19 เม.ย. 2020 เวลา 02:09 • ปรัชญา
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 8
เส้นทางตองอู-แปร ธงแม่ทัพ สีเหลืองรูปยูงฟ้อนโบกสะบัด จะเด็ดในชุดแม่ทัพเต็มยศนั่งอยู่บนหลังช้าง
ตะคะญีนั่งช้างตามหลัง จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง ควบม้าคุมกองทัพตามเหล่าของตัวในชุดรบ กองทัพทั้งหมดเคลื่อนไปข้างหน้าฝุ่นตลบ
กันทิมาควบม้าขึ้นเนินมาเห็นขบวนทัพจะเด็ดกำลังเดินหน้าไปแปรเต็มทุ่งข้างล่าง กันทิมาร้องไห้อย่างน่าสงสาร
จะเด็ดนั่งอยู่บนหลังช้างมองตรงไปข้างหน้า ไม่มีใครรู้ว่า เขาคิดอะไรอยู่
จะเด็ดกล่าวว่าเราจะเดินทางโดนไม่ต้องพักต้องไปถึงต้องอูภายในสองวันโดยแน่ ส่วนทัพที่เหลือให้เคลื่อนทัพตามมาเสริมในอีก สิบราตรี
หลังจากนั้นสองวันจะเด็ดก็เคลื่อนพลมาถึงหน้าเมืองพร้อมทหารหนึ่งกองพันด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
กองทหารตองอูชุดแรกช่วยกันตั้งค่ายอย่างขมีขมัน ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฟ้าแลบ ฟ้าร้องอยู่ไกลๆ
ท้องพระโรงฝ่ายหน้า พระเจ้าแปรนรบดีประทับบนบัลลังก์ฟังคำกราบบังคมทูลอย่างหนักใจ ตะคะญีเป็นหัวหน้าคณะราชทูตตองอูมากับจาเลงกาโบนั่งอยู่กลางท้องพระโรง
อาลักษณ์อ่านสาส์น
"ข้าพเจ้าจะเด็ด"บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอประกาศสงครามกับเมืองแปร จึงส่งสาสน์นี้มาเพื่อท้ารบ
"บอกจะเด็ดเถิดในฐานะที่เราเคยเลี้ยงดูจะเด็ดมา ระวังจะแพ้ภัยตัวเองเหมือนมังตรา เราเผาคนตองอูไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่จำเป็นไม่อยากจะเผาอีกครั้ง"
จาเลงกะโบเงยหน้าขวับ สายตาเครียดแค้นขยับจะโต้ตอบ ตะคะญีแตะแขนโดยแรง
"ตองอูตายเป็นเบือในกองไฟ จะเด็ดยังไม่รู้หรือว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติชอบ และย่อมประหารผู้ประพฤติมิชอบ"
ตะคะญีหัวเราะอยู่ในคอ
"เอาธรรมะอ้างในสงครามได้ประโยชน์อะไรหรือพระเจ้าอยู่หัวท่าน"
พระเจ้าแปรฟังคำประชดสีหน้าขุ่นมัว
ตะคะญีบอก
“จะเด็ดนายทัพข้าพเจ้าสั่งมาว่า การยกทัพมาครั้งนี้ก็เพื่อหวังจะทำสงครามให้ขึ้นชื่อลือชาไปยังทิศทั้งสิบ ดังนั้นจึงให้โอกาสแปรเพื่อตอบแทนคุณ ให้ข้าพเจ้ามากราบทูลเพื่อจะได้มีเวลาระดมทหารให้เข้มแข็ง”
อุปราชรานองหันมามองพระเจ้านรบดีที่นั่งตกใจอยู่พร้อมกับทำสีหน้าโกรธจัด
พระเจ้าแปร พวกมึงนี่เห็นข้าเป็นกษัตริย์ประเภทใด ที่ใยต้องมาเห็นใจกันด้วย การที่เรานั้นอยากจะรวมสองเมืองให้เป็นหนึ่งเพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตอาณาราษฎร์ของทั้งสองฝ่ายมันเป็นการดีไม่ใช่รึ
ตะคะญีกล่าวต่อ
ท่านกลัวจะแพ้สงครามรึพระเจ้าแปร
พระเจ้าแปรได้ยินดังนั้นก็โมโห
พูดตอบกลับด้วยเสียที่เกรี้ยวกราดไปว่า พวกมึงนี่ไม่รู้จักเจียมตัวเอาซะเลย และพร้อมกับสั่งทหารหวังจะปิดชีพพระราชทูตของตองอูที่มาหมิ่นเกียรติของตน
ตะคะญีเห็นถ้าไม่ดีเลยพูดกลับไปว่า
ที่ข้าพเจ้ามาเป็นพระราชทูตข้าก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการ์ณแบบนี้ขึ้น แต่เมื่อข้าคนนี้ในฐานะพระราชทูตได้ตายลงไปในระหว่างเจรจาสงคราม ก็ไม่เป็นไร คนทั่วฟ้า ทั่วแผ่นดินจักได้รู้ว่า พระเจ้าแปรนั้น มีต้นกำเนิดมาจากกุ้ง เพราะในหัวนั้นมีแต่ขี้ ตาขาว กลัวแม้กระทั่งราชทูตแก่ๆ ไม่กล้าทำสงครามซึ่งหน้า หวังแค่จักลดจำนวนข้าศึกทางอ้อม
พระเจ้าแปรทำอย่างนั้นยิ่งโกรธ(และกลัวเป็นขี้ปาก) สั่งทหารหยุดและให้รับสั่งอย่างดุดันไปว่า ได้"ข้าจะทำสงครามกับตองอู"ฝากมึงไปบอกใอ้จะเด็ดคนไม่รู้คุณด้วยว่าปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเอ็ง หวังจะมาข่มราชสีห์อย่างข้าให้เตรียมตายได้เลย
ตะคะญีตอบกลับพร้อบอกไปว่าอีกสิบวันตองอูจะเริ่มโจมตี
วันต่อมา
รานองกล่าวว่า พวกมันเดินทางจากตองอูมาแปรได้ด้วยเวลาแค่สามวันนั้น แสดงว่ามันยกพลมาในจำนวนที่น้อยและต้องอาศัยม้าในการเดินทางมาแน่ ข้าคิดว่าที่มันบอกอีกสิบราตรีถึงจะเริ่มสงครามแสดงว่ามันต้องรอทัพเสริมเป็นแน่แท้
งั้นเราไปตีค่ายมันก่อนเลยดีไหม พระเจ้าแปรเห็นดีด้วย พร้อมสั่งให้เตรียมทัพหวังจะตีค่ายตองอูในคืนนี้
เมื่อจะคะญีกลับถึงค่ายก็แจ้งจะเด็ดและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จะเด็ดฟัง
บรรลัยแล้วมั้ยล่ะท่านอาอาจรย์ จะเด็ดพูดพร้อมสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ตะคะญีถามว่าเรื่องอะไรรึ
จะเด็ดตอบ ก็สิ่งที่อาจารย์กล่าวต่อพระเจ้าแปรไปว่าอีกสิบวันจะทำหารสงคราม แบบนี้ฝ่ายแปรก็รู้แน่ว่าทัพของเรายังมาไม่ครบ
ตะคะญีนั่งนิ่งพร้อมคิดในใจ กูนี่ปากไม่ดีเอาซะเลย
ข้ามีแผน จะเด็ดพูดพร้อมบอกแผนการไป
พวกเอ็งส่งทหารกองพันออกไปพร้อมเสื้อสิบชุด และเดินไปทางหลังค่ายอ้อมไปยังจุดลับสายตาและเดินกลับมายังค่าย และจำไว้ว่าให้ทำแบบนี้ทั้งวันอย่าได้หยุด
รานองที่แอบส่องค่ายของตองอูอยู่เห็นทัพมาเสริมเรื่อยๆทีละกองพัน ก็ทำสีหน้าตกใจและรีบไปแจ้งกับพระเจ้าแปร
รานองกล่าว พวกมันเคลื่อนพลมาเร็วกว่าที่ข้าคิด จะใช้แผนโจมตีก่อนในราตรีนี้ไม่ได้
พระเจ้าแปรทำสีหน้าเครียด เป็นไปได้อย่างไรที่มันเคลื่อนพลมายังเมืองแปรได้เร็วขนาดนี้
วันต่อมา พระเจ้านรบดีประทับบนบัลลังก์ประชุมทหารทั้งหมดอยู่
“ข้าพเจ้าขอรับอาสายกทัพออกไปขับไล่มันเอง ถึงแม้ข้าพเจ้าจะอายุขัยมากกว่าแม่ทัพตองอู ข้าพเจ้าก็มิได้กลัวแรงหนุ่มมัน ประสบการณ์ศึกข้าพเจ้าเหนือกว่ามันหลายศึกนัก” ปะขันหวุ่นญี
รานองบอก
“ขออย่าคิดว่าเราดูถูกฝีมือท่าน จะเด็ดนั้นเข้ามาสำรวจภูมิประเทศเราจนแจ้งหมดแล้ว คงมิคิดเอากำลังเข้าปะทะกันอย่างเดียวจะเด็ดน่าจะคิดแผนอื่นอยู่อีกเป็นแน่”
“เหตุใดพระอุปราชจึงยกยอบุคคลผู้นั้นจนเกินการ ท่านมัวแต่กลัวมันจนมิกล้าทำอะไรสักอย่าง” ปะขันหวุ่นญีบอก
“ข้าพเจ้าเพียงแต่มิอยากเสียกำลังทหารมากเกินไปต่างหาก หากรบกันจะมีแต่คนตายกับตาย”
“เราควรตัดนิ้วก้อยเพื่อรักษาชีวิต ทหารแปรมิเคยกลัวตาย”
รานองเงียบ เมื่อเห็นปะขันหวุ่นญีโกรธ
พระเจ้านรบดีบอก
“ค่อยๆคิดกันให้สุขุมเถิด เพลานี้ก็ใกล้ครบ 10ราตรีแล้ว พรุ่งนี้จะเด็ดคงยกพลเข้าตีแปรตามที่ประกาศไว้ เราจะคิดแก้การกันฉันใด ทำอย่างไรถึงจะเดือดร้อนไพร่พลให้น้อยที่สุด”
รานองบอก
“ข้าพเจ้าขอเสนอแผนชะลอดูเชิงศึกก่อน มังฉงายนั้นรู้ดีว่า เมืองแปรนั้นเป็นที่ลุ่ม หากตั้งค่ายล้อมเมืองอยู่เช่นนี้ เมื่อฝนตกน้ำหลากจะถูกท่วมมิดประตูค่ายอย่างแน่นอน ฉะนั้นคงต้องหาทางตีแปรให้แตกโดยเร็ว ไม่มีทางเลือกอื่น”
“งั้นเราก็ปิดประตูเมืองไว้คอยฝนตก ไม่ต้องยกทัพออกไปตะลุมบอนให้สิ้นกำลังพล เมื่อน้ำท่วมค่าย มังฉงายก็คงต้องถอยทัพกลับไปอย่างแน่นอน” พระเจ้านรบดีบอก
“อีกไม่กี่เพลาฝนคงมาแล้ว ฉะนั้นเราอย่าเพิ่งจัดทัพออกปะทะเลย รอดูตองอูก่อนเถิดจะแก้ทางศึกอย่างไร...นะท่านปะขันหวุ่น” รานองว่า
ปะขันหวุ่นญี จำต้องเงียบไป
จะเด็ดยืนอยู่หน้าเต้นท์ แหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ตะคะญี กับจาเลงกาโบ ยืนอยู่ใกล้ๆ เห็นทหารเดินเวรยามอย่างเข้มแข็ง เสียงฟ้าร้องครืน
สีอ่องบอก
“ฝนกำลังจะตก หน้าฝนกำลังจะมาแล้ว”
จะเด็ดเดินตามออกมายิ้มในหน้าลึกๆ
“ถ้าฝนตกหนักน้ำจะนองทั่วท้องทุ่งเพราะแปรเป็นเมืองลุ่ม ค่ายนี้ต้องถูกน้ำท่วม เราจะอยู่สู้กับแปรอย่างไร” ตะคะญีถาม
“แปรคงหัวเราะชอบใจที่เห็นน้ำหลาก แต่กับตองอู”
“เราจะมีแต่ความหายนะ” จาเลงกาโบบอก
“น้ำหลากจะเป็นประโยชน์แก่แปรเมื่อตกวันที่15 แต่จะเป็นประโยชน์กับตองอูภายใน 7 วันต้น ท่านครูคอยดู”
ทหารหน้าค่ายโห่ร้องดังอึงคะนึง
“ทัพท่านเนงบาตามมาสมทบแล้ว ทัพท่านเนงบามาถึงแล้ว”
เนงบาท่าทางเหน็ดเหนื่อย เหงื่อเต็ม หนวดเคราเต็ม ขี่ม้านำกองทหารเข้ามาในค่าย ตรงมาที่แม่ทัพจะเด็ดและตะคะญี นงบาเข้ามาไหว้ ตะคะญีๆตบไหล่อย่างเอ็นดู
“ข้าไหว้อาจารย์”
“สวัสดีมีชัย...นั่น” ตะคะญีพูดพลางชี้ไปที่จะเด็ด
“ท่านแม่ทัพเฝ้าคอยด้วยความกระวนกระวาย”
จะเด็ดยืนรออยู่แล้ว…ยิ้มกว้างให้ จะเด็ดไหว้เนงบา แล้วทั้งคู่ตรงเข้าสวมกอดกันอย่างดีใจ
“เนงบาพี่ท่าน ขอบใจพี่ท่าน ขอบใจพี่ท่านจริงๆ ที่นำทัพมาได้ทันตามกำหนด”
“ข้าพเจ้าพยายามเร่งทัพมาให้ทัน 10 วันตามที่น้องท่านสั่ง เพลานี้ทหารเลยเหนื่อยล้ามาก”
“งั้นขอพี่ท่านจงพักทัพให้สบายก่อน แล้วเราค่อยออกต่อกรด้วยพระเจ้าแปร”
เนงบาเดินไปที่กองทหารสั่งให้ทุกคนไปพัก
“แล้วที่ท่านแม่ทัพพูดถึงว่า หากฝนตกน้ำหลาก จะเป็นประโยชน์ต่อตองอูภายใน ๕ วันต้นนั้นคืออะไร”
จะเด็ดเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้านิ่ง แสงฟ้าแลบสาดเข้ามาเต็มหน้าจนสว่างวาบ
ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนเริ่มตก จะเด็ดขี่ม้ากรำฝนพาตะคะญีกับสีอ่องไปเรื่อยๆ จนทะลุสู่ริมบึงใหญ่
“เนี่ยเหรอ…พาข้าพเจ้ามาดูทำไม บึงตม…ตื้นเขิน” ตะคะญีว่า
“แล้วที่ท่านบอกว่า น้ำหลากเป็นประโยชน์แก่เราใน 7 วันต้นล่ะ” สีอ่องถาม
“เป็นประโยชน์อย่างไร”
จะเด็ดบอก
“บึงนี้ตื้นเขิน แม้ฝนจะมากเท่าไหร่น้ำก็จะไม่ขังอยู่ในบึงเพราะมีทางออกเป็นแม่น้ำถึง 9 สาย 8 สายไหลลงแม่น้ำอิระวดี แต่อีกสายครูท่านทายซิ ไหลไปไหน”
“กรุงแปร”
“ใช่ ถ้ามีน้ำมากพอ แต่ทุกปีไม่เคยมีน้ำถึงแปรซักเท่าไหร่”
“ก็บึงมันตื้น มีแม่น้ำแยกไปตั้ง 9 สาย น้ำเท่านี้จะมีพอไหลสู่แปรได้อย่างไร” ตะคะญีบอก
“ถ้าฝนตกต่อเนื่องไม่หยุด 7 วัน แล้วถ้าแม่น้ำ 9 สายถูกกั้นไว้ น้ำในบึงนี้จะมากพอพุ่งเข้าสู่แปรไม๊”
สีอ่องตื่นเต้น
“ท่านจะใช้แรงน้ำพุ่งเข้าพังกำแพงแปรอย่างงั้นใช่ไม๊”
จะเด็ดยิ้ม ก่อนจะหันไปมองเมืองแปร
วันต่อมา ทหารเอากระสอบทรายทอดลงเป็นทำนบปิดทางน้ำที่ออกจากบึงแต่ละแห่ง ทางน้ำนั้นมีลักษณะตื้นเขิน มีแต่โคลนตม ฝนตกหนักอยู่ตลอดเวลา จนทำนบแข็งแรง มีน้ำขังอยู่เลยก้นบึงมาประมาณ 1 เมตร จะเด็ด,ตะคะญี,จาเลงกะโบ,สีอ่อง ยืนดูอยู่ท่ามกลางสายฝน อยู่ที่บึงสุดท้าย
“ทางนี้เป็นเส้นเข้าแปร เราจะให้ถมไว้หลวมๆไม่เหมือน8สายแรก มีสลักให้ท่านครู รอให้ระดับน้ำได้ที่แล้วเอาช้างดึงมันจะพังทลายลงทันที และเพลาเดียวกันข้าพเจ้าจะขอให้ท่านครูนำสาส์นไปแจ้งหลอกแก่พระเจ้าแปรทำทีให้ออกมาทำศึกยุทธหัตถีกันตามคำมั่นเดิม แต่หาทางชะลอยื้อเวลาให้น้ำเต็มบึงนี้ให้ได้ อย่างน้อย 5 วัน”
ตะคะญีแหงนมองท้องฟ้าเห็นเมฆฝนดำทมึน ฟ้าแลบแปลบปลาบ
อีกวันหนึ่ง ท้องพระโรงเมืองแปร อาลักษณ์กำลังอ่านสาส์นที่ตะคะญีนำมาถวายอยู่กลางท้องพระโรง ต่อพระพักตร์ พระเจ้านรบดี แห่งเมืองแปร ทุกคนหมอบเฝ้าเต็มท้องพระโรง
“ข้าพเจ้ายกพลตองอูประชิดเมืองแปร 27 ราตรีแล้ว ขออัญเชิญพระเจ้าอยู่หัวมาเยี่ยมสมรภูมิสักเพลาหนึ่ง เผื่อจะได้เริงพระทัยในเชิงยุทธหัตถี แต่ถ้าพระองค์หวาดกลัวพระยามัจจุราช รู้ไปถึงไหนเขาจะว่า เมืองแปรนี้มีอิสตรีครองเมือง”
พระเจ้าแปรโกรธจัด
“แม่ทัพตองอูครั้งนี้เป็นแค่ไพร่หาตระกูลไม่ได้”
ตะคะญีนั่งยิ้มกวนประสาท
“ควรหรือจะมาพูดก้ำเกินเราซึ่งอยู่ในเศวตฉัตรมาถึง 6 ชั่วคน”
ตะคะญีแอบหัวเราะ
“อันหมากรุกที่ขึ้นกระดานสู้กัน แม้ตัวหมากข้างหนึ่งทำด้วยงาของพญาช้างเผือก และตัวหมากอีกข้างหนึ่งทำด้วยไม้มะเกลือ แต่ก็ถือว่าทั้งสองข้างก็มีศักดิ์แสมอกัน เว้นแต่ใจผู้เล่นไม่สู้เท่านั้น จึงจะยกมาเป็นข้ออ้างว่าเป็นงาสู้กับไม้มะเกลือไม่ได้”
พระเจ้าแปรตวาด
“ไอ้คนถ่อยลิ้นสามหาว มหาดเล็ก ไปตามไพร่ล้อมวังเอาตัวไอ้ขี้ทูตผู้นี้ไปลากลิ้นออกมาสับให้แร้งกินเสีย” “ข้าพเจ้านี้ตายไม่เสียดายชีวิตแล้ว เพราะเกิดมาชาตินี้มีบุญได้เห็นกษัตริย์ตกใจตื่นต่อความตาย ถ้าหัวเมืองแม้แค่ชั้นตรีจัตวารู้ว่า พระเจ้าแปรมีน้ำใจเหมือนหนึ่งสตรีดังนี้ คงจะเดินทัพมาตีชิงเมืองเสียนานแล้ว” (ตะคะญีเอาอีกแล้วปากร้ายกว่ารอบแรกอีก555)
พระเจ้าแปรพิโรธอย่างที่สุด แต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร
ปะขันหวุ่นญีบอก
“อย่าหลงคารมยั่วไอ้พวกตองอูเลยพระองค์ท่าน แม่ทัพตองอูนั้น หาเป็นกษัตริย์ตองอูยกมาเองดังเช่นครั้งก่อนไม่ พระองค์ก็ตรัสเองว่าไพร่ ไฉนจะลดพระองค์ลงไปเปรียบกับไอ้คนทรยศที่เคยอุปการะมา ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพแปรสมควรตายด้วยความอับอาย หากปล่อยกษัตริย์แปรยุทธหัตถีกับไพร่ ข้าพเจ้าขอสงวนลิ้นเจ้าฑูตนี้ไว้ ให้กลับไปบอกแม่ทัพมันให้เตรียมกำลังทหารไว้ อีกเจ็ดวันจงโผล่หัวออกจากค่ายมาทำศึกกัน ข้าพเจ้าจะออกไปดวลศึกกับมัน จะไม่ให้ใครมาดูหมิ่นแม่ทัพแปรเช่นข้าพเจ้าเด็ดขาด”
ตะคะญี...ยิ้มพอใจ
ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบเห็นเม็ดฝนพร่างพรู ตกต่อเนื่อง ทหารตองอูวิ่งไปวิ่งมาด้วยความดีใจที่ฝนตก บ้างก็รองน้ำ บ้างก็อาบน้ำให้ช้าง-ม้า ตะคะญีอยู่กับจาเลงกะโบยืนกอดอกดูฝนตกอย่างพอใจ
บนเชิงเทิน มองออนยืนหลบฝนอยู่กับทหารบางคน รานองเดินฝ่าสายฝนขึ้นเชิงเทินมา มีมหาดเล็กกางร่มให้ มองออนกับทหารรีบออกมาประจำหน้าที่ รานองมองออกไปยังค่ายตองอูอย่างวิตก
“ฝนตกหนักอย่างนี้พวกมันคงถูกน้ำท่วมตาย ก่อนถึงกำหนดวันทำศึกเป็นแน่” มองออนบอก
รานอง เอาแต่จ้องไปข้างหน้าเงียบๆ
“เป็นไปไม่ได้ จะเด็ดรู้ดีว่าอีกไม่เกิน7 ราตรี น้ำจะหลากท่วมใหญ่ เขามัวทำอะไรอยู่จึงไม่จัดทัพออกมารบ มันผิดปกตินะ ท่านมองออน”
อุปราชรานองทั้งกังวลและแปลกใจ
บริเวณสันเขื่อนกระสอบทราย ฝนที่ตกลงมา ทำให้น้ำเอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ ทหารตองอูนั่งเฝ้าระวังเขื่อนอยู่ ตะคะญีกับจาเลงกะโบขี่ม้ามาตระเวนดูระดับน้ำในเขื่อน แล้วหันมายิ้มกับจาเลงกะโบ
ฝนยังตกพรำ….ปะขันหวุ่นญี พยายามซ้อมยุทธหัตถีอยู่บนหลังช้างที่ทำด้วยฟาง สีหน้ามุ่งมั่น อยู่ที่หน้าบ้าน โชอั้ว โชอีป เฝ้าอยู่ใกล้ๆไม่กล้าหลบฝน
ชิงเทินกำแพงเมือง พระเจ้าแปรทรงทอดพระเนตรสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา มีรานองกับมหาดเล็กหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
“ปีนี้ฝนมาเร็วทันใจแท้ อีกไม่นานน้ำก็จะหลากเข้าท่วมรอบกำแพงแปร พวกตองอูมันจะดื้อด้านทนกับน้ำหลากก็ให้รู้ไป”
รานองยิ้มพอใจ
“ตองอูยังตั้งมั่นอยู่แต่ในค่าย เหมือนไม่รู้ว่าอีกไม่กี่เพลาจะไม่มีใครอยู่ได้ ถ้าน้ำหลาก”
“เรานี้ภาวนาเทพยดาทุกคืนให้ฝนตกฝนก็ตกทันที ทีละแปะ...แปะก่อน แล้วก็ตกโครมลงมา ฮ่า ฮ่า ฮ่า จนป่านนี้ ห้าวันห้าคืน แล้วก็ยังไม่หยุด ฮะๆ แปรนี้มีเทพยดาแลมีธรรมชาติช่วย ไอ้พวกกระหายสงครามอย่างตองอู เดี๋ยวก็จะรู้สึก”
พระเจ้าแปรยังคงทอดพระเนตรสายฝนอย่างมีความสุข แต่รานองนั้นกลับทุกข์หนักขึ้นเรื่อยๆ
ฝนตกต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แล้ว น้ำฝนที่ตกลงสู่บึง จนน้ำจะล้นสันเขื่อนแล้ว ทหารที่หลังเขื่อนกำลังตรวจตราสลักเขื่อน และใช้ช้างจัดวางท่อนซุงให้ หันไปตามทิศทางน้ำที่จะพุ่งเข้าสู่แปรอยู่อย่างขมักเขม้น
ท่ามกลางสายฝน จะเด็ดยืนม้ามองอยู่กับตะคะญีและจาเลงกะโบ
“พรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันชนช้างกับท่านขุนพลปะขันหวุ่นญี ครูท่านจงมาตั้งมั่นอยู่ที่นี่ คะเนว่า การยุทธใกล้จะเริ่ม ครูท่านจงพังเขื่อนปล่อยน้ำลงไปให้สำเร็จ”
ตะคะญีบอก
“ขอแม่ทัพท่านจงวางใจอย่าเป็นกังวล กำลังพระแม่คงคาที่อยู่ในบึงนี้ กำแพงเมืองที่แข็งแรงกว่ากำแพงเมืองแปรสักสามเท่าก็ไม่อาจต้านทานอยู่ แต่ข้าพเจ้าขอเตือน...ปะขันหวุ่นญีนั้นแม้จะมีอายุกว่า...แต่ฝีมือนั้นไม่เป็นรองแม่ทัพใดในพุกามประเทศ”
จะเด็ดมองดูน้ำอย่างเคร่งเครียด
“ข้าพเจ้าหวังว่าการชนะในศึกครั้งนี้ คงไม่น่าเป็นการเอาชีวิตซึ่งกันและกัน”
เส้นทางตองอู-แปร ธงแม่ทัพ สีเหลืองรูปยูงฟ้อนโบกสะบัด จะเด็ดในชุดแม่ทัพเต็มยศนั่งอยู่บนหลังช้าง
ตะคะญีนั่งช้างตามหลัง จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง ควบม้าคุมกองทัพตามเหล่าของตัวในชุดรบ กองทัพทั้งหมดเคลื่อนไปข้างหน้าฝุ่นตลบ
ประตูเมืองแปรเปิดออก ขบวนทัพแปรเคลื่อนออกจากประตูเมือง ในขณะที่ฝนยังตกอยู่ ปะขันหวุ่นญีนั่งช้างออกมาอย่างองอาจสมกับแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ขบวนช้างตองอู ยืนแถวรอคำสั่งประจัญบานอยู่อย่างทระนง
จะเด็ดนั่งถือง้าวอยู่บนคอช้างนิ่ง เดาใจจะเด็ดไม่ออกว่า คิดอะไรอยู่
บนเชิงเทิน พระเจ้านรบดีแปรประทับยืนมองทัพทั้งสองอย่างกังวล เอื้อมหัตต์ไปรองน้ำฝนดู
“เพราะเหตุใดเพลานี้น้ำจึงยังไม่หลากมา ทั้งๆที่ฝนตกหนักมาเกินเจ็ดราตรี มันผิดวิสัยฤดูการนะท่านรานอง”
รานองตกใจ นึกได้...
“เป็นไปได้ไม๊พระองค์ท่าน จะเด็ดอาจจะหาต้นน้ำที่จะทำให้เกิดน้ำหลากได้”
“ท่านหมายถึงอะไร”
“บึงน้ำทิศเหนือนั่น ทำไมไม่เห็นมีสายน้ำเส้นไหนไหลผ่านเมืองเราเลย”
พระเจ้าแปร กับรานองต่างตกใจ
บึงน้ำด้านตะวันออก ช้าง 5-6 เชือกถูกผูกอยู่กับสลักเดือยที่สันเขื่อน ทหารทุกคนเตรียมพร้อมลุ้นระทึก
ตะคะญียืนม้าเงี่ยหูฟัง ม้าเร็วควบฝ่าสายฝนตรงมาหาตะคะญี
“กองทหารตองอูเข้าประจันหน้ากับกองทหารแปรแล้วพ่อครู”
ตะคะญีรีบหันไปสั่ง
“พวกเรา ทลายเขื่อน”
ควาญช้างรีบบังคับช้างเดินหน้าลากเสาสลักเขื่อนออก ปรากฏว่าเสาหัก ตะคะญีตกใจ
“เอาเสาต้นใหม่มาเร็ว”
ทหารวิ่งกลับไปเอาเสาต้นใหม่มาเสียบเพิ่ม
“เอาเสามาเพิ่มอีกหลายๆต้น”
จาเลงกาโบต่างช่วยกันไปแบกเสามาเพิ่มอีก
ขบวนทัพแปรเคลื่อนมาหยุดประจันหน้าทัพตองอู ปะขันหวุ่นญีนั่งช้างอย่างองอาจมองมาที่จะเด็ดซึ่งนั่งอยู่บนคอช้างนิ่ง
“จะยืนช้างนิ่งอยู่ทำไม เมื่อพาลจะทำศึกกับเมืองแปรแล้วก็จงไสช้างออกมา จะมัวคิดวิตกกลัวอะไร”
“ข้าพเจ้ามิได้กลัวตาย แต่เมื่อจะต้องรบกับแปรก็อดนึกถึงน้ำพระทัยพระเจ้าแปรมิได้ แต่ก็โล่งใจที่พระองค์มิได้เป็นแม่ทัพนำมาเอง ขอท่านจงรับมือข้าพเจ้าให้ดีเถิด”
จาเลงกาโบและทหารพากันยกเสามาอีก 3-4 ต้นมาเสริมเขื่อนอย่างทุลักทะเล
“เร็วเอาช้างลากให้ทลาย คราวนี้อย่าให้พลาด”
จาเลงกาโบเสริมเสาเสร็จ...รีบวิ่งไปขึ้นช้างทันทีควาญช้างพยายามบังคับช้างดึงอย่างแรง แต่คราวนี้ เนื่องจากมีเสามากจึงทำให้แข็งแรงกว่าเดิม
“ช้างลากไม่ไหว”
ช้างทำท่าลากไม่ไหว จาเลงกาโบเอาตะขอสับช้างอย่างแรงไปหลายที
ตะคะญีตกใจ
“เร็ว…บังคับมันให้ได้”
ทุกคนพยายามช่วยกันเต็มที่จนกระทั่งกระสอบค่อยๆพังทลายออกทีละน้อยๆ น้ำในเขื่อนทะลักพุ่งออกมาตามรอยแยกแล้วก็ทลายลงมาทั้งหมด น้ำทะลักไหลวิ่งไปตามทาง พุ่งเข้าหากองทหารม้าแปรที่ขวางทางน้ำอยู่จนล้มระเนระนาด น้ำหอบเอาซุงที่จัดไว้ไหลตามน้ำไปอย่างแรง เสียงดังสนั่น
กองทหารตองอูที่นำโดยสีอ่อง เตรียมตัวบุกเข้าเมืองแปร ด้านที่ประตูพังเพราะถูกสายน้ำทำลาย
“ทหารตองอูทุกคนเตรียมตัวบุกเข้าเมืองแปร”
น้ำไหลทะลักหอบซุงมาเป็นลำตามทาง ต้นไม้ริมตลิ่งถูกซุงพุ่งชน หักโค่นพังทลาย เสียงดังสนั่น ทหารประจำการกำแพงกรุงแปรอีกด้านหนึ่งได้ยินเสียงน้ำบ่า
“เฮ้ย...เสียงอะไร”
ยังไม่ทันมีใครตอบ ลำน้ำก็หอบซุงนับสิบต้นพุ่งพ้นราวป่ามาเข้าหากำแพงอย่างรุนแรง ทหารตาเหลือกกระโดดหนีกันจ้าละหวั่น แต่ยังไม่ทันขยับตัว น้ำก็โถมเข้ามาบนกำแพงซัดจนลอยตกกำแพง
ซุงที่ไหลมากับน้ำก็กระแทกกระทั้นกำแพงเมืองระลอกแล้วระลอกเล่า จนกำแพงแตกทลายออกไปเป็นช่อง….แต่น้ำก็ยังไหลบ่ามาเรื่อยๆอย่างน่ากลัว
ลานสมรภูมิ จะเด็ดบอกปะขันหวุ่นญี
“ท่านปะขันหวุ่นญี อย่ามัวมาชนช้างกับข้าพเจ้าเลย จงหาทางพาทหารไปอุดกำแพงทางทิศตะวันออกเถิด”
ปะขันหวุ่นญีละล้าละลัง ตัดสินใจไม่ถูกว่าต้องทำอย่างไร
บนเชิงเทินกำแพงเมืองแปร ทหารแปรผู้หนึ่งเนื้อตัวเปียกปอนควบม้ามาอย่างรวดเร็ว โดดลงจากหลังม้าวิ่งขึ้นไปเฝ้าพระเจ้านรบดี
“พระเจ้าอยู่หัว... กำแพงด้านตะวันออกถูกพวกตองอูมันทดน้ำพุ่งเข้าใส่จนกำแพงพังเสียหายสิ้นแล้ว”
รานองบอก
“เราถูกจะเด็ดมันหลอกให้ชะลอศึก เพื่อจะได้มีเวลาทดน้ำนี่เอง”
พระเจ้านรบดีกับอุปราชรานองเจ็บแค้นอย่างที่สุดที่เสียรู้
ทุ่งหน้ากำแพงด้านตะวันออก สีอ่องควบม้านำกองทัพตองอูฝ่าสายฝนบุกมุ่งตรงไปที่กำแพงเมืองแปรด้านพังทลายเพราะแรงน้ำ ทหารแปรที่รักษาประตูเมืองมีกำลังน้อย พากันทิ้งหน้าที่วิ่งหนีเอาตัวรอด
บนเชิงเทิน พระเจ้าแปรประทับยืนนิ่ง น้ำตาเอ่อนอง รานองยืนสงบนิ่ง เสียใจไม่แพ้กัน
“เราอย่ารบต่อเลย บอกปะขันหวุ่นญีถอยทัพเถิด อย่าให้เสียชีวิตไพร่พลมากไปกว่านี้อีก แม่ทัพหามีแต่ความกล้าเท่านั้น ควรมีคุณธรรมด้วย เมื่อวางแผนผิดก็จงยอมรับผิดเถิด อย่าอาย เชิงการศึกเราสู้มังฉงายไม่ได้จริงๆ เมืองตองอูได้แม่ทัพรุ่นใหม่ที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน”
รานองสุดจะทน ทรุดลงคุกเข่าร้องไห้อย่างไม่อาย
จะเด็ดเดินมาตามระเบียงด้วยท่าทีคุ้นเคย ม่านหลุดหลุ่ยปลิวไปมา ที่พื้นระเบียงมีเศษใบไม้แห้งเกลื่อนเนื่องจากไม่มีผู้เอาใจใส่มานาน นางกำนัลแก่ๆ 2-3คนหมอบอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง
“ท่านข้าหลวง เราใคร่จะพบตัวตะละแม่กุสุมา”
นางข้าหลวงคนหนึ่งลุกเข้าไปข้างใน คนที่หมอบอยู่มีอาการสั่นอย่างหวาดกลัว สักครู่ นางข้าหลวงคนนั้นก็เดินกลับออกมา แต่ผู้ที่ตามออกมาเป็น อเทตยา
“อเทตยา…น้องท่าน”
อาเทตยายืนนิ่งไม่พูดไม่จา สีหน้าหมอง ดูทรุดโทรม
จะเด็ดยิ้ม
“จะไม่ทักข้าพเจ้าสักคำหรือ หรือว่าเป็นเทวีของสอพินยาแล้วจึงรังเกียจมังฉงาย”
อเทตยามีอาการเหมือนจะยั้งตัวไว้ แต่แล้วยั้งไม่อยู่โผเข้ากอดจะเด็ดเต็มแรง เขาตกใจแต่คุมสติไว้ดึงมืออเทตยาหลบเข้าไปข้างใน นางข้าหลวงชะโงกหน้าตามดู จะเด็ดเหลียวไปทำหน้าดุๆพวกนั้นจ๋อยหลบไปหมด
อเทตยากอดจะเด็ดไม่ยอมปล่อย จะเด็ดไม่กล้าแกะมือออก ได้แต่กอดปลอบโยนจูบลงที่ผมอย่างเห็นใจ
นางหลับตาคอยรับจูบ จะเด็ดชะงักเงยหน้าถอนใจกอดนางเฉยๆ อเทตยาน้ำตาตก
“ท่านร้องไห้ทำไม”
“ข้าพเจ้าสวามิภักดิ์รักท่านแม้จะถูกห้ามถูกกีดกันทุกทาง ไม่เหมือนพระพี่นางกุสุมา ข้าพเจ้าอยากจะยืนแนบอกท่านอย่างนี้”
จะเด็ดจ้องมองพยายามหักห้ามใจ อเทตยาร้องไห้น้อยใจ
“น่าน้อยใจนัก ไม่มีหญิงใดจะใคร่ได้รอยจูบจากชายคนรักเหมือนที่อเทตยาใคร่จะได้จากท่าน”
จะเด็ดโอบกอดแน่นเข้า
“ข้าพเจ้านี้อยากจูบท่านจนใจสั่น แต่ที่ไม่...เพราะต้องไม่ลืมว่าเบื้องหน้าอเทตยาจะต้องเป็นสะใภ้หลวงหงสาวดี ข้าพเจ้าไม่อยากทรมานในวันหลัง”
“คิดหรือว่าข้าพเจ้าจะยอมเป็นของสอพินยา”
“ถึงท่านไม่ยอมแต่ตัวท่านเป็นสิทธิของพระเจ้าแปร มีหรือจะขัดขืนได้”
อเทตยาหัวเราะจ้องหน้าจะเด็ดนิ่ง
“อเทตยา”
“ท่านทำศึกครั้งนี้ อุปมาเหมือนทะลายขุนเขาเพื่อหาแก้วมณีร้าวเพียงเม็ดเดียว น่าเสียดายจริงๆ”
“ท่านหมายจะพูดว่าอะไรหรือ”
“ข้าพเจ้าจะบอกให้เอาบุญ จงกรีฑาทัพไปทางทิศใต้ล้อมเมืองที่ชื่อกรุงหงสาวดีไว้เถิด แล้วแจ้งให้พระเจ้าอยู่หัวสการะวุติพีส่งตัวน้องสะใภ้มาให้ นั่นแหละท่านจึงจะพบสิ่งที่ท่านต้องการ”
จะเด็ดไม่เข้าใจ
“อเทตยา พูดใหม่อีกครั้งให้เข้าใจง่ายๆ”
“จะพูดอีกกี่ครั้งก็ได้ อุปราชสอพินยาได้พาตะละแม่กุสุมาไปหงสาวดี ตั้งแต่วันที่ท่านหนีออกจากเมืองแปรวันนั้นแล้ว”
จะเด็ดตลึงจ้องอเทตยา
“ท่านเป็นชายชาตรี กลัวอะไรกับหนามแหลมของต้นงิ้ว จงยกทหารไปแย่งเมียเขาเถิด โลกจะได้ลือลั่นว่า เป็นยอดทหาร ที่กรุงหงสาวดีตะละแม่กุสุมานางแก้วประจำใจมังฉงาย คงจะอุ้มท้องบุตรสอพินยารอคอยท่านอยู่”
จะเด็ดผลักตัวอเทตยาอย่างลืมตัว
“ปากกล้าสามานย์คะนองนัก พูดความเท็จได้ไม่อายปาก”
อเทตยาไหว้สูงเหนือหน้าผาก
“เทพยดาจงทำลายชีวิตข้าเถิด ถ้าคำพูดนี้ไม่ใช่ความจริง”
จะเด็ดหน้ามืด ซวนเซจะล้มลงจนต้องคว้าตัวอเทตยายึดเป็นหลัก..
วันใหม่ ท้องพระโรงฝ่ายหน้าแปร พานพระสุพรรณบัฏประดิษฐานอยู่บนบัลลังก์ที่พระเจ้าแปรเคยประทับ พร้อมเครื่องยศพระราชทานต่างๆของพระเจ้าตะเบงชเวตี้ พระเจ้านระบดีประทับอยู่บนพระราชบัลลังก์ด้านซ้าย จะเด็ดสีหน้าเศร้ามาก ในชุดแม่ทัพตองอูนั่งอยู่บนแท่นด้านขวาระดับเสมอพระเจ้านรบดี ตรงกลางเป็นพราหมณ์หมอบเฝ้าอยู่ คนอื่นๆอยู่ในตำแหน่งของตัวเองแยกเป็นสองเมือง หันหน้าสู่บัลลังก์
อาลักษณ์ประกาศ
“พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้มังตรา ขออวยพรมายังจะเด็ดนายทัพและทหารตองอูทั้งหลายในเมืองแปร เผด็จการศึกด้วยกลยุทธไม่เปลืองชีวิตทหาร จึงควรจารึกนามจะเด็ดไว้ในแผ่นสุพรรณบัฏ คืนตองอูเมื่อใด จะทำพิธีอภิเษกสมรสด้วยพระพี่นางจันทราตามที่ได้ให้สัตย์วาจา นับจากวันจารึกในพระสุพรรณบัฏนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศให้คนทั้งปวง นับจะเด็ดแม่ทัพแห่งเราว่าเป็นดั่ง “ พระเชษฐ์ภารดรพระเจ้าตองอู” ออกนามยศเป็น “บุเรงนองกยอดินนรธา” ดำรงอาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพตองอูโดยสมบูรณ์”
จบประกาศเสียง ประโคมดังขึ้น จะเด็ดและทุกคนถวายบังคมพระสุพรรณบัฏ แล้วเดินไปเอาพานอัญเชิญมาจบไว้เหนือหัว (จะเด็ดได้ยศใหม่พร้อมชื่อใหม่ว่าบุเรงนองคนอื่านอย่างงนะครับ)
วันใหม่ บุเรงนองปลอมตัว ขี่ม้าพุ่งออกมาจากในเมืองอย่างรวดเร็ว แต่งกายกึ่งทหารแต่มีผ้าโผกคลุมศีรษะเหมือนชาวบ้าน ถือทวน ดาบขัดหลังและธนูด้วย
บุเรงนองควบม้ามาอย่างเร็วด้วยสีหน้าที่อัดอั้น เสียใจ เจ็บใจอย่างสุดขีด
เสียงจาเลงกาโบถาม
“จะเด็ด จะเด็ด ท่านจะไปไหน”
บุเรงนองหันไปมอง ไม่พูดควบม้าต่อไปเร็วขึ้น จาเลงกาโบควบม้าตามมา
“ข้าพเจ้าจำท่านได้นะจะเด็ด ท่านจะแปลงกายอย่างไร ข้าพเจ้าก็จำได้”
จาเลงกาโบควบม้าตามจะเด็ดไปอย่างรวดเร็ว
บุเรงนองควบม้าลุยข้ามน้ำจนน้ำกระจาย จาเลงกาโบควบม้าตามมา
“ข้าพเจ้ารู้นะว่า ท่านนั้นแค้นในหัวอกเรื่องตะละแม่กุสุมา แต่ท่านเป็นถึงแม่ทัพ จะทิ้งหน้าที่ไปเพราะเรื่องอารมณ์ส่วนตัวได้อย่างไร”
บุเรงนองควบม้ามาหยุดอยู่กลางสายน้ำที่เชี่ยวกราด บุเรงนองจ้องมองฟ้า ไม่พูด เบือนหน้าหนี
จาเลงกะโบพูดอย่างฉุนเฉียว
“ทำไมเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ กุสุมาเป็นหญิงใจคด แต่ท่านกลับทอดชีวิตให้นาง แล้วทีหญิงใจซื่อทำไมท่านไม่สนองคุณความดี ไม่สมเป็นบุรุษชาติอาชาไนย”
“ถ้าข้าพเจ้าเป็นพญานาคราช ตะละแม่จันทราก็คือแก้วมณีที่ฝังอยู่ที่ยอดมงกุฎเหนือหัว ถ้ารักจะคบกันอย่าพูดจาดูถูกข้าพเจ้าอีก”
บุเรงนองนิ่ง หน้าเศร้าจนจาเลงกะโบสงสาร
“ท่านจะหนีไปอย่างนี้ แล้วกองทัพตองอูใครจะดูแล”
“ข้าพเจ้าบอกท่านครูตะคะญีบิดาท่านแล้ว”
“ไม่เห็นพ่อบอก”
“ไม่ได้บอกตรงๆ เขียนจดหมายฝากไว้ ปล่อยข้าพเจ้าไปเถิด ชีวิตนี้หากข้าพเจ้าไม่ได้รู้ความแท้ในหัวใจกุสุมา ข้าพเจ้าคงอยู่อย่างตายเปล่า”
“ท่านจะไปนานเพียงใด”
“เพียงให้รู้ใจกุสุมา แล้วจะรีบกลับ”
“ท่านจะไปเพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ”
บุเรงนอง พยักหน้าเศร้าๆ จาเลงกะโบหันมามองยิ้มแล้วส่ายหน้า. ยอมแพ้ความดื้อของจะเด็ด
“ข้าพเจ้าจะปล่อยให้แม่ทัพตองอูไปผู้เดียวได้อย่างไร”
จะเด็ดไม่ยิ้ม...แต่ตาเป็นประกายดีใจ
“แต่ท่านต้องสัญญาว่า เมื่อสิ้นเรื่องข้องใจแล้วต้องรีบกลับตองอูนะ”
จะเด็ดไม่ตอบ...ได้แต่ยิ้ม แล้วชักม้าควบออกไปต่อทันที จาเลงกาโบควบตาม ทั้งคู่ควบม้าลุยน้ำไปอย่างรวดเร็ว จนน้ำกระเซ็นเป็นสาย
วันใหม่ ท้องพระโรงฝ่ายหน้า กรุงหงสาวดี ขบวนมโหรีแห่นำสีวิกาเจ้าสาวกุสุมาและฝ่ายในมาหยุดอยู่ที่เชิงบันไดมหาปราสาท ข้าราชบริพารหงสาวดีและเหล่าทหารรอรับเสด็จเต็มพื้นที่ ไขลูยืนเด่นอยู่บนระเบียง
สอพินยาประทับรออยู่ที่พระแท่น หน้าบัลลังก์พระเจ้าสการะวุฒพีและเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์สีหน้าเบิกบาน
กลางท้องพระโรงเป็นเขตราชวัตรสำหรับพิธีอภิเษก มีใบศรีขนาดใหญ่ตั้งเป็นจุดประธาน
นางข้าหลวงแหวกม่านวิสูตรอัญเชิญตะละแม่กุสุมาลงจากสีวิกาพร้อมพระอัครเทวี นำเสด็จขึ้นมหาปราสาท
กุสุมากราบถวายตัวแด่พระเจ้าสการะวุฒพีและสอพินยา
สอพินยากับกุสุมาหมอบกราบบนพระเขนยคู่อภิเษก พราหมณ์เจิมหน้าให้แก่คู่อภิเษก สอพินยามองกุสุมาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสุข ส่วนกุสุมานั้นสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาแสนเศร้า อัครเทวีแอบปลื้มร้องไห้อย่างมีความสุข
พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ทยอยทำพิธีผูกข้อมือให้คู่อภิเษก พร้อมอวยพรให้ทีละคน ขบวนแห่คู่อภิเษกขึ้นรถม้าแห่ออกจากพระราชวังหลวงให้ผู้มาเฝ้าได้ชมพระบารมี โดยมีไขลูขี่ม้านำขบวน ผู้เข้าเฝ้าตามพากันโปรยดอกไม้อวยชัย
หลายวันต่อมา ถนนเรียบชายทุ่ง หน้าหมู่บ้านทุ่งหันสาวัดดี บุเรงนองกับจาเลงกะโบสองคนขี่ม้ามาช้าๆ
ชาวบ้านที่กำลังเอาช้างอาบน้ำอยู่ริมตลิ่งต่างหันมามอง บางคนโบกมือให้ ทั้งคู่ขี่ม้าเรื่อยๆ
จาเลงกะโบบอก
"เราเข้าเขตหงสาแล้วแน่ๆ ดูผู้คนแต่งตัวแปลกไป ถ้าตรงไปอีกคงจะเข้าหมู่บ้าน เราพักกันที่หมู่บ้านนี้ก่อนไม๊"
"ข้าพเจ้าจะเข้าไปใจกลางเมือง"
"ถ้าเข้าไปกลางเมือง เราจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินสามราตรี"
"จาเลงกะโบท่านตามมาคอยรั้งข้าพเจ้าใช่มั๊ย เหมือนไม่รู้ว่าข้าพเจ้ามาหงสาทำไม ถ้าวิตกเรื่องอันตรายก็กลับไปทางเก่าเถิด ไม่ต้องไปต่อ"
จาเลงกะโบเสียงดัง
"ก็ได้... ท่านไปคนเดียวก็ได้ ข้าพเจ้าก็แค่เตือนว่า ท่านจะหักด้ามพร้าด้วยเข่า ระวังเข่าจะระบมแล้วกัน"
บุเรงนองพอเห็นจาเลงกะโบเอาจริงก็นิ่งอึ้งไป
ทั้งสองคนขี่ม้าเข้ามา จาเลงกะโบมองต้นไทร
"เราจะฝากเครื่องอาวุธไว้กับพระไทร"
บุเรงนองไม่ตอบ แต่ก็ไม่คัดค้าน ลงจากม้าเอาอาวุธออกจากอานม้า...ห่อผ้า จาเลงกะโบก็เข้าไปเอาเครื่องอาวุธออกมาวางบนคาคบไทร แล้วไหว้พึมพำฝากฝัง บุเรงนองทำตามเหมือนไม่สนใจ แล้วเอาเชือกปอห่อผูกรัดไว้กับกิ่งไม้
มีชาวบ้านสูงอายุพายเรือผ่านมา จาเลงกะโบตะโกนถาม
"หมู่บ้านข้างหน้าชื่ออะไร"
ชายแก่บอก
"หมู่บ้านนี้ชื่อบ้านหันสาวัดดี พวกเราอยู่ที่นี่เป็นพรานล่าช้าง"
จาเลงกะโบสีหน้าตื่นเต้น
"ล่าช้างหรือลุง"
"พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเบี้ยหวัดเงินปี ให้พวกข้ายึดอาชีพคล้องช้างหลวง"
"เหมาะจริงลุงท่าน ข้าพเจ้าหนีร้อนมาพึ่งเย็น อยากพบจ่าบ้าน"
ชายแก่ชี้ไปไกลๆ
"โน่น...บ้านหลังใหญ่สองเรือนคู่ บนเรือนประดับงาแก้ววางไว้เป็นอันงาม ที่นั่นเจ้าถามหาชื่อ ไปฟยูเถิด"
ไปฟยูคนนี้มีหนวดเครา ผมยาว แววตาฉลาด หันหลังดูแลช้างอยู่ แล้วค่อยๆหันมาช้าๆในมือมีเชือกหนังสำหรับคล้องถืออยู่
ต่อมา
"เรานี่เหละ ไปฟยู"
ทั้งสองคน ยกมือไหว้
ไปฟยูซักถาม
"มาจากไหน คนเมืองอะไร ทำผิดหนีมาหรือเปล่า"
"เราสองคนเป็นคนแปรบิดามารดาตายแล้ว ข้าพเจ้าเมงจะ แล้วนี่ เมงจา เป็นลูกผู้พี่อยู่เมืองแปรร้อนรนนักหนา ด้วยมีศึกชาวป่าพวกโมนยิน เราถูกมันแย่งชิงสมบัติ งาช้างตั้งเยอะตั้งแยะพวกมันเอาไปหมด" บุเรงนองบอก
ไปฟยูทำตาโต
"ใช่ ช้างป่ากำลังหัดไว้ดีๆ มันก็เอาไปทำศึก" จาเลงกะโบบอก
"โอ้โห เสียดายจริงๆ เจ้าสองคนทำอะไรกินถึงมีช้างงาช้างเยอะแยะ"
"เราสองคนเป็นพรานช้าง หางาช้างแลคล้องช้างขาย"
ไปฟยูตีเข่าแรงๆ
"เหมาะจริงๆ"
จาเลงกาโบตีหน้าซื่อมาก
"เหมาะอะไรหรือท่านจ่าบ้านไปฟยู"
ตัดมาที่หงสาวดี
ตำหนักสอพินยา เวลากลางคืน กุสุมานอนหันหลังให้ สอพินยานอนเหม่อมอง สถานการณ์หลังการแต่งงานของสอพินยายังไม่ดีขึ้น
ลานหน้าเรือนไปฟยู วันต่อมา บุเรงนองกับจาเลงกะโบช่วยไปฟยูควั่นเชือก ทุกคนควั่นกันรวดเร็วมากพริบตาเดียวได้เชือกเส้นยาวเฟื้อย และอีกพริบตาเชือกยาวออกมาอีกเท่าตัว ไปฟยูพอใจ บุเรงนองกับจาเลงกะโบช่วยกันเก็บกวาดขี้ช้างอยู่ เชงสอบูออกมาแอบดู จาเลงกะโบหันไปสะกิด บุเรงนองๆหันมองตาม หล่อนหลบวูบไป
(จะเด็ดไปหนใดสาวที่ไหนก็หลงรัก ดวงมาด้านนี้จริงๆเลยพ่อจะเด็ด)
บุเรงนองกับจาเลงกะโบกำลังผ่าฟืน เชงสอบูมาแอบดู แต่พอบุเรงนองเหลียวไป หล่อนก็หลบ
บุเรงนองกับจาเลงกะโบช่วยไปฟยูทำกับข้าว เมียพอใจมาก
"เชงสอบู"
"จ๊ะ แม่"
บุเรงนองกับจาเลงกะโบสบตากันแล้วหันไปดู
"อยู่ไหนล่ะลูก"
"อยู่นี่จ้ะแม่"
"เฮ้อ ออกมานี่สิ"
"เดี๋ยวจ๊ะ"
"ลูกข้ากำลังเป็นสาว น่ากลัวจะอาย"
"งั้นข้าลาท่านก่อนนะ ท่านน้า"
บุเรงนองออกไปรวดเร็ว
จาเลงกะโบกำลังอยากเห็นหน้า
"อ้าว รอด้วย เมงจะ"
จาเลงกะโบวิ่งตามบุเรงนองมาที่เรือนพักควาญช้างอย่างโมโหหิว
"ยังไมได้กินข้าวเลยหิวจะตาย รีบกลับมาทำไม"
"เดี๋ยวก็ได้กิน"
"ข้าพเจ้าไม่กลับไปอีกแล้วนะ ยอมอด อาบน้ำนอนดีกว่า"
"ไม่อดดอก อีกสักครู่จะมีคนเอาอาหารมาให้ เชื่อสิ"
จาเลงกะโบกำลังก้าวขึ้นบ้าน หยุดชงักหันมามอง บุเรงนองทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างถือเชิง
เชงสอบูแบกถาดอาหารผ่านพุ่มไม้มา หน้างอๆนิดๆ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างประหม่า เมื่อถึงหน้าเรือนรีบวางถาดแล้ววิ่งกลับไป บุเรงนองโผล่หน้าออกมาเห็นแต่หลังเชงสอบูไวๆ จึงเดินขึ้นไปเอาถาดอาหาร จาเลงกะโบอาบน้ำแล้วโผล่ตามออกมา
"อะไรน่ะ"
"นี่ไง อาหารใช่หรือไม่"
"เอามาจากไหน"
บุเรงนองพูดยิ้มๆ
"มีคนเอามาให้" จาเลงกะโบมองหา บุเรงนองพูดต่อ
"มาแล้ว...ไปแล้ว ลูกน้อยของท่านไปฟยู"
จาเลงกะโบมองบุเรงนองเป็นเชิงปราม
"บุเรงนอง อย่าลืมนะว่ามาหงสาวดีเพราะอะไร"
จาเลงกะโบพูดจบเดินมาคว้าถาดอาหารจากมือบุเรงนองไปทันที บุเรงนองหันไปมองทางเชงสอบูแล้วยิ้มๆ
บุเรงนองกับจาเลงกะโบกำลังช่วยกันอาบน้ำให้ช้างอยู่ในลำธารหน้าบ้านไปฟยู บุเรงนองยังข้องใจ
"ทำไมพี่ท่านถึงคิดว่า ข้าพเจ้าจะลืมว่ามาหงสาวดีเพื่ออะไร"
จาเลงกะโบทำเสียงเข้ม
"แค่เตือน"
"ข้าพเจ้าก็อยากเตือนพี่ท่านเหมือนกันว่า เราจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ทำไม เพราะท่านเจ้ากี้เจ้าการอยากอยู่ต่างหาก ไม่ใช่ข้าพเจ้าสักหน่อย ถ้าใจข้าพเจ้าน่ะ บุกเข้ากลางใจกรุงหงสาวดีแล้ว"
"อนาถนัก ความพิศวาสสิงอยู่ในตัวใคร ที่ฉลาดก็พลอยโง่เง่าไปสิ้น"
"ไหนคนฉลาดบอกมาสิ"
"เข้าไปกลางกรุงหงสาเดี๋ยวนี้อีก 3 วันตาย แต่ถ้าอีก 3 เดือนเข้าไปแต่ไม่ตาย น้องท่านจะเลือกอย่างไหน"
วันใหม่ ในตำหนักสอพินยา กุสุมานั่งนิ่งบนพระแท่น สอพินยาเดินไปมาอย่างหงุดหงิด
"ข้าพเจ้าไม่เข้าใจน้องนาง เราอภิเษกกันเรียบร้อยแล้ว คนทั้งแผ่นดินหงสาวดีรู้กันทั่ว แต่น้องนางยังทำเหมือนข้าพเจ้าเป็นคนแปลกหน้า จะยั่วอารมณ์ข้าพเจ้าไปถึงไหน"
กุสุมานิ่งไม่โต้ตอบ ยิ่งยั่วอารมณ์สอพินยามากขึ้น
"จะเอาอย่างไร จะเสด็จด้วยข้าพเจ้าไปเมาะตะมะหรือไม่"
กุสุมาตอบทันที
"ไม่ไป"
สอพินยาจ้องอย่างไม่พอใจ
"ข้าพเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน เพิ่งจะอภิเษกไม่ถึงเดือนต้องไปราชการเมาะตะมะเพียงผู้เดียว"
"การอภิเษกไม่ได้หมายถึง การบังคับให้ข้าพเจ้าเป็นไพร่ทาสอารมณ์ของผู้ใด"
สอพินยาเสียใจ น้อยใจจนคุมอารมณ์ไม่อยู่ คว้าของใกล้ตัวขว้างกระเด็น นางข้าหลวงสะดุ้ง แต่กุสุมานั่งนิ่งเฉย ปอละเตียงเข้ามาหมอบกราบอยู่ข้างประตู
"พระมเหสีมินบูเสด็จพระอุปราช"
สอพินยาพยายามระงับอารมณ์โกรธ
มินบูเสด็จเข้าพร้อมกับนางข้าหลวงเชิญพานผ้า 2-3 คน กุสุมาลงหมอบกราบกับพื้น มินบูเข้าไปจับกุสุมาขึ้นมาประทับบนพระแท่นด้วย
"ข้าพเจ้าเป็นห่วงในการเสด็จไปเมาะตะมะ จึงนำเครื่องทรงสังวาลย์ต่างๆมาให้พระน้อง ทรงเลือกใช้ประดับยามเสด็จรับคณะทูตหรือพ่อค้าต่างแคว้น เพราะเมาะตะมะเป็นแคว้นเมืองท่าติดทะเล จะมีทูตจากแคว้นต่างชาติเข้าเฝ้าอยู่ประจำ และทุกคนคงอยากยลโฉมน้องนางเป็นแน่แท้"
ปอละเตียงถือพานผ้าแพรพรรณและสร้อยสังวาลย์มาถวายแก่มินบู ทรงพระราชทานแก่กุสุมา ตะละแม่นิ่งกราบ
"ข้าพเจ้ามิได้เสด็จเมืองเมาะตะมะแล้ว ขอถวายคืนพระมเหสี"
มินบูแปลกใจหันมามองสอพินยาเหมือนถาม
"ป่วยการหาเหตุ ถ้านางมิอยากเสด็จด้วย ข้าพเจ้ายินดีเสด็จแต่ผู้เดียว"
สอพินยาเดินออกไปอย่างไม่พอใจ
"น้องท่านยังมิให้อภัยพระอนุชาอีกหรือ"
"ด้วยเป็นสตรีเช่นกัน ขอพระมเหสีโปรดอภัยข้าพเจ้าเถิด ความรักนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มิอาจลบด้วยทรัพย์ศฤงคารของชายอีกผู้หนึ่งได้"
มินบูปลอบโยน
"กุสุมาน้องท่านลืมคนรักที่เมืองแปรเสียเถิด อันสตรีนั้น เมื่อตกเป็นของผู้ใดขอจงซื่อสัตย์ต่อชายเดียว หาไม่โลกจะตราหน้าให้อายทั้งแผ่นดิน"
กุสุมาสุดจะระงับอารมณ์ได้ โผเข้ากอดมินบูร้องไห้อย่างน่าสงสาร อีกฝ่ายกอดไว้ด้วยความเห็นใจ
"ชะตาชีวิตลิขิตเช่นนี้แล้ว จะหนีพ้นได้อย่างไร"
จาเลงกะโบกำลังให้อาหารช้างอยู่ ไปฟยูเดินเข้ามา เชงสอบูช่วยขนหญ้าช้างตามมา
"เมงจะไปไหน"
จาเลงกะโบบอก
"ไม่สบายนะท่านจ่าบ้าน นอนซมลุกไม่ไหว"
"อ้าว...เหรอ เชงสอบู....เชงสอบู"
"จ๋า...พ่อ"
เชงสอบูวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง
"เมงจะไม่สบาย ไปดูหน่อยซิ"
เชงสอบูหุบยิ้ม เงียบ จาเลงกะโบแอบมอง
"ไปซิ เอ๊ะ ลูกคนนี้ เอายาไปด้วยเร็วๆ"
จาเลงกะโบชำเลือง เห็นแต่เท้าเชงสอบูเดินไป ก่อนถอนใจเฮือกใหญ่อย่างเป็นกังวล
ในเรือนพักควาญช้าง บุเรงนองนอนไม่สบาย เชงสอบูก้าวขึ้นเรือน เสียงเรือนลั่น
บุเรงนองเสียงดังถาม
"ใคร"
เชงสอบูชงัก แล้วเอาห่อยาวางลงที่ชานบ้าน และค่อยๆถอย บุเรงนองคลุมผ้าห่มโผล่ออกมาจากประตู ตะลึงเล็กๆ เชงสอบูตกใจ มองจ้องบุเรงนอง
บุเรงนองมองหน้าจ้องเพลิน จนเชงสอบูหน้าคว่ำนิดๆ
"ถ้าข้าพเจ้าเดินแรงทำให้เสียงเรือนลั่นจนท่านตื่นก็ขอโทษด้วย"
"ถ้าท่านไม่เดินแรง ข้าพเจ้าไม่ตื่น ไฉนจะได้พบท่านได้ แล้วนี่ เอาอะไรมาให้ข้าพเจ้า"
"ยา...พ่อรู้ว่าท่านไม่สบายเลยให้เอายามาให้"
บุเรงนองเดินมาทรุดนั่งหยิบห่อยามาถือไว้
"เป็นบุญตาเหลือเกินที่ได้มาเห็นดอกไม้ป่าที่นี่ ถ้าให้ข้าพเจ้าเดา ท่านคือลูกจ่าบ้านชื่อ เชงสอบู"
นางหัวเราะ ยิ้มสดใสลืมประหม่า พยักหน้ารับบุเรงนองอย่างจริงใจ ยิ้มให้อย่างมีความสุข
นางหันกลับวิ่งสวนจาเลงกะโบโดยไม่มองหน้า ฝ่ายจาเลงกะโบเดินมาชี้หน้าจะเด็ดเป็นเชิงปรามๆ
"บุเรงนอง... บุเรงนองกยอดินนรธา ตำแหน่งพี่เขยพระเจ้าตองอูชอบที่จะครองตัวให้เป็นมงคลสมกับตำแหน่ง อย่าทำให้งาดีหม่นหมองไปเพราะความคะนอง หรือแค้นหญิงหนึ่งจึงจะมาลงกับอีกหญิงหนึ่ง"
บุเรงนองนิ่งไป
"กุสุมาทำเราเจ็บช้ำก็จริง แต่ความชั่วของคนๆหนึ่งจะมาปรับเป็นความชั่วของทุกคนไม่ได้"
จาเลงกะโบมองอย่างสงสารแล้วตบไหล่
"ไม่ดอกบุเรงนอง ข้าพเจ้าเพียงเตือนท่านไว้ว่าเราเดินทางมาหงสาวดีนี้ด้วยความมุ่งหมายอันใด เมื่อเสร็จการเราจะได้กลับตองอู"
บุเรงนองมองอย่างซาบซึ้ง
เรือเก๋ง.....มีสินเจเป็นนายท้ายพายมาตามลำน้ำ ใครเห็นก็จะรู้ว่า ไม่ใช่เรือชาวบ้าน ปอละเตียงแอบแหวกม่านดู เมงจะ มะจา อาบน้ำให้ช้างอย่างสนุกสนานอยู่เต็มลำธาร หันไปมองปอละเตียงอย่างไม่วางตา นางรีบปิดม่าน ช้างทำน้ำไปโดนเรือโดยไม่ตั้งใจ นางเปิดม่านกว้าง มองมาตาขวาง
"เล่นอะไรกัน ไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร"
เมงจะบอก
"ข้านึกว่าแม่นางเป็นนางไม้เสียอีก ในป่าบ้านนอกอย่างนี้จะมีสาวงามที่ไหนมาล่องเรือเล่น"
"ฉันไม่ใช่ผีสาง ฉันไม่ได้มาล่องเรือเล่น ฉันกลับมาบ้านในฤดูจับช้างทุกปี"
"งั้นแม่นางเป็นใคร วานบอกให้ข้ารู้หน่อย จะได้ไปพบยามคิดถึง"
"เจ้าคนปากสามหาวนี่เป็นใคร"
ควาญช้างบอก
"มันชื่อเมจะ มาเป็นคนเลี้ยงช้างให้จ่าบ้าน เพิ่งมาใหม่"
มะจาถาม
"นางชื่อปอละเตียงหรือ ข้าชื่อเมงจาเป็นเพื่อนเมงจะ ข้าเก่งเรื่องจับช้าง"
"ไม่ได้ถาม"
"อ๋อ...ลูกสาวท่านไปพยู ข้าไม่เคยรู้ว่าท่านจ่าบ้านมีลูกสาวอีกคน สวยมากด้วย"
ปอละเตียงรีบปิดม่านด้วยความงอน เมงจะให้ช้างพ่นน้ำใส่อีก เมงจาทำตาม นางเปิดม่านมาจะต่อว่า พอดีช้างเมงจาพ่นน้ำมาเต็มหน้า สินเจคัดท้ายเรืออยู่หัวเราะชอบใจ ปอละเตียงหันไปหยิบของในเรือขว้าง สินเจหลบ...หงายท้องตกน้ำ พวกควาญช้างพากันหัวเราะชอบใจ ปอละเตียงทั้งโกธรทั้งอาย
ปอละเตียงกำลังเช็ดตัวเดินออกมาอยู่ที่ชานเรือน เมียไฟพยูกำลังทำอาหารอยู่ที่ชานบ้าน
เสียงมะจากับสินเจร้องเพลง นางได้ยินเสียงก็ไม่พอใจ
"อะไรกันนี้ เดี๋ยวนี้พ่อข้าปล่อยให้พวกเลี้ยงช้างส่งเสียงเอ๊ะอะเอ็ดตะโรเรื่อยเปื่อยอย่างนี้เลยหรือ ในวังหลวงเขาไม่ยอมให้ทำเยี่ยงนี้หรอกนะ"
เมียไฟพยูเงียบ ปอละเตียงลุกเดินไปดูที่หน้าต่าง
เมงจะนั่งเล่นดนตรีอยู่บนแคร่ เมงจากับสินเจกำลังรำมอญกันอยู่ พวกลูกเมียควานช้างล้อมวง ตบมือชอบใจ เชงสอบูเดินเอากับแกล้มมาส่งให้ เมงจะมองอย่างพอใจ นางเขินอายไปนั่งกับพวกเมียควาญช้าง แต่ก็อดหันมามองเมงจะไม่ได้
เมงจะบอกให้เมียควาญช้างชวนเชงสอบูรำ นางไม่ยอมอาย เมงจาและคนอื่นๆรำ....หัวเราะอย่างมีความสุข ปอละเตียงเพ่งมองอยู่อย่างไม่พอใจ
"เกลียดนักพวกผู้ชายนี่ พอเหล้าเข้าปากเท่านั้นเฮฮาเข้ากันเป็นปลากระดี่ได้น้ำเหมือนกันหมด เชงสอบูก็ไปคลุกกับพวกมันไม่ไว้ตัวเลย"
เมียไฟพยูบอก
"ไม่เห็นมีการใดต้องไปไม่พอใจพวกเขาเลย เขาจะต้องจากลูกจากเมียเข้าป่าคล้องช้าง ก็ให้เขาสนุกร่ำลากันหน่อยเป็นไร"
เมียไฟพยูทำอาหารต่อ ปอละเตียงจ้องมองไปที่เมงจะที่นั่งมองเมงจาเต้นอย่างมีความสุข แล้วเหลือบมามองปอละเตียงที่แอบมองเขาอยู่ นางตกใจรีบหลบไป
อีกวันหนึ่ง ที่ลานบ้าน ไปฟยูยืนดูเมงจะและคนอื่นๆ ช่วยกันจัดศาลปะลำ บางคนก็ฟั่นเชือก เมียไฟพยูเดินหอบผักผลไม้และฟืนหุงหาอาหารมากับปอละเตียง และเชงสอบู
เมงจะกับเมงจาหันไปมองอย่างไม่วางตา ปอละเตียงเดินคอแข็ง แต่แอบมอง ส่วนเชงสอบูมองเมงจะไม่วางตา เขายิ้มให้ ทำท่าส่งสัญญาณว่าอยากเจอ ปอละเตียงหันมามองน้องสาวอย่างไม่พอใจ พอหันมาเจอเมงจามองอยู่ก็แลบลิ้นใส่
เมงจามองปอละเตียง หัวเราะไม่โกรธกลับชอบใจต่างหาก ไปฟยูเดินมาตบไหล่ เมงจาตื่นจากภวังค์"ข้ากำหนดคล้องช้างไว้ในวันขึ้น 9 ค่ำนี้ ทุกคนต้องจัดสถานที่ให้เรียบร้อยภายในสามวัน และตั้งแต่วันนี้ขอให้ทุกคนถือศีลให้ครบ 5 ข้อ"
พวกควาญช้างท่าทางคึกคักที่จะได้ไปคล้องช้าง
เชงสอบูกำลังแต่งตัวอยู่ ปอละเตียงเดินเข้ามาอย่างไม่พอใจ
"ตะวันตกดินไปแล้วยังจะแต่งตัวอะไรอีก"
"จะออกไปนั่งรับลมที่ริมน้ำหน่อย"
ปอละเตียงจ้องหน้า
"คืนนี้เดือนมืด อย่าออกไปไหน"
"แต่..."
"เรายังเด็กอย่าริคบชาย พี่เห็นนะว่า เราน่ะให้ความสนิทสนมกับเจ้าคนต่างถิ่นจนน่าเกลียด ถ้าออกนอกห้องพี่จะบอกพ่อทันที"
ปอละเตียงขยับจะไป
"แล้วพี่ละจะไปไหน"
"จะไปจับผิดคน"
ปอละเตียงเดินออกไปแล้วงับประตู เชงสอบูวิ่งไปจะเปิด แต่ถูกขัดดานจากด้านนอก
"เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ปอละเตียง ทำไมต้องมาขังกัน เราไม่ออกไปก็ได้ เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ"
ลานใต้ถุนเรือนไปฟยู ในคืนเดือนมืด ปอละเตียงแต่งตัวแบบเชงสอบูลงบันไดด้านหลัง ลัดเลาะไปตามเงามืด ฝ่ายเชงสอบูนอนร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่บนที่นอน
ปอละเตียงเดินลัดเลาะมาตามพุ่มไม้ตรงไปที่เรือนบุเรงนอง พลางคิดว่า จะทำอย่างไรดี เมงจะโผล่ออกมาจากด้านหลังรวบตัวไว้
"ฟ้าเมตตาข้าพเจ้าแท้ ถึงให้เชงสอบูเวทนามาพบข้าพเจ้าถึงนี่"
ปอละเตียงแกล้งเงียบไม่ขัดขืน เมงจะโอบร่างปอละเตียงไว้ในอก ปอละเตียงตัวสั่น เมงจะยิ้มเอ็นดูจับมือมาลูบไล้ เมื่อลูบคลำดูมือแล้วเริ่มเอะใจ ปอละเตียงหวั่นไหวมาก
ข้อมือของปอละเตียงมีกำไลราคาแพงของนางใน เมงจะเคยเห็นเชงสอบูมีกำไลใส่อีกแบบหนึ่ง แล้วเมงจะก็ลอบมองเห็นตุ้มหูสีทองดุจสาวชาววังที่ลอดจากผ้าคลุมผม เมงจะแน่ใจว่าเป็นปอละเตียงแน่
"เชงสอบู"
"หือม์"
บุเรงนองจูบกลางใจมือ ปอละเตียงตัวสั่นสะท้าน เพราะไม่เคยต้องมือชาย
"คืนนี้ขึ้นนอน วานสูดกลิ่นปอละเตียงพี่ท่านเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าทำนี้ที แต่ขอเป็นที่แก้มนะ"
ปอละเตียงหน้าชะงัก หน้าฉงนมาก
"เราคุยเรื่องของเรา เหตุใดจึงเอาชื่อพี่สาวข้าพเจ้ามาเอ่ย"
เมงจะตกใจ
"เชงสอบูไม่กรุณาข้าพเจ้าแล้วหรือ ไหนบอกว่าจะบอกพี่สาวท่านไงว่า ข้าพเจ้าภักดีต่อนาง ข้าพเจ้ารักนางยิ่งนัก ท่านก็รู้"
ปอละเตียงสะท้านใจ เมงจะจูบหนักหน่วงมากขึ้น จนอีกฝ่ายเคลิบเคลิ้ม
ปอละเตียงวิ่งกลับมารู้สึกหอบเหนื่อย หยุดพิงเสาเรือน เคลิบเคลิ้มกับรสสวาท นางยกมือที่เมงจะจับขึ้นมาดูแล้วจูบฝ่ามือตัวเอง
พลางคิดถึงเมงจะที่กอดนางแน่น จนนางอ่อนระทวยซบหน้ากับอก
"ข้าพเจ้ากอดท่านเพราะรักประสาน้องดอก"
เมงจะกอดก่ายสัมผัสไปทั่วเรือนร่าง นางกลิ้งเกลือกที่อกอยู่ไปมา
เมงจะลูบผม ลูบแก้ม ท่าทางไม่เป็นน้องสาวเลย
"ถ้าเชงสอบูรักใคร ขอกุศลที่ช่วยข้าพเจ้าช่วยให้เขารักแม่ด้วย อย่าเหมือนที่ข้าพเจ้ารักแม่ปอละเตียงที่สูงศักดิ์กว่า จนระทมใจเช่นนี้เลย"
ปอละเตียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง มองน้องที่หลับอย่างเอ็นดูแตะแก้มเบาๆ พลางคิดอย่างต่อเนื่อง
ในความคิดของปอละเตียงได้รึกถึงตอนที่บุเรงนองหรือเมงจะได้ทำ "แต่ข้าพเจ้าคงไม่มีหวังเพราะพี่สาวท่านไม่ยินดีด้วยข้าพเจ้า ถ้ารู้แน่เห็นที ต้องประหารตัวเอง"
"ท่านสวามิภักดิ์ต่อพี่สาวข้าพเจ้า พี่นางหรือจะไม่เอื้ออารีตอบ"
"จริงหรือ ...จริงๆนะ"
เมงจะกอด จูบมือ จูบผม แต่ไม่จูบแก้ม
ปอละเตียงนอนข้างเชงสอบูพลิกตัวไปมา วาบหวามใจสุดขีด
เช้าวันรุ่งขึ้น ลานหน้าท้องพระโรงหน้า กรุงหงสาวดี ไขลูกับข้าราชบริพารและขบวนรถม้าสอพินยาจอดรออยู่หน้าบันไดมหาปราสาท สอพินยาอารมณ์ค้าง เสด็จลงมาจากพระมหาปราสาท ขึ้นรถม้าออกไปอย่างรวดเร็ว พระเจ้าสการะวุฒพี,มินบู,กุสุมายืนส่งเสด็จอยู่ที่ชาลาหน้าพระมหาปราสาท
สอพินยาดวงตาแดงช้ำเสียใจ ขื่นขม กุสุมายืนมองเหมือนไม่มีวิญญาณ สการะวุฒพีเดินเข้ามาหา
"สอพินยาไปเมาะตะมะแล้ว ก่อนไปมาฟ้องไว้หลายอย่าง"
กุสุมารับรู้ แต่ไม่ตอบ
"ที่สำคัญน้อยใจว่าเมียไม่รัก พูดทีไรเห็นกลั้นน้ำตาไม่ได้ทุกครั้ง น้องกุสุมาขุ่นเคืองอะไรนักหนาถึงไม่ยอมเสด็จด้วย"
กุสุมาเสียงเรียบร้อย กิริยานุ่มนวล
"ข้าพเจ้ายินดีถวายชีวิตเพื่อหงสาวดี แต่ยังมิอาจบังคับใจตัวเองให้ยอมรับการกระทำของพระอนุชาได้ ขอพระอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้ปลอบใจตัวเองสักระยะเถิด"
สการะวุฒพีสบตามินบู
"แต่พระอนุชาทรงรักและยกย่องน้องหญิงเหลือเกิน พี่นี้สามารถให้คำมั่นได้เลยว่า ตั้งแต่ได้อภิเษก พระอนุชาทรงเปลี่ยนไปไม่แลหญิงใดอีกเลย" มินบูบอก
"พระอนุชาจะรักชอบนางกำนัลข้าหลวงคนไหน ก็เชิญโดยอัธยาศัยเถิด ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ภรรยาดูแลกิจการงานต่างๆ จะไม่หึงหวงให้ทะเลาะกันเด็ดขาด"
สการะวุฒพีมองหน้ามินบูอย่างหมดหวังจะเกลี่ยกล่อม เสด็จเข้าข้างใน มินบูเสด็จตาม กุสุมายืนนิ่งเสียใจ
ไขลูควบม้านำขบวนรถม้าสอพินยาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขบวนรถม้าวิ่งไปอย่างไม่มียั้งรอ แม้หลุมบ่อก็ไม่เว้น สอพินยานั่งอยู่ในรถม้าดวงตาแดงเสียใจ แม้พยายามข่มอารมณ์อย่างไร แต่เมื่ออยู่คนเดียวก็ไม่สามารถห้ามใจได้
เวลาเช้า ณ ศาลปะกำกลางทุ่งหันสาวดี เมงจะและคนอื่นๆนั่งทำพิธีเสี่ยงทายกระดูกไก่ก่อนออกคล้องช้างพร้อมเป่าเสนงกล ไปฟยูและคนอื่นๆนั่งบริกรรมทำพิธีอยู่ ปอละเตียง เชงสอบู และพวกผู้หญิงอื่นๆยืนมองอยู่นอกเขตพิธี เมงจะเหลือบมองสบตาปอละเตียงที่หลบตาเอียงอาย เชงสอบูเห็นแล้วก็เสียใจ เมงจะรีบหุบยิ้ม เมงจาแอบมองรู้สึกเสียใจลึกๆ พิธีเสร็จ พรานช้างต่างพากันมาร่ำลาลูกเมียที่มายืนคอยส่ง
เมงจะเดินไปหาเชงสอบูที่หน้าสลดมองอยู่ ปอละเตียงเขม้นมองจะเข้าขวางก็ไม่กล้า เมงจาทำใจกล้าเข้าไปหาปอละเตียง ปอละเตียงหันมาเห็นถลึงตาใส่ จนอีกฝ่ายถอยกรูด
เมงจะเดินเข้าไปหาเชงสอบู ปอละเตียงเดินกรายเข้ามาใกล้
เมงจะพูดเสียงดังๆ
"สิ่งใดที่ข้าพเจ้าบอกท่าน อย่านอนใจ"
เชงสอบูงงมาก
"อะไร"
ปอละเตียงเปลี่ยนเป็นมองเมงจะอย่างสุดซาบซึ้ง เปลื้องสไบคล้องคอให้เมงจะ
"เกรงท่านจะทนหนาวไม่ได้ ขออวยชัยให้ท่านปลอดภัย"
เชงสอบูตาค้างมองปอละเตียง
"ขอบใจในความเอ็นดูที่สละผ้าสไบเป็นเครื่องกันหนาว"
ปอละเตียงหันมายิ้มกับเชงสอบูอย่างมีเลศนัย
"พี่รู้หมดแล้ว..เพียงแต่ยังไม่รู้เท่านั้นว่าจะตัดสินใจอย่างไร จะรับหรือไม่รับดี"
เชงสอบูงงงวยมากกว่าเดิม
"ตอนนี้คิดแต่เพียงว่าที่ที่ไปนี่มีอันตราย ขอให้ปลอดภัย"
ปอละเตียง เดินออกไป เชงสอบูทำหน้านึกได้ หันมาถลึงตาจ้องเมงจะที่ยิ้มหน้าซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้
"สำหรับท่านมีอะไรจะให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องคุ้มภัยบ้าง"
"ไม่มี" เชงสอบูโกรธเดินสบัดออกไป
2. หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ประพันธ์โดย : โชติ แพร่พันธุ์
หรือเจ้าของนามปากกา “ยาขอบ”
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ ขอบพระคุณครับ
โฆษณา