18 เม.ย. 2020 เวลา 11:18 • ปรัชญา
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 7
พระจันทร์ลอยขึ้นเหนือหัว โสหันพวาควบม้าไปหาเมงฮลาแง, เมงกวงแฮ ที่คุมทหารยิงธนูอยู่
"เมงฮลาแง เมงกวงแฮ พระจันทร์ขึ้นตรงหัวแล้ว เจ้าสองคนรีบนำกำลังเข้าโจมตีทางประตูทิศใต้เถอะ ข้าอยากรู้ว่าเพื่อนเราจะทำตามที่สัญญาไว้หรือไม่"
เมงฮลาแง และเมงกวนแฮ นำกำลังโมนยินขี่ม้าแยกออกไปบางส่วน โสหันพวาหันไปสั่งพลหน้าไม้
"พลหน้าไม้ ยิงระดมเข้าไป ยิงลวงมันไว้"
สอพินยาพาอัครเทวีกับกุสุมามาถึงท่าเรือทิศใต้ ซึ่งเป็นคลองซอยเล็กๆ ไขลูและทหารติดตามวิ่งเข้าไปเข็นเรือออกมาจากพุ่มไม้
"ลงเรือเถิด เร็วเข้าน้องหญิง"
กุสุมาชะงัก
"เหตุใดไม่ใช้เรือหลวง ไม่มีพนักงานพายหรือ"
อัครเทวีดึงกุสุมาลงเรือไป
"โธ่เอ๊ยลูกแม่ โน่นมัจจุราชตามมาข้างหลัง อย่ามัวช้าไปเร็วๆ"
ไขลูบอก
"พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งไม่ให้ใช้เรือหลวงเป็นที่สังเกต จะได้หลบหนีง่าย"
"เห็นมั๊ย มาเร็วๆลูก"
สองคนลงเรือไป สอพินยาตาม ไขลูตาม ทำสัญญาณ เรือเคลื่อน ในเก๋งเรือ กุสุมาในแสงไฟที่วับแวม ทั้งกังวล ทั้งสงสัย ไม่แน่ใจ
บริเวณหลังคุก นาคะตะเชโบวิ่งเข้ามาซุ่มอยู่มุมหนึ่ง เห็นทหารแปรและผู้คุมตื่นเต้น วิ่งกันโกลาหล
นางหยิบลูกธนูขึ้นมาจุดไฟอย่างรวดเร็ว แล้วยิงไปที่ทิมดาบ ไฟลุกพรึ่บ ทหารพากันตกใจร้อง…” ไฟไหม้ๆ…” แล้วพากันวิ่งดับไฟ โกลาหลหนักยิ่งกว่าเดิม นางตัดสินใจวิ่งฝ่าทหารเข้าไปในคุกทันที
ภายในคุก นาคะตะเชโบวิ่งเข้ามาหลบที่ซอกเสา แสงเพลิงจากภายนอกแดงฉาน มีควันคละคลุ้ง ทหารพากันวิ่งอลหม่านออกไปดับไฟ นางรีบวิ่งไปที่คุมขังของจะเด็ด ซึ่งมีทหารผู้คุมอยู่คนเดียว นางต่อสู้และฆ่าผู้คุมตาย
"ท่านนาคะตะเชโบ"
นาคะตะเชโบมองหน้าจะเด็ดพยายามพังประตู จะเลงกะโบรีบโผล่หน้ามามอง
"กุญแจ กุญแจอยู่ที่มัน"
นางเห็นกุญแจติดอยู่ที่เอวทหารที่ตายรีบคว้าโยนให้จะเด็ด มีผู้คุมคนหนึ่งวิ่งลงมา นางเข้าต่อสู้อีก จะเด็ดพยายามไขกุญแจและตรวนออก แล้วโยนกุญแจไปให้จาเลงกะโบต่อ
"จาเลงกะโบ…ปล่อยนักโทษคนอื่นออกมาให้หมด เราต้องการให้พวกเขาเป็นกำลังช่วย"
จะเด็ดจัดการผู้คุมที่สู้อยู่กับนาคะตะเชโบ ขณะที่จาเลงกะโบวิ่งกลับไปไขคุกอื่นๆให้นักโทษทั้งหมดออกมา
ทั้งหมดวิ่งออกจากคุก
"โมนยินบุกทางไหน"
"ทางเหนือ"
"เราขอล้างคุณพระเจ้าแปร ไปช่วยกันเมืองแปรจากพวกโมนยินกัน"
เมงฮลาแง, เมงกวงแง ควบม้านำขบวนม้าของพวกโมนยินมุ่งหน้าไปประตูเมืองทิศใต้ ผ่านพุ่มไม้ใหญ่ไป
ไขลูและฝีพายรีบเข็นเรือออกจากพุ่มไม้ มุ่งหน้าในลำน้ำหน้าประตูเมืองแปรด้านใต้ สอพินยาออกมาจากเก๋งอย่างระมัดระวัง กระซิบถามไขลู
"ท่านมั่นใจแค่ไหนว่าทหารเราจะเปิดประตูเมืองให้พวกมันได้"
"ข้าพเจ้าคัดแต่พวกมีฝีมือ ทหารแปรปลายแถวที่รักษาประตูด้านใต้ไม่กี่คน ไม่มีทางต้านคนของข้าพเจ้าได้ดอก"
ไขลูหยิบถุงไถ้ส่งให้สอพินยา
"พระองค์ทรงผสมสมุนไพรนี่ให้ตะละแม่กับพระอัครเทวีดื่มเถิด"
สอพินยารับมาอย่างไม่แน่ใจ ไขลูยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทหารแปรที่รักษาประตูเมืองด้านประตู ทิศใต้ ราว 10 คนไม่ได้ระวังตัวมากนัก ทหารของไขลู 5 คนมีผ้าคลุมหัวทุกคน แอบออกมาลอบฆ่าทีละคนจนเกือบหมด ทหารหงสาส่วนหนึ่งวิ่งไปเปิดประตูเมือง ทหารแปรที่เหลือพยายามสกัดกั้นไว้
เมงฮลาแง ควบม้ามาอย่างรวดเร็ว
"มิตรเราเปิดประตูเมืองให้แล้ว บุกเข้าไปให้ได้"
ทหารบนเชิงเทินประตูเมือง ตกใจมองออกไปข้างนอก แล้วหันมาตะโกน"สกัดมันไว้....มีคนจะเปิดประตูให้ทหารโมยิน สกัดมันไว้"
ทหารโมยินส่วนหนึ่งบุกเข้ามาดันประตู
ทางประตูด้านใต้ จะเด็ดถามนาคะตะเชโบ
"มีเรื่องอันใดกัน"
"พวกโมยินที่ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟัง"
ทหารบนเชิงเทินประตูเมือง บอก
"มีคนจะเปิดประตูให้ทหารโมยิน ช่วยกันสกัดไว้"
การปะทะกันระหว่างทหารโมนยินที่ประตูเมืองเปิดค้างอยู่ เมงฮลาแงกับเมงกวงแงอยู่นอกประตูยังเข้าไม่ได้
"พวกเราบุกเข้าเมืองให้ได้" เมงกวนแงบอก
จะเด็ดชูทวนขึ้น
"เราขอล้างคุณพระเจ้าแปร จงช่วยข้าพเจ้าผลักดันพวกโมยินออกไป อย่าให้เข้ามาได้"
จะเด็ดร่ายทวน พุ่งม้าออกไปอย่างฮึกเฮิม ปะทะทหารโมยินที่ประตู จนต้องถอยร่นออกไป
จาเลงกาโบ นาคะตะเชโบและเหล่านักโทษตามออกไป
เมงกวนแงขโยกม้าเข้ามา จะเด็ดพุ่งม้าออกไปเต็มแรง ทั้งคู่ปะทะกันด้วยเพลงทวนอย่างดุเดือด
จาเลงกาโบที่รบอยู่ใกล้ๆนาคะตะเชโบ หันไปตะโกนเข้าไปในประตู
"ปิดประตูเมือง"
พวกนักโทษ กับทหารแปร รีบพากันปิดประตูเมือง จาเลงกะโบ นาคะนาคะตะเชโบและนักโทษพากันเข้าสะกัดทหารโมนยินที่บุกเข้ามาแบบตะลุมบอน ทั้งสองฝ่ายก็สู้กันด้วยเพลงดาบเป็นสามารถ
เมงกวงแงฟาดฟันไปทำท่าเยาะเย้ย ยั่วเย้าไปตลอด ทีแรกผลัดกันรุกผลัดกันรับ ครั้งหนึ่งจะเด็ดฟาดเต็มแร งเมงกวงแงชักม้าหลบ
"มึงเป็นทหารพระเจ้าแปรแบบไหน เครื่องแต่งกายเหมือนอย่างนักโทษ แล้วพระเจ้าแปรกับลูกสาวไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ข้าจะมานำตะละแม่ไปถวายพี่ชายข้า"
"อย่าละลาบละล้วง คนป่าอย่างเอ็งไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้เห็นปลายพระบาท"
จะเด็ดล่อให้เมงกวงแงถลำเข้ามาโดยแกล้งทำเป็นพลาดท่า พอเมงกวงแงยกดาบสูงฟาดตามลงมา จะเด็ดก็ควงทวนเป็นวงกลม เสียงหวีดหวิว ดาบของเมงกวงแงกระเด็นไป
เมงกวงแงหน้าซีด ตกใจ ตาเหลือก จะเด็ดตวัดทวนตัดฉับที่คอทันที
เมงฮลาแงกำลังสู้กับจาเลงกาโบอยู่ตกใจ ชักม้าหนี จาเลงกาโบควบม้าตาม ได้ที ฟันฉับเมงฮลาแงตกจากหลังม้าไป
บนเชิงเทินหน้าประตูเมือง พระเจ้าแปรนรบดียืนทอดพระเนตรการรบอยู่กับรานอง ทหารแปรระส่ำระส่าย ทุกคนท้อที่ไม่สามารถสังหารพวกโมนยินได้ด้วยธนู แต่ไม่บุกเข้าประชิดประตูเมือง พระเจ้าแปรกับรานองสีหน้าฉงนสงสัย
"เหตุใดพวกมันเอาแต่ให้พลหน้าไม้โจมตีแต่ระยะไกล ไม่ให้พลเดิน เท้ารุกคืบหน้าเข้ามา"
จะเด็ดถือทวนเสียบหัวเมงกวนแง ส่วนจาเลงกาโบถือทวนเสียบหัวเมงฮลาแง ควบม้าในชุดคนโทษนำหน้าคนอื่นๆมาอย่างห้าวหาญ นาคะตะเชโบขนาบข้างมาเรื่อยๆ จนใกล้ประตูเมือง
พระเจ้าแปร และรานองมองด้วยความสงสัย
"นั่นกองไหนกัน ไม่ใช่ทหารนี่"
จะเด็ดขี่ม้าเข้ามา พระเจ้าแปร รานอง และทหารแปรต่างยืนมอง
"ขุนวังมังฉงายนี่พระองค์ เขาออกมาจากคุกได้อย่างไรกัน" รานองบอก
จะเด็ดและจาเลงกะโบชูหัวของเมงฮลาแงและเมงกวงแงขึ้น ให้กองทัพโมนยินดู
"นี่คือหัวแม่ทัพพวกแกที่บุกเข้าไปทางทิศใต้ ถ้าไม่แน่ใจ ไม่เสียดายชีวิตก็เข้ามาดู"
เหล่าทหารแปรโห่ร้องด้วยความดีใจเสียงดังกึกก้อง
พระเจ้านรบดีบอก
"ขุนวังมังฉงายฆ่าแม่ทัพโมยินได้"
"พร้อมกันทีเดียวถึงสองคน" รานองว่า
กองทหารโมนยินต่างหยุดเพ่งมอง ไม่แน่ใจและเริ่มระส่ำระสาย โสหันพวาพอแน่ใจว่าเป็นน้องก็แค้น ร้องลั่นเหมือนคนคลั่ง
จะเด็ดบอกพระเจ้านรบดี
"ข้าพเจ้าขอถวายศีรษะนายทัพโมนยินแก่พระเจ้าแปรด้วย"
รานองบอก
"บุญคุณขุนวังครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก" รานองบอก
"ไม่จำเป็นจะต้องขอบใจข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำเพื่อแปร จะถือว่าเป็นบุญคุณก็ได้ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทูลลาอย่างมิตร แต่จะไปอย่างศัตรู เมื่อกลับถึงตองอูแล้วจะกลับมาทำสงครามกับแปรล้างแค้นให้ตองอู"
รานองพูดอะไรไม่ออก อ้ำอึ้งอยู่
"ขอน้าท่านจงจำไว้ ถ้าไม่ขัดว่าตองอูเป็นเมืองมารดร ข้าพเจ้าจะยึดเอาเบื้องบาทพระเจ้าแปรเป็นที่พำนักจนตาย"
พระเจ้านรบดีพยักพระพักตร์อย่างเข้าใจจะเด็ดเข้ามายืนตรงหน้า ถวายบังคมพระเจ้าแปร
"ข้าพเจ้าลืมทูลความสำคัญ ทหารโมนยินที่ล้อมอยู่นี้ไม่ต้องออกตีให้ยาก เมืองแปรเป็นชัยภูมิมั่นคง ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ ปิดประตูไว้เฉยๆก็อยู่กันได้นานแรมปี และชัยภูมิแปรเป็นที่ลุ่มรอจนฤดูฝนมาเยือนน้ำจะมาก พวกโมนยินเป็นคนดอนไม่เคยกับฝน จะเจ็บไข้และเลิกทัพไปเอง"
"จะเด็ดไม่มีน้ำใจแก่เรา จะมาแสดงคำหวานเพื่ออะไร"
"เพราะเมื่อหน้าแล้งมาถึง ข้าพเจ้าจะขอนำทัพตองอูมาตีแปรเอง"
พระเจ้าแปรนิ่งอึ้ง มองจะเด็ดด้วยสายตาน้อยใจมาก
"แปรเป็นหัวเมืองเอก จะแตกเพราะโมนยินเมืองจัตวานั้นน่าอดสู รอทำสงครามกับตองอูให้สมเกียรติยศเมืองเอกเถิด"
พระเจ้าแปรชักโมโหแล้ว
"ตองอูมาวันใดก็มาเถิด เราจะเตรียมทัพไว้คอยศึก แปรมิใช่เมืองพาล เทพยดาฟ้าดินคงไม่เข้ากับความผิด"
จะเด็ดยืนหน้าครุ่นคิดสักครู่ จึงตัดสินใจเงยหน้ามองรานอง
"ข้าพเจ้ามีความส่วนตัวจะฝากไว้กับท่านอุปราชรานอง"
รานองขยับตัวตั้งใจฟัง
"ขอฝากลาถึงตะละแม่กุสุมา"
ในเก๋งเรือ กลางลำน้ำไปหงสาวดี ตะละแม่แนบอยู่กับอกอัครเทวี สีหน้าระแวงกังวล สอพินยาเปิดม่านเอาน้ำเข้ามา2จอก กุสุมาขยับมองแปลกใจ
จะเด็ดฝากความสั่งลา
"ความอารีใดที่ตะละแม่กุสุมาเอื้อแก่ข้าพเจ้า จะเด็ดผู้นี้จะขอจดจำจนแผ่นดินกลบร่าง ข้าพเจ้าอาจตายในฐานะไพร่ราบทหารเลวตองอู แต่จะไม่ตายในฐานะคนลืมเลือนความอารีของตะละแม่เป็นแน่แท้ ขอน้าท่านจงจดจำคำและบอกตะละแม่จงทุกถ้อยคำ ถ้ากลับมาแปรวันใด ข้าพเจ้าจะมาบอกกับตะละแม่ด้วยตนเอง"
ตะละแม่ดื่มน้ำจากจอกน้อย อัครเทวีก็ดื่มแล้วหลับไป ตะละแม่ค่อยๆเอนองค์สิ้นสติตาม สอพินยาโน้มตัวเพ่งพิศตะละแม่ที่สิ้นสติอยู่ นัยน์ตา สีหน้าบอกอารมณ์ปรารถนา
จะเด็ดถวายบังคมลา แล้วหันหลังกลับควบม้าออกไป พระเจ้าแปรนรบดีมองตาม ดวงตาหมอง น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
รานองบอก
"ข้าพเจ้า... ไม่เคยพบผู้ใดเช่นนี้เลย"
"ชนะผู้อื่นนั้นยาก แต่ชนะใจตนเอง ยากยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า จะเด็ดนั้นรักกุสุมาแน่แท้ แต่กุสุมาก็ไม่อาจชนะใจชาวตองอูผู้นี้ได้ เรามีความยินดีในน้ำใจชายชาติทหารของจะเด็ดยิ่งนัก"
พระเจ้าแปรยังคงยืนนิ่งมองตามจะเด็ดไม่วางตา ดุจสรรเสริญด้วยใจจริง
เรือสอพินยาค่อยๆเลาะมาตามคลองแคบและเต็มไปด้วยเถาวัลย์ ในเก๋งเรือ กุสุมายังคงซบหลับอยู่กับอัครเทวีไม่ได้สติ แต่ตะละแม่ไม่มีผ้าคลุมตัวแล้ว สอพินยานั่งครุ่นคิด ไขลูหันมองอย่างรู้ใจ สอพินยานัยน์ตายิ้มเป็นประกาย
พระเจ้าแปรในชุดศึกเสด็จกลับมาจากเชิงเทินด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนเข้ามาในห้องบรรทม นางข้าหลวงหมอบเฝ้าอยู่ในอาการร้องไห้ นำน้ำดื่มมาถวาย พระเจ้าแปรรู้สึกแปลกใจ
"พระอัครเทวีเสด็จไปไหน"
ข้าหลวงบอก
"พระอนุชาสอพินยา เสด็จมารับหลบพวกโมนยินไปพบพระองค์ที่ด่านใต้ตามแผนที่บัญชา ตั้งแต่หัวค่ำ"
พระเจ้าแปรพระพักตร์เสีย
"แล้ว กุสุมา"
"โดยเสด็จไปด้วย"
พระเจ้านรบดี แห่งเมืองแปรเข้าใจทันที ถึงกับมืออ่อนทำจอกน้ำหล่นมือตกกระจาย
เวลาผ่านมา ทรงนั่งซึมด้วยความเจ็บปวด จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก มองออนนั่งอ่านจดหมายสอพินยาอยู่กลางท้องพระโรง
"ข้าพเจ้าทำการทุจริตลอบพาตัวพระราชธิดาไปกรุงหงสาครั้งนี้ คงเป็นเหตุให้ขุ่นเคืองใต้เบื้องฝ่าพระบาท โทษข้าพเจ้านี้ผิดนักหนา ขอพระองค์อภัยแก่ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด เพราะหากข้าพเจ้ากราบทูลพระองค์โดยใจซื่อ ก็คงมีข้อบ่ายเบี่ยง จึงยอมตายด้วยอาญาเพราะรักในตัวพระน้องนางกุสุมายิ่งนัก ขอพระเจ้าลุงอย่าทรงเป็นทุกข์ เมื่อถึงกรุงหงสาวดีแล้ว ข้าพเจ้าจะเทิดพระน้องนางไว้เป็นนางแก้วให้สมกับทรัพย์ศฤงคาร"
"พอ…พอแล้วไม่ต้องอ่าน สอพินยาทำดังนี้ไม่เกรงข้า รานองจัดกองทหารออกตามมันเดี๋ยวนี้ เมืองแปรกับกรุงหงสาวดีจะแตกกันก็วันนี้"
"เย็นพระทัยเถิด...เพลานี้ทัพโมยินยังมิได้ถอยกลับเมือง ยังคงตั้งค่ายประจันอยู่ หากต้องก่อศึกกับหงสาวดีอีก แปรเราคงไม่มีกำลังต้าน"
"แต่สอพินยากระทำเยี่ยงนี้ มันหยามกัน"
"ข้าพเจ้ามาดว่าอุปราชสอพินยา คงมิกล้ากระทำสิ่งใดเกินไปกว่าลักพาพระธิดาไปเท่านั้น ทั้งพระราชอัครเทวีโดยเสด็จด้วย พระนางคงดูแลพระราชธิดาให้สบายอยู่ มาตรองการศึกโมยินที่ตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งหน้าเมืองให้แปรพ้นภัยเถิด"
พระเจ้าแปรอึดอัดไม่มีทางเลือก
"หากไม่ติดพันศึกโมนยินครั้งนี้ข้าจะบุกไปเอาโทษมันให้ถึงหงสาวดี จะดูหน้าสการะวุฒพีซิว่า จะเห็นแก่น้อง ปล่อยให้มาหยามข้าได้ขนาดนี้ไม๊"
ลานต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำยามเช้าตรู่ แสงเงินแสงทองสาดส่องดูสวยงามมาก ทหารกำลังเอาอุปกรณ์ที่มีในเรือมาจัดที่นอนใต้ต้นไม้ใหญ่บนตลิ่ง ไขลูอุ้มอัครเทวีออกมาจากเก๋งเรือที่จอดลอยลำอยู่ริมตลิ่งมาวางลงบนที่นอนใต้ต้นไม้อย่างทุลักทุเล
"พวกมึงคอยเฝ้าอารักขาพระนางไว้ตรงนี้"
สอพินยายืนมองอยู่ที่หัวเรือและมองเข้าไปที่เก๋งเรือ กุสุมานอนสลบอยู่ภายใน สอพินยาสบตาไขลู…..ก่อนเดินเข้าไป ไขลูยิ้ม สมปรารถนาที่ได้ทำงานสำเร็จ
สอพินยานั่งเฝ้ากุสุมาที่นอนอยู่อย่างเป็นห่วงเป็นใย กุสุมาคงความงามละมุนละไม นอนระทวยทอดตัวเหมือนใบไม้ที่ร่วงพื้น สอพินยาเอื้อมมือไปปิดม่าน ทำให้แสงในเก๋งเรือมืดลง คงเห็นแต่แสงเงินแสงทองส่องผ่านรอยแตกของเก๋งเรือเข้ามาเป็นเส้นๆ
สอพินยาใจหวาม อดไม่อยู่ เอื้อมมือปลดมุ่นมวยผมกุสุมาจนแผ่กระจาย แล้วก้มลงหอม กอดจูบตะละแม่ที่นอนไม่รู้สึกตัวไปทั่วร่าง ผ้าสไบถูกดึงออกไปช้าๆจนหลุดจากตัว เหมือนถูกสอพินยาเปลือยข้างบนแล้ว ใอ้สอพินนาก็ทำการลักหลับกุสุมาทันที
ลานต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำยามเช้าตรู่ แสงเงินแสงทองยังคงสาดส่องสวยงาม เรือลอยลำโคลงเคลงอยู่กับบรรยากาศยามเช้า บนผืนน้ำ เงาเรือในน้ำยามต้องแสงทองยามเช้า กระเพื่อมเป็นระลอกๆ ไขลูยืนอยู่บนริมตลิ่ง สีหน้าอิ่มเอิมใจแทนเจ้านาย
เช้าตรู่เดียวกัน ริมแอ่งน้ำ เส้นทางแปรไปตองอู จะเด็ดชะโงกวักน้ำล้างหน้า แผ่นน้ำกระเพื่อม กลายเป็นใบหน้ากุสุมายิ้มมองมา จะเด็ดนั่งมองนิ่งด้วยความคิดถึงกุสุมา
ชั่วครู่ หน้ากุสุมาในน้ำค่อยแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้า ทุกข์ระทม ร้องไห้ จะเด็ดเพ่งมองภาพในน้ำอย่างเสียใจ เอามือปัดน้ำจนแตกกระจายลุกเดินออกไปทันที
จะเด็ดกระโดดขึ้นม้า ทุกคนยืนม้าคอยอยู่มองจะเด็ดอย่างเข้าใจความรู้สึก ก่อนจะขี่ม้าตามออกไป
พระอาทิตย์ดวงโตกำลังโผล่พ้นยอดเขา จะเด็ด จาเลงกะโบ นาคะตะเชโบ คนคุกแปรกำลังขี่ม้าผ่านไปอย่างช้าๆ
ในเก๋งเรือ กุสุมานอนหลับ ชายผ้ารุ่ยร่าย นอนหนุนแขนสอพินยาอยู่ ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งกอดตัวตะละแม่กุสุมาไว้ สอพินยาเอามือเขี่ยผมกุสุมาเล่น เพ่งพิศมองหน้าตะละแม่อย่างรักใคร่เทิดทูน สายตาอ่อนโยน ซาบซึ้ง
ลานต้นไม้ใหญ่ ริมตลิ่ง อัครเทวีลืมตาแล้วลุกขึ้นทันที แล้วเหลียวไปมองรอบๆ อย่างตกใจมาก
"กุสุมา…กุสุมาลูกเราอยู่ไหน"
ไขลูคุกเข่าหมอบเฝ้า เงียบ ไม่หวั่นไหว
"ไขลู นี่อะไร บอกมาเดี๋ยวนี้ ตะละแม่อยู่ไหน แล้ว... สอพินยาล่ะ"
"เพลานี้ทั้งสองพระองค์คงเสวยสุขารมณ์ซึ่งกันและกันแล้ว"
อัครเทวีตวาด
"ไขลูปากชั่วเจรจาความบัดสี ล่วงเกินลูกเราได้อย่างไร ไปตามลูกเรามาที่นี่ ถ้าไม่ตามเราจะไปตามเอง"
"พระอนุชาสอพินยาปักใจรักตะละแม่พระราชบุตรียิ่งนัก ชีวิตสอพินยาว่ารักแล้ว ยังไม่ได้กึ่งหนึ่งที่รักตะละแม่ แต่พระเจ้าอยู่หัวแปรไม่ยอมเห็นใจ ข้าพเจ้าเล็งเห็นทุกข์ของเจ้านาย จึงออกอุบายลวงพามา ป่านฉะนี้สอพินยากับตะละแม่คงเจรจาปลงใจร่วมเป็นชีวิตเดียวกันแล้ว"
1
อัครเทวีหน้าตกใจมาก ตบอกอยู่ไปมา
"กุสุมาของแม่ เวรกรรมแต่ชาติใด จึงพบเรื่องน่าบัดสีในชาตินี้"
อัครเทวีเซซวนจนแทบจะล้ม ไขลูต้องจับเอาไว้ อัครเทวีสะบัดออกฝืนใจยกศีรษะตั้งตรง ถามด้วยเสียงแหบแห้ง
"ลูกเรากับสอพินยาอยู่ที่ไหน"
ไขลูไม่ตอบ….แต่หันไปดูที่เรือที่จอดอยู่ห่างออกไป เรือน้อยลอยอยู่กลางน้ำ มีนกพิราบเกาะอยู่ 2-3 ตัว
ในเก๋งเรือ กุสุมาในอ้อมกอดสอพินยาลืมตาตื่นก็ตกใจ แล้วผลักเต็มแรงจนสอพินยากระเด็นไป นกพิราบที่เกาะอยู่บนเรือตกใจ บินแตกฮืออีกครั้ง ตะละแม่ขยับตัวลุกขึ้นแล้วรู้สึกว่าเสื้อผ้านั้นถูกคาดไว้หลวมๆ สอพินยาขยับเข้ามาจะกอด
"ตะละแม่กุสุมาเมียรัก แม่จะตกใจไปใย"
กุสุมาตกใจ เหมือนหูอื้อไม่ได้ยินอะไร นกพิราบบินไปมา ยังไม่กล้าลงมาเกาะเรือ กุสุมารู้สึกผิดปกติในตัว รู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้น ใจเหมือนจะหลุดลอยออกจากร่าง
สอพินยาสารภาพทุกอย่าง ตะละแม่กอดอกครวญคราง เจ็บอายเหมือนหนึ่งใจจะขาด ก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอก สอพินยาคว้าแขนไว้ ตะละแม่ไม่ฟังเสียงบุกลุยออกไปเต็มแรง สอพินยายื้อยุดฉุดกระชากจับตัวไว้แน่น และพยายามขอร้อง
"ตะละแม่จะไปไหน ข้าพเจ้ารักท่าน รักท่านเหลือเกิน"
ตะละแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นน่าสงสารพยายามหนีสุดชีวิต แรงเท่าไหร่เอาออกมาหมด สุดท้ายล้มลงไปกลิ้งกับพื้นทั้งคู่ กุสุมาเบื้อนหน้าหนีร้องไห้ไม่หยุด
สอพินยาเห็นกุสุมาเลิกหนีจึงขยับตัวออกห่างนั่งมองอยู่ใกล้ๆ มองอย่างรัก…ที่สุด
"ตะละแม่….ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว แต่ที่ทำไปเพราะรักตะละแม่เหลือจะทนแล้ว"
กุสุมาไม่ฟังอะไรแล้ว เอาแต่ร้องไห้ ค่อยๆลุกเดินออกไป
กุสุมาเดินออกมาจากเก๋งเรือ ร้องเรียกหาอัครเทวี
"สมเด็จแม่...สมเด็จแม่ ช่วยข้าพเจ้าด้วย สมเด็จแม่"
พระอัครเทวีพยายามจะวิ่งลุยน้ำไปหาลูก ไขลูพยายามห้ามอัครเทวีไม่ให้ลงไป กุสุมาร้องไห้วิ่งลุยน้ำเข้ามาหา พระอัครเทวีวิ่งลุยน้ำไปรับ พากันมาทรุดลงร้องไห้ที่ริมตลิ่ง สอพินยาตามมาห่างๆ
"กุสุมา ลูก"
กุสุมาถลันเข้ากอดแม่
"สมเด็จแม่ ลูกไม่ขออยู่เป็นคนอีกต่อไป"
อัครเทวีเสียงดังด้วยความโมโห
"สอพินยา เสียแรงเรารักเราไว้ใจว่าเจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สนิท เหตุใดมาทำตัวเหมือนลูกโจรข่มเหงลูกเราอย่างนี้"
3
"พระเจ้าป้า"
"อย่าเรียกเราว่าป้า อย่านับญาติกันต่อไปอีก"
"ข้าพเจ้าเป็นภัสดาตะละแม่อีกสถานหนึ่ง จะมิให้นับญาติได้อย่างไร"
อัครเทวีกอดลูกแน่นขึ้น แล้วร้องไห้
"กุสุมา แม่นี้ช่างใจเบาจริง ต้องมาเสียลูก"
"สมเด็จแม่เราสองคนเสียทีคนชั่ว ลูกนี้เหมือนเสียทุกอย่างในชีวิตแล้ว ลูกจะขอตาย"
สอพินยาแกล้งลงกราบพระอัครเทวี หน้าเศร้าสุดขีด
"ข้าพเจ้านี้อาภัพนัก เป็นผู้มีวาสนาจะได้เป็นถึงผู้นั่งบัลลังก์หงสาวดี แต่หาสตรีที่รักตัวไม่มีเลย"
พระอัครเทวีไม่สนใจเอาแต่กอดลูกร้องไห้
อุทยานหลวง พระราชวังตองอู มังตราน้าวสายธนูอย่างเครียดและแค้นไปที่เป้าหุ่นฟางรูปจะเด็ด…แล้วปล่อยออกไป ลูกธนูพุ่งเข้าปักหุ่นรูปจะเด็ดที่ยืนอยู่ตรงหน้า
"ฮะ ฮะ ฮ้า เห็นมั๊ย พวกเจ้าเห็นหรือไม่"
มหาดเล็กทั้งสามคนทำท่ารับคำ มังตราหันไปรับจอกเหล้ามาดื่ม
"เห็น...เจ้าเห็นอะไร"
มหาดเล็ก 1บอก
"เห็น...เออ"
"เห็นไอ้จะเด็ดคนทรยศ พูดซิ พูด"
มหาดเล็กพูดเสียงเบาๆ
"จะเด็ดคนทรยศ"
"ดังๆ พูดดังๆ ไอ้จะเด็ด คนทรยศ"
มหาดเล็กทั้งหมดพูดตาม
"ไอ้จะเด็ด คนทรยศ"
มังตราหัวเราะชอบใจ
"ฮะๆ มันตายแล้ว ตายแล้ว"
มังตราดื่มน้ำสุราจอกใหญ่ ๆ จนหมด สายตาเปลี่ยนเป็นเสียใจลึกๆ เสียงสะอึกเล็กๆ
"ตาย...แล้ว มัน….ตาย.…แล้ว จากใจข้า"
จันทราเดินเข้ามา นางข้าหลวงหยุดคอยอยู่ห่างๆ มังตรามองเห็นพระพี่นางจันทราจึงทำความเคารพ"พี่นาง"
"ทำอย่างนี้เหมือนสุมเพลิงเผาตัวเองตลอดเวลา"
"อ้อ…จะมาขอโทษแทนพี่เขยข้าพเจ้านั่นเอง"
"เป็นกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ชอบที่จะไต่สวนทวนความให้ได้ความจริงก่อนตัดสิน พี่เชื่อว่า ถ้าจะเด็ดผิดจริง น้องท่านจะไม่ต้องเสียลูกธนูจำนวนมากขนาดนี้ ลูกเดียวก็อาจจะไม่เสียด้วยซ้ำ"
มังตราหงุดหงิดไม่รู้จะเถียงอย่างไร จึงหันไปโวยวายเอากับมหาดเล็ก"เอาเหล้ามา ไม่ทันใจเลยโว้ย"
มหาดเล็กรีบนำโถน้ำจัณฑ์มารินถวาย จันทราประทับยืนมองอย่างหนักใจ
ทุ่งหญ้าเชิงเขา ทางไปตองอู จะเด็ดเดินม้าคู่มากับจาเลงกะโบ นาคะตะเชโบ และนักโทษคนอื่นๆตามมาห่างๆ
บนเรือในลำน้ำอัครเทวีนั่งกอดกุสุมาที่ดวงตาแดงช้ำ ไร้แววของชีวิตอยู่ในเก๋งเรือ สอพินยากับไขลู นั่งอยู่ด้านหน้าเรือ อัครเทวีมองลูกสาวอย่างสงสาร จับมือลูกขึ้นมาบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
"กุสมาลูกรัก จำยอมไปเถิดลูก สอพินยารับปากกับแม่แล้วว่า เมื่อเราไปถึงหงสาวดีแล้ว พระองค์จะจัดพิธีอภิเษกอย่างพิธีหลวงของนางพระยา จะไม่ให้เสื่อมเกียรติลูกเด็ดขาด"
กุสุมาไม่ตอบ ดวงตานั่งเหมอลอยเหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆหลงเหลืออีกแล้ว
อีกหลายวันต่อมา ขบวนกำลังเคลื่อนเข้าพระราชวังหงสาวดี อันเต็มไปด้วยธงทิวและประชาชนรอคอยต้อนรับ วงมโหรีมอญ รับขบวนยิ่งใหญ่อลังการ ชาวเมืองโห่ร้องดีใจ พระเจ้าสการะวุฒพีและพระมเหสีมินบู ประทับยืนรออยู่ที่ลานระเบียงวังหลวง มีปอละเตียงอยู่ถวายงานใกล้ๆ
ไขลูขี่ม้านำขบวนม้าทรงของสอพินยาที่ประดับภู่และพวงมาลัยดอกไม้อย่างสวยงาม ตามมาด้วยรถม้าประดับรูปหงส์แบบมอญ
กุสุมาแต่งเครื่องอย่างนางพระยาประทับนั่งมากับพระอัครเทวี สีพระพักตร์ตะละแม่ ยังคงไร้ชีวิตเหมือนเช่นเดิม ผิดกับพระอัครเทวีที่เบิกบาน ทอดพระเนตรไปรอบๆอย่างตื่นเต้น พระเจ้าสการะวุฒพีและมินบู ยืนมองรออยู่พร้อมเหล่าข้าราชบริพารหงสาวดี
สอพินยามองกุสุมาด้วยความรักอย่างสุดใจ
มินบูบอก
"ข้าพเจ้าใคร่ขอทูลพระธิดาแปรในฐานะผู้หญิงด้วยกัน ด้วยเพลานี้ เหตุการณ์ก็ประจักษ์ชัดแล้วว่า พระอนุชานั้นรักตะละแม่อย่างแท้จริง พระยศนั้นก็เป็นถึงพระอุปราชแห่งหงสาวดี สามารถจะทนุถนอมตะละแม่ ให้มีความสุขมากกว่าหญิงใดในแผ่นดิน ขอจงอย่าวิตกสิ่งใดอีกเลย จงยินดีเข้าพิธีสยุมพรเสียเถิด"
พระอัครเทวียิ้มด้วยความปลาบปลื้ม
"และข้าพเจ้าจะจัดพิธีอภิเษกให้เสมอนางพระยา แห่งพระอุปราชหงสาวดีทีเดียว"
ตะละแม่กุสุมา น้ำพระเนตรไหลออกมาโดยไม่มีเสียงสะอื้นแต่อย่างใด เจ็บปวดในหัวใจอย่างที่สุด
จะเด็ดยืนม้าบนเนิน หันหน้าไปทางที่ราบลุ่มริมแม่น้ำสะโตง ชายแดนเมืองตองอู สีหน้ายังเครียด คนอื่นๆล้อมฟังประกาศอยู่ )
"ที่นี่เป็นที่ลุ่มสะดวกแก่การทำมาหากิน เราจะขอพระราชทานที่ตรงนี้ให้ท่านใช้เป็นแหล่งทำมาหากิน เป็นการตอบแทนคุณที่ท่านช่วยเราสู้กับพวกโมนยินหนีออกจากแปรมาได้ ท่านใดชอบตรงไหนก็ขอให้หักร้างถางพง ก่อสร้างบ้านเรือนอยู่รวมกัน ณ ที่นี้ ภายใต้พระบรมโพธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวตะเบงชะเวตี้แห่งกรุงตองอู โดยสุขสวัสดิ์สถาพรตลอดไป"
จะเด็ดยกมือไหว้ไปทางกรุงตองอู คนคุกทั้งหมดทรุดลงหันหน้าไปทางเมืองตองอู แล้วก้มลงกราบแผ่นดินพร้อมๆกัน
ในเวลาต่อมา จะเด็ดขี่ม้ามาด้วยสีหน้าทุกข์ระทม นาคะตะเชโบถาม
"เดี๋ยวเถิดท่าน พระเจ้าอยู่หัวมังตรา เสด็จไปทำศึกแปรเพราะทรงปรารถนาจะตีแปรให้แหลกลาญเพื่อจะจับท่าน ดุจเหมือนนายประมงวิดน้ำจนขอดบ่อเพื่อจะจับปลาตัวเดียว พระองค์พิโรธท่านถึงปานนี้ ท่านยังจะเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอีกหรือ"
"ท่านนาคะพูดถูก หากพระเจ้าอยู่หัวมังตราได้เห็นหน้าน้องท่าน ถ้าฉีกเนื้อกินได้คงจะกินเสียให้หายแค้น" จาเลงกะโบบอก
"เรานี้ถือความสุจริตเป็นใหญ่ ความสุจริตจะเป็นเกราะกันภัยอันตราย พระเจ้าอยู่หัวมังตราจะเอาชีวิตเราก็เอาไป จะกลัวทำไม"
ทั้งสองนิ่งอึ้ง
"เราจะสู้หน้ามังตราด้วยความจริง"
สีหน้าจะเด็ดมั่นคงในคำพูดมาก
จาเลงกะโบถาม
"น้องท่าน ไม่คิดถึงข้อที่พระเจ้ามังตราเป็นคนโมโหร้ายบ้างหรือ"
จะเด็ดหยุดม้านัยน์ตาเข้มจัดมองจาเลงกะโบ
"จาเลงกะโบ พี่ท่านเป็นทหารนะ ควรถืองานของพระเจ้าอยู่หัวเป็นใหญ่ เวลานี้งานของพระเจ้าอยู่หัวคือจับตัวข้าพเจ้าไปลงโทษท่านควรจะจับตัวข้าพเจ้าไปถวายด้วยซ้ำ"
จาเลงกะโบน้ำเสียงชัดเจน
"จะเด็ด อันความซื่อนั้นเป็นสิ่งที่ดีเลิศ แต่ต้องซื่ออย่างเดียวนะ อย่าเซ่อด้วยแล้วกัน"
จะเด็ดจ้องหน้าจาเลงกะโบนิ่งๆสักครู่ แล้วกระตุ้นม้าไปทันที ทั้งคู่ต่างไม่เข้าใจความคิดของจะเด็ด
จะเด็ดควบม้าเข้ามาหยุดอยู่หน้าบ้าน แล้วลงเดินเร็วๆแหวกผู้คนมุ่งหน้าไปที่ศาลากลาง ลานที่ทะกยอดินกำลังทำงานอยู่ พวกไพร่มองตามจะเด็ดอย่างยินดี
เหล่าไพร่บอก
"ท่านจะเด็ดมา ท่านจะเด็ดกลับมาแล้ว"
จะเด็ดเดินเข้าไปที่ศาลา ทะกยอดินนั่งทำงานอยู่ จ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา ค่อยๆลุกขึ้น
"ท่านจะเด็ด"
ทะกยอดินค่อยๆเดินเข้ามาหา จะเด็ดทรุดลงนั่งยกมือไหว้
"ข้าพเจ้าขอกราบท่านอา ช่วยกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวเถิดว่า ข้าพเจ้ากลับมาจากเมืองแปรแล้ว รอถวายบังคมเบื้องพระยุคลบาทและยินดีถวายชีวิต"
ทะกยอดินตกใจเพราะรู้ว่าทำอย่างนั้นจะเด็ดตายแน่
จะเด็ดนั่งนิ่งสงบสติอารมณ์อยู่กลางท้องพระโรง กรุงตองอู ทะกยอดินเดินไปเดินมา ท่าทางเหมือนเหาขึ้นหัว บ่นกระปอดกระแปด
"ทำไมต้องมากระทำห่ามๆเยี่ยงนี้ ทำเอาผู้ใหญ่เขาขนหัวลุกกันไปทั้งวังหมดแล้ว บ้าบิ่นเกินคนจริงๆ"
ตองหวุ่นญีเดินเข้ามามองแว๊บเดียวไม่พูดอะไร จะเด็ดยกมือไหว้ ทะกยอดินลุกมาหาตองหวุ่นญีแล้วกระซิบ
"เข้าเฝ้าครั้งนี้จะร้ายมากกว่าดี หาทางยับยั้งยังไงดี"
จะเด็ดได้ยินจึงพูดสวน
"อาท่านอย่าวิตก ข้าพเจ้ามีความจริงสู้กับพระเจ้าอยู่หัว"
ตองหวุ่นญีมองจะเด็ดอย่างพิจารณา ส่วนทะกยอดินดูจะไม่สะบายใจมากๆ เนงบากับสีอ่องวิ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
สีอ่องบอก
"ใจเย็นๆนะจะเด็ด เดี๋ยวเรากับเนงบาจะช่วยกราบทูลความจริงช่วย"
"อย่าเลยพี่ท่าน ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเพลานี้ไม่มีใครขืนพระอารมณ์พระเจ้าอยู่หัวได้"
เนงบากับสีอ่องมองหน้ากันอย่างหนักใจ
มังตราและมหาดเล็กควบม้าเข้าอย่างรวดเร็ว ด้วยอารมณ์โกรธมากเหมือนถูกท้าทาย กระโดดลงจากม้า รีบเดินเข้าไปในท้องพระโรง ทหารมหาดเล็กที่ตามมาไม่กล้าตามเข้าไป ต่างยืนหน้าตาตื่นเต้นและกังวล
ทุกคนถวายบังคมแทบไม่ทัน
"ขอพระชนม์ชีพยืนนาน"
จะเด็ดทรุดตัวกราบแทบเท้า สีหน้าเรียบเฉยไม่มีวี่แววสะทกสะท้าน มังตราเดินห่างออกไป สีหน้าประหม่าเหมือนกัน แล้วหันกลับมากวาดสายตามองไปทั่วๆแบบคนพาล ตองหวุ่นญีหน้าเฉยๆ
มังตราบอก
"ตองหวุ่นญี…ท่านนี้พอแก่ตัวความกล้าหายไปไหน คนทรยศเข้ามาถึงที่แล้ว ปล่อยให้นั่งลุกเป็นอิสระอย่างนี้ สมควรกับตำแหน่งผู้ว่าราชการทหารแล้วหรือ"
"ข้าพเจ้าหาเป็นผู้ว่าราชการทหารใช่แต่รัชกาลนี้เท่านั้น สมัยพระบิดาของพระองค์ข้าพเจ้ามีสิ่งอะไรที่ควรทำนั้น ข้าพเจ้ามิเคยให้พระเจ้าอยู่หัวต้องรับสั่ง ความแก่หาได้ทำให้เกิดความขลาด ต่อไปพระองค์แก่ตัวลงก็จะทรงรู้ว่าความแก่ทำให้รู้จักคิด และทำสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล"
"งั้นก็ทำซิ ทำไมไม่ทำล่ะ คนทรยศมันนั่งอยู่ตรงนั้น"
ทุกคนนั่งไม่ติดที่ สีอ่องสะกิดเนงบาให้พูด เนงบาตัดสินใจ
"พระเจ้าอยู่หัวล้นเกล้า ข้าพเจ้าขอกราบทูล"
มังตราเสียงดัง
"ไม่ได้ถามความเห็นอย่าเสนอ ไม่งั้นหัวขาด"
เนงบาเงียบไม่กล้า สีอ่องตาละห้อย ตองหวุ่นญีบอก
"ข้าพเจ้ายังไม่แจ้งว่าจะเด็ดทำผิดใดจึงชื่อว่าทรยศ แต่ถ้าพระเจ้าอยู่หัวออกคำสั่งให้จับ ข้าพเจ้าไม่ต้องคิดอะไร ผิดไม่ผิดก็ทำตามรับสั่ง"
มังตราชี้หน้าตวาด
"จับมัน"
ทุกคนตกใจมองหน้ากันเลิกลั่ก ตองหวุ่นญีจ้องมองจะเด็ดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวใดๆ เช่นเดียวกับจะเด็ดที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ขยับ หรือหวาดกลัวใดใดทั้งสิ้น
จาลงกะโบพามหาเถรมังสินธูซ้อนหลังม้าควบมาอย่างเร็วจนจีวรปลิว นาคะตะเชโบขี่ม้าตามมา
"ชะลอหน่อยก็ทันนะลูกหลาน ถึงอาตมาจะเคยนั่งม้าออกศึก แต่นั่นก็หลายสิบปีแล้ว"
จาเลงกาโบไม่ฟังยังคงควบไปอย่างรวดเร็วไปบนถนนตองอูต่อไป
ทหารจับจะเด็ดเอาไพล่หลังเอาตรวนมัดมือ จะเด็ดนิ่งยอมให้ผูกโดยดี ตองหวุ่นญีถาม
"จะเด็ด เหตุใดจึงนิ่งทำกิริยายอมรับความผิด"
"พระเจ้าอยู่หัวลงโทษไม่ไต่ถาม นานไปวันหน้าได้คิดแล้วจะเสียใจเอง"
มังตราชี้หน้า
"พูดออกมาไม่อายปาก ตัวทำผิดอะไรอยู่ก็แจ้งแล้ว ยังมาทำมารยาว่าไม่รู้ความผิด คิดถึงถ้อยคำที่ให้ไว้กับเราก่อนออกจากตองอูเป็นไรว่าจะเป็นไส้ศึก แต่พอได้ยศถาบรรดาศักดิ์จากนรบดีเข้าก็หลงระเริง คนอย่างเจ้าหรือจะหนีออกมาไม่ได้ แล้วทำไมคนที่ไปด้วยถึงได้หนีมาได้ล่ะ"
เนงบาและสีอ่อง มองตากันตัดสินใจกราบทูลอีกที
"ความจริงที่หนีมาได้เพราะ…" เบงบาพูดยังไม่ทันจบ
"ถ้าเจ้าแก้ต่างให้มันไม่หลุด หัวจะขาดไปกับไอ้คนหลงโลกีย์ยิ่งกว่าแผ่นดิน"
สีอ่องรีบดึงเนงบาให้ถอยมา
จะเด็ดบอก
"มังตราท่านอย่าก้าวร้าวเสียดสีเลย ตรองด้วยเหตุผลเถิดว่า ถ้าข้าพเจ้าสวามิภักดิ์ต่อแปรจะต้องโทษอยู่ในคุกทำไม ไม่เพราะข้าพเจ้าแสดงเจตนาจะออกจากแปรหรือ พอทัพตองอูยกไปพระเจ้าแปรจึงจองจำ"
"ใช้การจองจำเป็นอุบาย แล้วก็เข้าไปบัญชาการรบอยู่ในคุกตองอูถูกเผาตายเกลื่อนทุ่ง ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เอาตัวมันไปให้พ้นเราไม่อยากเห็นหน้าอีกต่อไป"
ทหารเข้ามาลากจะเด็ด สวนกับมหาเถรมังสินธูกับจาเลงกะโบที่เดินเข้ามา ส่วนนาคะตะเชโบ ไม่กล้าขึ้นมาบนท้องพระโรง มังตราเห็นพระอาจารย์ก็จะเดินหนีเข้าข้างใน ภิกษุชรารีบเรียกไว้ มังตราละล้าละลัง
"มหาบพิตรมังตรา หยุดก่อน"
มังตราเสียงดังมาก
"อย่าหวังนะว่าครั้งนี้จะขอร้องได้"
มังตราเดินออกไปยังท้องพระโรงใน…มหาเถรเดินจ้ำตามออกไป ตองหวุ่นญีแอบมองตากับทะกยอดินอย่างเหนื่อยใจ
พระเจ้าตะเบงชเวตี้เดินจ้ำอ้าวมาตามระเบียงทางเดินพระราชฐาน ชั้นใน มหาเถรมังสินธูจ้ำตามมา
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ มหาบพิตร"
มังตราหยุดหันจ้องหน้าพระอาจารย์อย่างไม่พอใจ
"เป็นใหญ่ในแผ่นดินตองอู จนสิ้นยำเกรงเราแล้วรึ"
"ไม่สิ้นดอก แต่ข้าพเจ้ารู้ว่า พระอาจารย์จะขอโทษให้จะเด็ด คนตองอูไม่รักตองอู ขืนชุบเลี้ยงไว้นานไปจะเป็นภัยแก่ตองอู ขอพระอาจารย์ทำใจให้รักตองอูยิ่งกว่าคนทรยศ ที่เป็นศิษย์รักคนโปรดของพระอาจารย์เถิด"
"มังตราทารกปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม บังอาจหมิ่นเรามังสินธู ตองอูตั้งขึ้นได้เพราะใครไม่รู้หรือ"
มังตรายังคงยืนสง่าวางตัวเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจเต็มที่
"ตองอูเป็นตองอูได้เพราะมืออาตมามีส่วนช่วยสร้าง เพราะฉะนั้น พระเจ้าอยู่หัว อย่าพูดอีกเป็นอันขาดว่าอาตมารักตองอูน้อยกว่าสิ่งอื่นใด แต่ที่ขอโทษให้จะเด็ด เพราะเห็นว่า อาตมามังสินธูเคยมีประโยชน์แก่เมงกะยินโยเสด็จพ่อของพระเจ้าอยู่หัวเท่าใด จะเด็ดศิษย์อาตมาก็จะทำประโยชน์ให้มังตราได้เท่านั้น"
"พระคุณเจ้าพูดอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะเถียงจนขาดใจ พระคุณเจ้าช่วยเสด็จพ่อสร้างตองอูจริงแล้ว แต่ไอ้จะเด็ดคนนี้มันเป็นผู้ทำลาย สั่งมันให้ทำอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นคนโลภ หลงในยศในศักดิ์ที่คนต่างด้าวท้าวต่างแดนให้บำเรอมัน ข้าพเจ้าทำศึกฉิบหาย ทหารตายไปก็เพราะมัน"มหาเถรมังสินธูสวนคำทันที
"ฉิบหายไปเกือบหมดยังไม่พอใจ จะเอาโทษถึงตายกับอีก1 คนหรือ"
มังตรานิ่งอึ่ง ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร
"และเป็น 1 คนที่สามารถเป็นนายทัพคุมพลไปทำศึกแปร แก้แค้นให้ชาวตองอูที่ตายไปด้วย"
"โอ๊ย…ไม่ใช่เด็กอมมือนะ จะได้มอบทหารให้คนคดถือไปอีก"
"มังตรา...สติปัญญามีรึเปล่า ปักใจได้อย่างไรว่าจะเด็ดทรยศ ถ้าอยากพิสูจน์ก็ให้จะเด็ดยกกองทัพไป"
"ถ้าจะเด็ดเอาทหารไปสวามิภักดิ์เมืองแปรล่ะ เราไม่ยิ่งถูหัวเราะเยาะยิ่งกว่าเก่าอีกหรือ"
"อาตมายอมเอาตัวเป็นประกันแทนมัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้ลงโทษอาตมาแทน"
มหาเถรจ้องมังตรานิ่งอย่างเอาจริง มังตราเริ่มไม่แน่ใจ
1
หน้าท้องพระโรง นาคะตะเชโบ ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ด้านล่าง นึกเป็นห่วงจะเด็ด
จะเด็ดถูกทหารคุมตัวอยู่ เพื่อนทั้งสามเดินวนไปวนมา ชะเง้อมองเข้าไปทางที่มังตรากับมหาเถรมังสินธูคุยกันอยู่อย่างเป็นห่วง
สักครู่มังตราเดินนำมหาเถรออกมา ทุกคนรีบนั่งลงอย่างเรียบร้อย
มังตรากระซิบบอก
"อาจารย์รับรองอะไร จำไว้ให้ดีแล้วกัน"
มหาเถรมังสินธูกระซิบตอบ
"มังตรานี่เจรจาอะไรระวังหน่อย เราน่ะเด็กอายุเท่าเจ้าหรือ"
จะเด็ดกับเพื่อน 3 คนหมอบเฝ้า ยังไม่แน่ใจอะไรทั้งสิ้น พระภิกษุชราแกล้งทำหน้าเข้ม เสียงดัง"ไอ้จะเด็ด พระเจ้าอยู่หัวเมตตาผ่อนผันให้แก้ตัว โดยการให้ยกกองทัพไปตีเมืองแปรอีกครั้ง"
จะเด็ดเงยหน้าขวับตั้งท่าเถียง มหาเถรมังสินธูถลึงตาห้าม ขยิบตานิดหน่อย
"ถ้าทำศึกแพ้ครั้งนี้หรือตัวทรยศหนีไปเข้ากับเมืองแปร เอ็งจะขึ้นชื่อเป็นศิษย์คิดล้างครู เพราะเราถวายชีวิตเราประกันให้ ชีวิตเราน่ะจะหมดสิ้นแค่เมืองมนุษย์ แต่เจ้าสิความผิดถึงนรก"
จะเด็ดถวายบังคม มหาเถรมังสินธูเผลอถอนใจอย่างรำคาญใจ แล้วหันพูดกับมังตรา
"พระเจ้าอยู่หัวจะให้ถือพลไปเท่าใด"
"เพิ่มให้มากกว่าเราเท่าหนึ่ง เรือขนาดใหญ่ ทัพม้า ทัพช้างเต็มที่ เสบียงเต็มที่ ทำการไม่สำเร็จจะได้ไม่มีข้อแก้ตัว"
"ข้าพเจ้าขอพลเพียงครึ่งหนึ่งของพระองค์"
มังตราคอแข็งรู้ว่า จะเด็ดรู้ทันตัว เพราะให้ทหารไปมาก ถ้าจะเด็ดชนะจะได้อ้างว่า มีพลเยอะกว่า
"ได้ไปเยอะๆไม่ดีหรือ อย่าโยกโย้"
"ข้าพเจ้าเจตนาให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าศิษย์มังสินธูผู้นี้ ออกทำศึกโดยใช้กำลังพลส่วนน้อย แต่ใช้ความรู้ที่พระคุณเจ้าสั่งสอนมาเป็นส่วนใหญ่"
มหาเถรมังสินธูลอบยิ้มนิดหน่อย แต่แล้วต้องหยุดเพราะสบตามังตราที่จ้องเขม่นอยู่ จึงรีบทำหน้าเฉย
"ตองหวุ่นญี เตรียมพลให้เท่าที่เขาขอ ทำหนังสือทานบนไว้ว่า ถ้าแพ้กลับมา จะต้องถวายหัวกับเราโทษฐานปากยะโสโอหังต่อหน้าที่นั่งพระเจ้าตองอู"
พระเจ้าตะเบงชเวตี้ เดินออกทันที ทุกคนถวายบังคม ลับตัวมังตรา จะเด็ดก้มลงกราบมหาเถรมังสินธู ทุกคนลุกมาหาจะเด็ดยังไม่ทันพูดอะไร
ห้องจันทราในตำหนักอัครเทวี กันทิมาก้มลงกราบจันทราที่พระพักตร์เศร้าหมองมองกันทิมาอย่างสงสาร
จันทราเชยคางขึ้นดูหน้า
"ขอบใจเจ้าเหลือเกินกันทิมา เจ้าซูบซีดผอมไปฉะนี้ คงลำบากยากแค้นนักหนา"
กันทิมายิ้มรับ
"ตะละแม่อยากฟังความอะไรบ้าง ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง"
จันทราเสียงหมองลงไปนิด
"ตะละแม่เมืองโน้น นาง... เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้เรื่องนางไม๊"
เพลงพิณดังแว่วมา กันทิมาหมอบเงียบ
"ว่าอย่างไร ตะละแม่เมืองโน้นเป็นอย่างไรบ้าง เล่ามาเถิด"
กุสุมากำลังบรรเลงพิณอยู่กลางห้องโถงตำหนัก กรุงหงสาวดี ด้วยใบหน้าระทมทุกข์หมองเศร้าอยู่คนเดียว
จันทราฟังกันทิมาเล่าเรื่องจนจบ หน้าก็หมองลง กันทิมาลอบมองหน้าด้วยความสงสารมาก ในที่สุดจันทรากดความหมองเศร้าไว้ หันมายิ้มอ่อนโยนให้กันทิมา
"ขอบใจที่ลำดับเรื่องราวให้ฟังได้แจ่มแจ้ง เราเข้าใจทุกอย่าง"
"ตะละแม่...ข้าพเจ้าดูน้ำใจจะเด็ดต่อตะละแม่กุสุมาแล้ว เมื่อเทียบกับ..."
จันทราขัดขึ้น
"พอแล้วกันทิมา เจ้าไปพักผ่อนเถิด เจ้าเองลำบากเหน็ดเหนื่อยมาหลายเพลาดุจชาย"
"ข้าพเจ้าจะบอกจะเด็ดทุกอย่างว่า ข้าพเจ้าไปแปรเพราะ พระทัยเมตตาห่วงใยจะเด็ดยิ่งกว่าใครๆของตะละแม่จันทรา"
"ไปพักผ่อนกันทิมา"
กันทิมาจำใจกราบ แล้วคลานออก จันทราเรียกไว้
"กันทิมา อย่าพูดอะไรที่เราไม่สั่งให้พูด ตกลงนะ"
กันทิมาก้มกราบแล้วคลานออกไป จันทรานั่งซึมเศร้าอยู่ที่เดิม
กุสุมานั่งกอดพิณด้วยความคิดถึงจะเด็ด อัครเทวีพระพักตร์เบิกบานเสด็จเข้ามา ชะงักมองลูกสาวอย่างตรึกตรอง เพราะจะบอกเรื่องแต่งงาน
"เป็นอะไรลูก ทำหน้าให้เบิกบานไว้ เดี๋ยวพระอนุชาจะเสด็จมา"
กุสุมาพูดเบาๆ
"ลูกเป็นอย่างนี้ก็เพราะผู้นี้ ลูกจะไม่อยู่รอเห็นหน้า"
กุสุมาเดินออกรวดเร็ว สอพินยาสวนเข้ามาเผชิญหน้า ตะละแม่สะบัดหันหลังทันที อัครเทวีรีบเข้าปรามตาขวาง แล้วมือโบกไล่ข้าหลวงให้ออกไป ข้าหลวงไปกันหมด
"เดี๋ยวสิลูก"
"สมเด็จแม่ ลูกนี้ควรจะตายเสียก่อนถึงแปร ลูกไม่อยากมีชีวิตอยู่พบกับความโฉดชั่ว"
สอพินยาทำเนียน สีหน้าโศกระทมให้อัครเทวีเห็น
"ฟังคำพี่ท่านหน่อย พระองค์อยากอธิบาย"
"เป็นชายชาติทหารมากระทำรังแกสตรีถึงขนาดนี้ ยังมีคำใดอธิบาย อย่าเลยลูกไม่ฟัง ไม่มีวันอโหสิ ลูกจะกลับแปร ชาตินี้ไม่ต้องเห็นหน้ากัน"
กุสุมาเดินกลับเข้าห้องข้างในทันที
"พระเจ้าป้า ทำอย่างไรดี"
"ใจเย็นๆพระอนุชา เดี๋ยวป้าจะจัดการให้"
"เย็นไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าร้อนรนไปทั้งตัว ตะละแม่กลับเมืองแปร ข้าพเจ้าจะตาย ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป"
"เอาน่า...บอกให้ใจเย็นๆ"
"พระเจ้าป้านะเป็นแม่ที่บังคับลูกก็ไม่ได้ เป็นแม่ยังไง"
"อ้าว...เอ๊ะ"
สอพินยาเปลี่ยนท่าทีทรุดลงกราบลงแทบเท้า
"ข้าพเจ้าอุตส่าห์พาเสด็จด้วย เพราะหวังพึ่งพระเจ้าป้าองค์เดียว โปรดช่วยแก้ให้ข้าพเจ้าด้วย"
ในห้องบรรทม กุสุมาน้ำตาเต็มตา ร้องไห้ด้วยความขมขื่นสุดประมาณ อัครเทวีเข้ามา
"สมเด็จแม่เมื่อไหร่เราจะกลับเมืองแปร ไหนสมเด็จแม่บอกว่า มาหงสาวดีชั่วครู่ แล้วจะมีขบวนนางพระยาไปส่งเราที่แปร"
"กุสุมาลูกแม่ ถ้ากลับแปรลูกจะขึ้นชื่อว่าถูกภัสดาทอดทิ้ง"
กุสุมาเสียงดังขึ้น
"อย่าออกโอษฐ์คำนี้ให้ลูกได้ยิน ลูกไม่ฟัง...ไม่ฟังคำนี้"
กุสุมาวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว วิ่งพลางพูดพลาง
"สมเด็จแม่เห็นดีกับคนที่ทำร้ายลูก อย่ารับสั่งกันอีกเลย"
ในอุโบสถวัดกุโสดอ จะเด็ดเดินเข้ามาภายในโบสถ์ และเดินเข้าไปหาเลาชีที่นั่งสมาธิอยู่หน้าพระประธานช้าๆ ทรุดลงนั่งข้างๆ เลาชีหันมาเห็นจ้องมองตะลึง
"ข้ากลับมากราบเท้าแม่ท่านแล้ว"
จะเด็ดก้มลงกราบแทบเท้าแม่ เลาชีกอดลูกไว้เต็มวงแขนด้วยความคิดถึง
"แม่สวดภาวนาขอให้ลูกกลับมาตองอูอย่างปลอดภัยทุกวันทุกคืนเทวดารักษาลูกของแม่แล้ว ต่อไปนี้จะทำอะไรขอให้ระวังให้ดี พระราชบุตรมังตราให้อภัยเจ้าแล้ว อย่าทำให้พิโรธขึ้นมาอีก"
จะเด็ดจับมือแม่ขึ้นมาจูบด้วยความรักและนับถือสูงสุด เลาชีลูบหัวเบาๆ
"ถึงแม้เจ้ากับพระองค์จะกินนมจากอกแม่ด้วยกัน แต่เจ้าต้องอย่างลืมว่าพระองค์คือพระเจ้าอยู่หัว เจ้าชีวิต อย่าตีเสมอ ตั้งใจปฏิบัติราชการต่อพระเจ้าอยู่หัวด้วยชีวิตนะลูก"
"ข้อนี้ลูกไม่เคยลืม .ลูกนี้เทิดมังตราไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมเสมอ"
จะเด็ดเงยหน้ามองแม่ สีหน้าแม่ สายตาแม่บอกความหมายทุกคำที่พูด
พระจันทร์กำลังขึ้นอยู่ที่ยอดไม้ เหนือตำหนักตะละแม่จันทรา จะเด็ดค่อยๆเดินแทรกเงามืดยืนซุ่มใต้ต้นไม้ มองไปที่ตำหนักจันทรายังมีแสงโคมสว่างอยู่
ภายในห้องนอน ข้าหลวงสองคนช่วยกันจัดที่นอน จันทราแปรงผมอยู่หน้ากระจกเล็กๆ ข้าหลวงคนหนึ่งถือถ้วยน้อยใส่ชามาวางให้ นั่งกราบแล้ว ทั้งหมดก็ออกไป จันทรานั่งแปรงผมอยู่คนเดียวสีหน้าเศร้า เหม่อแล้วลุกไปนั่งที่เตียง
บรรยากาศลานหน้าตำหนักอัครเทวี เงียบสงัด จันทรานอนนิ่งอยู่บนเตียง มีมุ้งกาง จะเด็ดปีนหน้าต่าง ย่างเท้าออกมาจากมุมหนึ่ง ตรงไปที่เตียง แล้วจะเด็ดก็แหวกมุ้งเข้าไปก้มลงกอด แต่แล้วต้องสะดุ้งเพราะนั่นคือห่อผ้า จะเด็ดตกใจเหลียวขวับมา
จันทรายืนนิ่งอยู่ด้านหลังมองจ้อง จะเด็ดก้าวยาวๆ สองแขนโอบไว้เต็มอ้อมกอดให้หายคิดถึง ก้มลงจูบรุกเร้า แล้วเอะใจที่เห็นจันทรายืนนิ่งเงียบ
"น้องท่าน"
จันทรามองจะเด็ด ร้องไห้เงียบๆไม่มีแม้เสียงสะอื้น จะเด็ดเอามือประคองหน้าอย่างทะนุถนอม
"ตะละแม่น้องท่าน ร้องไห้เพราะเหตุใด ไม่ยินดีหรือที่ได้พบข้าพเจ้า"
"ข้าพเจ้าเจ็บใจตัวเอง ที่รู้ดีว่าการกอดรัดของท่านเป็นเพียงความหลอกลวง แต่ยังอดยินดีไม่ได้ จึงเจ็บใจ"
"ถ้ายืนม้าออกศึกครั้งใดคิดถึงน้ำตาตะละแม่ มือข้าพเจ้าคงสิ้นกำลังที่จะคอนทวน จันทราอยากให้ข้าพเจ้าตายกลางศึกหรือ"
"ท่านพูดเก่ง แต่สิบส่วนมีความจริงแค่ส่วนเดียวจะได้หรือเปล่า จะเด็ดไม่รู้หรือว่าคนซื่อนั้นฟ้าดินสงสาร ข้าพเจ้านี้โง่งมอยู่ตองอู อะไรเกิดขึ้นไกลตาข้าพเจ้าก็ไม่น่าจะรู้ แต่ด้วยอำนาจดินฟ้า ท่านคิดคดต่อข้าพเจ้าลับหลังข้าพเจ้ารู้ทุกอย่าง"
"ตะละแม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนไม่โกหก ไม่เคยคิดจะพูดเท็จ"
"ท่านลืมข้าพเจ้าไปรักลูกสาวพระเจ้าแปร แล้วยังมาโลมเล้าข้าพเจ้าด้วยวาจาอย่างนี้ ไม่ใช่พูดเท็จหรือ"
"ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธว่า มีใจสิเน่หาธิดาพระเจ้าแปร"
"ตะละแม่จะหมิ่นก็หมิ่นข้ออื่นเถิด แต่อย่าหมิ่นว่าข้าพเจ้าพูดไม่จริง ถึงข้าพเจ้ารักนางข้างโน้นแต่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมท่าน คุณงามความดีของท่านไม่เคยจางจากหัวใจ"
จันทรานั่งใจระรัวด้วยความโกรธ
"ข้าพเจ้ารักตะละแม่ท่านโดยใจภักดิ์ แต่รักตะละแม่เมืองแปรโดยใจปอง"
จันทราทนต่อไปไม่ได้ ลุกพรวดแล้วเดินจะหนีไป จะเด็ดตามไปกอดรัด จันทราไม่ยอมผลักจนห่างจากตัวเช็ดน้ำตาจนแห้ง กิริยาสงบลงแกะมือจะเด็ดออก
"จะเด็ด... ข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นศรีแห่งราชสำนักตองอู แต่ข้าพเจ้ากลับรักชายที่เป็นลูกแม่นม เมื่อแรกความแตก ชีวิตก็แทบจะออกจากร่าง แม้ตัวท่านเองถ้าพระอาจารย์มหาเถรไม่ขอไว้ เห็นทีหัวจะหลุดจากบ่า ต่อมาแม้พี่ป้าน้าอาบรรดาญาติๆทัดทานข้าพเจ้าก็ไม่ฟัง รอคอยว่าอีกหน่อยคนก็จะรู้ว่า ข้าพเจ้ารักจะเด็ดนั้นถูก
ต้องแล้ว เพราะจะเด็ดเป็นคนใจเดียว แต่เมื่อท่านเป็นอย่างนี้ ใครที่คอยจะหมิ่นหยามอยู่แล้ว ก็จะสมน้ำหน้าสาแก่ใจ"
จะเด็ดนิ่งเงียบ
"ถ้าจะเด็ดเป็นคนๆเดียวกับจะเด็ดเมื่อก่อน ที่ทรนงต่อศักดิ์ศรีของชาย ท่านก็ควรยั้งคิดและเอ็นดูข้าพเจ้าให้มากๆ"
จะเด็ดเงยหน้ามอง สายตาลุกะโทษทุกอย่าง
"เพียงแค่ท่านซื่อต่อข้าพเจ้า แค่ขึ้นชื่อว่าซื่อต่อข้าพเจ้าเท่านั้น ก็ชดเชยกับสิ่งที่ข้าพเจ้าสูญเสียได้ทุกอย่าง"
จะเด็ดแววตาเศร้าสลด อับจนข้อเถียง รำพึงเบาๆ
"กลเสน่ห์นี้ยากกว่ากลสงครามแท้ๆ"
จันทราเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้นอีก แล้วถอยไปยืน จะเด็ดเดินมาตรงหน้า
"ข้าพเจ้ารักนางผู้โน้น เหมือนว่ารอยกรรมชักพาให้เป็นไป แต่รักตะละแม่ท่านนี้เกิดขึ้นจากน้ำเนื้อของหัวใจโดยแท้ รักนางข้างโน้นจะตัดให้ขาดนั้นยากนัก แต่จะห้ามใจไม่ให้รักท่านนั้นยากกว่าสักร้อยเท่า"
จันทราอึ้ง
"ตะละแม่น้องท่าน อย่าให้ข้าพเจ้าไปโดยอารมณ์เช่นนี้เลย ขอเมตตาที่เคยมี อวยพรข้าพเจ้าไปศึกหน่อยเถิด ถ้ายังเกรี้ยวกราดก็เหมือนขับข้าพเจ้าไปตาย ไม่ใช่ไปเอาชัยชนะ"
จันทราเสียงอ่อนลง
"ออกศึกครั้งนี้ ขอผลบุญที่เรามี จงดลบันดาลให้ข้าศึกหวั่นไหวไม่กล้าสู้ พี่ท่านทอดแขนกรายทวนไปทางใดทหารแปรคนใดก็ไม่อาจต่อฝีมือ ขอให้ตีตะลุยเข้าไปจนถึงห้องบรรทมของตะละแม่เมืองแปรเถิด"
จะเด็ดสะอึกหนักกว่าเดิม จันทรามอง ใจวูบหวั่นไหวยิ่ง จะเด็ดนั้นรู้อยู่เต็มอกว่าจันทราใจอ่อนแล้ว จึงก้าวจะข้ามหน้าต่าง จันทราลืมตัวก้าวออกไปหายั้งไว้ จะเด็ดหันขวับมา อ้าแขนโอบร่างจันทราไว้ทั้งตัว
จันทราอ่อนระทวย จะเด็ดกอดด้วยความรักยิ่ง แต่ทำได้แค่จูบมือแล้วลาจาก…..
จันทราร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้
จบไปแล้วนะครับสำหรับตอนที่ 7 สามารถติดตามต่อตอนที่8 ได้ในวันพรุ้งนี้นะครับ หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
2. หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ประพันธ์โดย : โชติ แพร่พันธุ์
หรือเจ้าของนามปากกา “ยาขอบ”
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ ขอบพระคุณครับ
โฆษณา