุมา..พอได้แล้ว เกิดเป็นลูกกษัตริย์แต่หาใช่ลูก หากมีหน้าที่คอยรับใช้ใกล้ชิดใต้เบื้องพระยุคลบาท หาทางปัดเป่าทุกข์ถวายด้วยชีวิต เมื่อพระองค์สั่งให้รักก็ต้องรัก ถึงคราสั่งให้ชังก็ต้องชัง ก็แค่นี้...ไม่ต้องพูดให้ยาวความ" อัครเทวีบอก
กุสุมาไม่รู้จะเถียงอย่างไรจึงเอาแต่ร้องไห้…
โรงช้าง เมืองแปร จาเลงกาโบกำลังทำงานอย่างเพลิดเพลินอยู่ จู่ๆทหารเมืองแปรก็กรูกันเข้ามาที่โรงช้างตรงมาจับจาเลงกะโบไว้
"อะไรกัน...ปล่อย มาจับข้าพเจ้าทำไม ปล่อย"
จาเลงกาโบไม่ทันรู้ตัวจึงสู้ไม่ได้
นาคะตะเชโบเดินออกมาจากในเรือน กองทหารม้าแปรควบเข้ามาที่ลานบ้านเรือนขุนวังมังฉงาย มังฉงายรีบออกมาดู เห็นกองทหารม้ารีบเข้าล้อม
"พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้นำท่านเข้าเฝ้าโดยด่วน"
มังฉงายรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น… นาคะตะเชโบขยับชักดาบที่เอวออกมาเข้าช่วย ทหารคนหนึ่งตรงเข้าหา
"อย่า…ท่านนาคะตะเชโบ ไม่เกี่ยวกับท่าน...อย่า"
ทหารแปรคุมตัวมังฉงายออกไป
ภายในห้องขังเมืองแปร มังฉงายถูกลากตัวมา ทหารเปิดกรงจับมังฉงายโยนเข้าไป จาเลงกะโบถูกขังอยู่อีกกรงหนึ่งลุกขึ้นมาเกาะเสากรงในสภาพเหมือนกัน
"มังฉงาย… มังฉงายท่านเป็นอย่างไรบ้าง"
มังฉงายเดินมาเห็นจาเลงกะโบก็พูดอะไรไม่ออก
รานองยืนอยู่บนระเบียงคุกด้านบนมองและส่งเสียงลงมา
"แปรขอให้ท่านช่วยเพื่อเลี่ยงสงครามครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะตาขาว แต่ไม่ต้องการเห็นเลือดอาณาประชาราษฎร์นองแผ่นดิน ถ้าพระเจ้าตะเบงชเวตี้ต้องการได้บทเรียนการสงคราม เราก็ยินดีจะสอนให้ แต่น่าเสียดาย..พระเจ้าตะเบงชเวตี้ยังอ่อนเยาว์และอ่อนเชิง คงไม่พ้นมือแม่ทัพแปรกับแม่ทัพหงสาวดีรวมกันเป็นแน๋"
มังฉงายสุดแค้น โมโหที่เสียรู้ แต่ทำอะไรไม่ได้
ตอนที่5ก็ได้จบไปแล้ว หากท่านใดมีข้ออสงสัยหรืออยากติชม สามารถคอมเม้นต์ได้เลยนะครับ
ตอนต่อไปเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นอีกระดับอน่าลืมกดติดตามด้วยนะครับวันนี้ลง 3ตอนนะครับ
2. หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ประพันธ์โดย : โชติ แพร่พันธุ์
หรือเจ้าของนามปากกา “ยาขอบ”
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ ขอบพระคุณครับ
โฆษณา