19 เม.ย. 2020 เวลา 06:13 • ปรัชญา
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 9
เมงจะยิ้มๆมองตาม เมงจายืนหน้าเศร้าอยู่ข้างหลังมองหาแต่ปอละเตียง
ไปฟยูบอก
"พวกเราออกเดินทางได้แล้ว เร็วขึ้นช้างๆๆ"
เมงจาเดินไปขึ้นช้าง สายตาห้อยมองปอละเตียง ขบวนช้างต่อเดินออกไปทางชายป่าโดยมีลูกเมียยืนส่งอยู่ไกลๆ ปอละเตียงกับเชงสอบูมองตามด้วยความเป็นห่วง เชงสอบูหันมาค้อนควักปอละเตียงอย่างหมั่นไส้
พรานช้างไสช้างออกไล่ต้อนโขลงช้างป่าฝุ่นตลบ ไปฟยูยื่นเชือกบาศเข้าขาหลังของช้างพลายเถื่อนเข้าพอดี ไปฟยูโยนเชือกบาศตาม ช้างเถื่อนยังวิ่ง ไปฟยูเร่งช้างต่อวิ่งตามจนเชือกบาศตึง ช้างเถื่อนวิ่งไม่ได้จึงหยุด
เวลาเย็น ไปฟยูและพรานช้างตีเกราะเป่าหลอดต้อนโขลงช้างป่าเข้ามารวมกันในเพนียดชั่วคราว
กันอย่างอลม่าน
เมงจะเมงจาและพรานช้างอีกพวกหนึ่งยืนดูโห่ร้องชื่นชม ไปฟยูลงช้างมาหา เมงจาเอากระบอกน้ำส่งให้ดื่ม
"พรุ่งนี้ตาเจ้าแล้วเมงจะ เมงจา แน่ใจนะว่าเจ้าทำได้"
"ข้าพเจ้ากับน้องชายเคยคล้องช้างมาแล้ว ขอท่านจ่าบ้านอย่าห่วง"
เมงจะทำหน้าพิกลมองหน้า เมงจาขยิบตาให้เฉยๆไว้ เมงจะแอบยกมือไหว้ไปรอบราวป่า
ขบวนรถม้าของสอพินยาเดินทางไปเมืองเมาะตะมะ อุปราชคิดถึงแต่กุสุมา ไขลูขี่ม้าอยู่ข้างๆ
วันใหม่ ในป่า เมงจาอยู่หัวช้าง เมงจะอยู่ท้ายช้าง พรานผู้ช่วยวิ่งเคาะเกราะดาหน้าต้อนโขลงช้างไปตามราวป่า เมงจาบังคับช้างวิ่งคู่ขนานกับช้างพลายตัวใหญ่ เมงจะจ้องจะคล้องบ่วงบาศอยู่ เมงจามองไปทางฝูงช้างที่วิ่งรวมเป็นโขลง แล้วขมวดคิ้วหันมาชี้ให้เมงจะดู เมงจะเขม้นมอง ช้างต่อก็ยังวิ่งขนานไปเรื่อยๆ ช้างกลุ่มนั้นวิ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนคุ้มกันอะไรสักอย่างตรงกลาง
"มีช้างสำคัญอยู่กลางฝูง"
ลูกช้างน้อยสีกายดังสีดอกบัวโรยยืนอยู่ตรงกลาง มองจ้องมาที่เมงจะและเมงจา
เมงจะและช้างน้อยต่างมองกันนิ่ง เมงจาตื่นเต้นสุดๆ
"ช้างเผือก….อีกกี่ชาติเราจะได้พบเห็นช้างเผือกลักษณะสมบรูณ์อย่างนี้ เร็วเถิด เร่งคล้องให้ได้"
โขลงช้างป่าเดินไปเรื่อยๆ ช้างต่อวิ่งสุดฝีเท้า ฝูงช้างล้อมช้างเผือกก็วิ่งโขยกสุดฝีเท้าเช่นกัน เมงจะยังไม่ได้โอกาสคล้องบ่วงบาศ
"ข้างหน้าเป็นทางแคบเขาหนีไปได้ไม่เร็ว เตรียมตัวจะเด็ดน้องเรา"
เมงจะขยิกช้าง โยกตัวให้ช้างไปเร็วๆ ช้างต่อบุกเข้าไปใกล้ เมงจาเร่งช้างพังต่อให้ใกล้เข้าไป เมงจะพยายามจะคล้อง
"เอาเลย" เมงจาบอก
เมงจะพยายามจะคล้อง แต่ก็ไม่ได้จึงม้วนบ่วงบาศขดใหม่ พนมมือไปทางเมืองตองอู
"เดชะพระบารมี พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้จะได้ช้างสีเศวตไว้เพิ่มพูนบารมี ขออย่าให้ข้าพเจ้าทอดบาศผิดที่หมายเลย"
เมงจาไสช้างต่อให้เข้าใกล้ช้างเผือกน้อยจนได้ระยะ เมงจะโยนบาศขณะที่ช้าง 2 ตัว วิ่งคู่ขนานกัน
เชือกค่อยๆโรยตัวไประหว่างขาช้าง
เมงจะกับเมงจาจับข้างเผือกได้สำเร็จ
ต่อมา
ไปฟยูกับพรานช้างกำลังไล่ต้อนโขลงช้างป่าออกจากเพนียดเพื่อกลับบ้าน เมงจะกับเมงจาที่กำลังผูกช้างเผือกน้อยเข้ากับช้างต่อเตรียมเดินทางอยู่อีก มุมหนึ่ง เมงจะหยิบผ้าสไบของปอละเตียงขึ้นมาผูกกับคอช้างเผือก เมงจาหันมาเห็นถึงกับอึ้ง เมงจะหันมายิ้มยั่ว แต่ไม่พูดอะไร ขบวนคล้องช้างเดินย้อนแสงแดดผ่านป่าไปเป็นขบวนยาวมาก
ภายในเรือนเมงจะ ปอละเตียงแอบเข้ามามอง แล้วเข้าไปจัดข้าวของให้เข้าที่อย่างมีความสุข แต่พอขยับเลิกหมอนขึ้นก็พบผ้าสไบของกุสุมาที่ชายผ้าปักดิ้นเป็นรูป…..นาคะมินทร์ ปอละเตียงพึมพำ
"นาคะมินทร์"
ปอละเตียงเก็บสไบใส่เข้าไปในอก แล้วจะรีบไป เชงสอบูยืนขวางที่ประตู
"พี่ท่านอย่าทำอย่างนั้นเลย มันไม่งาม"
ปอละเตียงเสียงหยันถาม "ทำไม"
เชงสอบูเสียงห้วน
"พี่ท่านไม่คู่ควรเมงจะ"
"เอ๊า....ใครจะเป็นคนตัดสิน"
"ก้อพี่ท่านอาจจะได้เป็นบาทบริจา"
ปอละเตียงตวาดแรง จ้องหน้า
หยุด บอกแล้วว่าไม่ให้พูด"
"แต่ความจริงมีอย่างนั้น พ่อท่านก็หวังพี่มาก"
"ไม่เกี่ยวกับข้า ใครหวังก็หวังไป"
"เอ๊า...พ่อนะพี่"
ปอละเตียงท้าวสะเอวมองหน้า
"แล้วยังไง"
"เมงจะเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายตีนนะพี่"
"งั้นเรอะ"
"ความจริง เอ้อ...ข้าพเจ้าเป็นน้อง แม้ได้กับคนชั้นเมงจะก็ไม่เสีย"
"อ้อ !…ที่แท้ตัวเองจะเอาไว้เสียเอง เฮอะ"
ปอละเตียงเดินลอยชายผ่านไปแล้วหันมาอีกครั้ง
"จะบอกให้เอาบุญนะ คนชั้นเมงจะนั่นแหละ เขาจะไม่มองเจ้า"
เสียงชาวบ้านดังเข้ามา
"พวกคล้องช้างกลับมาแล้ว .ท่านจ่าบ้านพาพวกคล้องช้างกลับมาแล้ว"
ปอละเตียง เชงสอบูมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจแข่งวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ปอละเตียงกับเชงสอบูวิ่งมากับชาวบ้าน จนเห็นขบวนช้างต่อต้อนช้างป่ามาตามทุ่ง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ได้แต่โบกมือเรียกญาติตัวเอง เมงจะ เมงจานั่งช้างมาด้วยกัน ต่างหันมองหาปอละเตียง
ปอละเตียงกับเชงสอบูมองหาเมงจะ จนกระทั่งช้างเมงจะเข้ามาใกล้ ปอละเตียงยกมือโบกให้ เมงจาดีใจนึกว่า ปอละเตียงโบกมือให้จึงโบกตอบ แล้วไสช้างเข้าไปหา
ปอละเตียง เชงสอบูบอก
"เมงจะ ท่านเมงจะ ทางนี้"
เมงจะโบกมือตอบ เมงจาหุบยิ้มไม่พอใจหันไปพูดเสียงแข็งใส่เมงจะ....
"นางผู้ใดคือของท่าน"
ไม่มีคำตอบจากเมงจะ
ช้างเผือกน้อยมีผ้าสไบของปอละเตียงผูกคออยู่ ปอละเตียงดีใจมาก แต่เชงสอบูหุบยิ้มทันทีแล้วแดกดันพร้อมค้อนสามวงใหญ่
"เห็นหน้าท่านเมงจะยิ่งกว่าเห็นหน้าพ่ออีกนะปอละเตียง... พ่อ พ่อข้าอยู่นี่"
เชงสอบูรีบวิ่งไปหาพ่อ ทิ้งให้ปอละเตียงมองเมงจะอย่างชื่นชม เมงจาไสช้างออกไป เมงจะตกใจ
"เดี๋ยวๆ…พี่ท่านจะรีบไสช้างไปไหน"
"ข้าอยากถึงบ้านเร็วๆ"
ปอละเตียงยิ้มให้เมงจะด้วยความคิดถึง เมงจะยิ้มให้เช่นกัน
พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นทะเลขึ้นมา
ไขลูควบม้านำขบวนรถม้าสอพินยาเข้ามาจนกระทั่งเห็นพระราชวังเมาะตะมะตั้งอยู่บนหน้าผาริมทะเล สมิงสอตุดควบม้านำขบวนทหารเมาะตะมะเข้ามาหยุดอยู่หน้าขบวน ไขลูสั่งให้ขบวนหยุด สอพินยาเปิดพระวิสูตรออกมามอง
"ขุนนางเมาะตะมะ ออกมารับเสด็จพระอนุชา"
สมิงสอตุดลงจากม้าเดินมาคุกเข่าถวายบังคมสอพินยา
"ข้าพเจ้าสมิงสอตุด ปลัดวังแห่งหงสาวดีที่ได้รับพระบรมราชโองการให้มาคุมหัวเมืองท่าเมาะตะมะ ขอถวายพระพรพระอุปราชสอพินยานำเสด็จสู่แคว้นใต้พระบารมีพระเจ้าสการะวุฒพี ผู้เป็นใหญ่แห่งหงสาวดี"
"นำเราไป สมิงสอตุด"
สมิงสอตุด ไขลู ควบม้านำรถม้าอุปราชสอพินยามุ่งสู่พระราชวังเมาะตะมะ
ท้องพระโรงเมาะตะมะ เวลากลางคืน นาฏศิลป์สาวเปอร์เซียกำลังร่ายรำระบำหน้าท้องอยู่กลางท้องพระโรง ข้าราชบริพารกำลังเฉลิมฉลองต้อนรับสอพินยาอยู่เต็มท้องพระโรงอย่างสนุกสนาน
สมิงสอตุดนำพวกพ่อค้าชาติต่างๆเข้าแถวนำเครื่องราชบรรณาการถวายแก่สอพินยา โดยมีไขลูดูแลอย่างใกล้ชิด
"ท่านเฉกซาอิบ นาอิน พ่อค้าอัญมณี"
พ่อค้าพลอยอิหร่านถวายของแล้วถอยออกไป
"ท่านอักบาร์ พ่อค้าผ้าไหมและเครื่องเทศ"
พ่อค้าอินเดียถวายของแล้วถอยออกไป
"ท่านเยมส์ ซอเรซ นายทหารปืนไฟ"
เยมส์ ซอเรซถวายปืนสั้นให้ สอพินยารับปืนมาดูอย่างพอใจ ทั้งคู่มองตากันอย่างชื่นชม
"ถ้าท่านยังไม่กลับแคว้นของท่าน เราอยากพบท่านอีกสักหน"
เยมส์ ซอเรสบอก
"ด้วยความยินดีพระอุปราช"
เยมส์ วอเรซถอยออกไป นางระบำหน้าท้องเข้ามาเต้นถวายใกล้ๆหน้าที่ประทับ สอพินยามองแล้วนึกถึงกุสุมา สมิงสอตุดแอบสังเกต นางรำยังคงร่ายรำอย่างอ่อนช้อยตามจังหวะดนตรี
เวลากลางคืน ไปฟยูกำลังเขียนหนังสือใบบอกอยู่ ปอละเตียงครึ่งนั่งครึ่งนอนคอยอ่านอยู่ใกล้ๆ เชงสอบูนั่งชุนผ้าอยู่ใกล้ๆแม่
"ข้าพเจ้าไปฟยูจ่าบ้านหันสาวัดดี ออกคล้องช้างเถื่อนได้ช้างพลายสีวิเศษเผือกผ่องมาหนึ่งเชือก สีกายดั่งดอกบัวโรยตลอดตัว ไม่มีดำด่างหู หาง เล็บขาวบริสุทธิ์ครบ18 เห็นถนัดว่าเทพยุดาส่งมาสู่โพธิสมภารแห่งพระเจ้าอยู่หัวหงสาวดีผู้ประเสริฐโดยแท้"
ไปฟยูขยับลุก
"เดี๋ยวจ๊ะพ่อ"
"อะไร…พ่อสะกดผิดตัวไหน" ไปฟยูถาม
"ในใบบอกพ่อท่าน ไม่ได้กล่าวถึงเมงจะ เมงจาว่าเป็นผู้คล้องช้างได้เลย"
"เอ็งจะหาว่าพ่อเขียนกล่าวเพ็ดทูลพระเจ้าอยู่หัว เอาความดีความชอบเข้าตัวรึ ข้าขี้เกียจเขียนยาวๆ ตอนพระองค์ส่งขุนวังล่วงมาตรวจลักษณะข้าค่อยบอกต่างหาก"
"ต่อเมื่อทางวังหลวงมารู้ทีหลัง ความดีความชอบก็จะตกอยู่กับเมงจะ เมงจาสองคนนะซิ ส่วนดีของพ่อท่านจะไม่เหลือเลย"
"เออ...จริงของเจ้า งั้นเขียนกราบทูลไปว่าเจ้าสองคนนั่นเป็นผู้คล้องได้"
"และสมควรจะระบุว่า เมงจะเป็นวงศ์ญาติสนิทของเรา"
เชงสอบูประชด
"เขียนกราบทูลไปเลยพ่อ ว่าท่านเมงจะเป็นบุตรเขย"
ปอละเตียงเสียงดุ
"เจรจาผิดผู้หญิง ก้าวร้าวใจแตกเกินตัว ต่อไปอย่าให้ได้ยินอย่างนี้อีก"
ไปฟยูบอก
"เขียนทูลไปว่าเมงจะเป็นลูกเลี้ยงแล้วกัน แต่เป็นลูกเมียก่อน"
เชงสอบูงอน ลุกไปทันที ไปฟยูนึกได้หันไปมองเมียที่นั่งตาเขียวปั้ดอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้น หน้าเรือนควาญช้าง เมงจะพยายามเก็บความรู้สึกดีใจไว้ เชงสอบูนั่งหน้าง้ำอยู่ที่หน้าเรือน
"เป็นอะไร ไม่ดีใจหรือที่พี่ปอละเตียงให้พ่อเขียนใบบอกไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า ท่านเป็นพี่ข้าพเจ้า"
เมงจะรีบเปลี่ยนความรู้สึก ขยับเข้ามากุมมือเชงสอบูไว้
เมงจาโผล่ออกมาจากประทุนเรือเห็น ถึงกับชะงัก หงุดหงิดหลบกลับเข้าไป
"จะให้ข้าพเจ้าดีใจได้ยังไง ในเมื่อใจข้าพเจ้าไม่อาจคิดกับท่านอย่างนั้น เกรงว่าผู้อื่นจะจับสังเกตสายตายามข้าพเจ้ามองท่านได้ จะทำให้ความแตก"
เชงสอบูน้ำตาเอ่อ เสียงเครือทันที
"ท่านพูดเก่ง ต่อไปนี้อย่าใช้ลิ้นที่พูดง่ายเลือนง่ายของท่านหลอกลวงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าหมดสิ้นอาลัยท่านแล้ว จะขอแค่คอยชมบุญเมงจะพี่เขย ที่จะได้ดีในเมืองหลวงเพราะปอละเตียงโอบอุ้ม"
เชงสอบูปัดป้องแกะมือเมงจะอยู่ไปมา เมงจะกอดไว้แน่น
"ผีน้ำผีพรายเป็นพยาน ปอละเตียงเป็นผู้มารักข้าพเจ้า แต่เชงสอบูสิเป็นคนที่ข้าพเจ้ารัก ถ้าจะหาตัวคนผิดให้ได้แล้ว ต้องไม่ใช่เราทั้งสองคน น่าจะเป็นพระพรหมผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์"
เชงสอบูกำลังปัดป้องดิ้นรนก็อ่อนระทวยลง
"ข้าพเจ้าเป็นชาวป่าอยากจะมีชีวิตในเมืองหลวงสักพัก เมื่อปอละเตียงจะหนุนให้สมหวัง ข้าพเจ้าก็ต้องขอบคุณและปฏิบัติให้ต้องใจนาง เชงสอบูแม่จะขัดข้องทำไมที่ข้าพเจ้าชอบพี่ท่านและรักตัวท่าน สำคัญแต่ว่าข้าพเจ้ารักท่านเกินกว่าพี่ท่าน เมงจะไปหงสาวดีมิใช่ไปแต่ตัว จะหาทางเอาท่านไปด้วยให้จงได้"
เชงสอบูใจอ่อน เมงจะกอดด้วยท่าทางซาบซึ้ง
"เราจะเข้าหงสาวดีด้วยกัน"
เชงสอบูยิ้มดีใจ เมงจะหอมแก้มชื่นใจ
ท้องพระโรงเล็กเมืองหงสาวดี พระเจ้าสการะวุฒพีดีใจมาก ทุกคนหมอบเฝ้าอยู่
"เป็นความจริงแท้หรือสินเจ ชาวทุ่งหันสาวัดดีคล้องได้ช้างเผือกต้องลักษณะถึง 18 ประการ"
"พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพเจ้าเห็นกับตาเต็มสองตาจริงๆ" สินเจว่า
"ถ้าอย่างงั้นเราจะสั่งให้ขุนวังสอยันปลายขึ้นไปดู แล้วจัดงานสมโภชให้ยิ่งใหญ่ บอกชาวทุ่งหันสาวัดเถอะว่าความดีความชอบครั้งนี้ เราจะตอบแทนให้คุ้มค่าทีเดียว"
สินเจถวายบังคม
กุสุมานั่งบรรเลงพิณอยู่คนเดียวกลางอุทยาน ขบวนสีวิกามินบูเสด็จมา กุสุมารีบทรุดลงกราบ มินบูประคองไปนั่งด้วยกันที่พระแท่นใต้ต้นไม้
"พระเจ้าอยู่หัวจะจัดงานสมโภชช้างเผือกในวันขึ้นห้าค่ำนี้ พี่จึงมาชวนน้องท่านไปด้วยกัน น้องท่านจะได้คลายเหงาลงบ้าง"
"น้องอยู่ในกรุงหงสาวดีนี้เหมือนวิหคในกรงทอง แม้พระพี่นางและพระเจ้าอยู่หัวจะเมตตาปานใด ก็ไม่อาจชดเชยจิตใจที่แหลกสลายไปได้ ถ้าทรงพระเมตตาขอโปรดอย่ากักขังน้องไว้ที่หงสาวดีนี้เลย ให้น้องนำสมเด็จแม่กลับกรุงแปรเถิด"
"ความรักนี้ช่างไม่เข้าข้างผู้ใดจริง พระอนุชาทุ่มเทเพื่อน้องหญิงทุกอย่างก็ยังมิอาจเอาชนะใจได้ พี่ยินดีจะกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวให้ แต่ถ้าพระอนุชาเสด็จกลับมาจากเมาะตะมะแล้ว ไม่ได้พบน้องหญิงจะทำอย่างไร"
กุสุมานิ่งไม่ตอบว่าอย่างไร มินบูมองอย่างเข้าใจ
ชายหาดริมทะเล เมาะตะมะ สอพินยาเล็งปืนสั้นแล้วลั่นไกระเบิดกระสุน...เปรี้ยง ลูกมะพร้าวแตกกระจาย
สอพินยายิ้มอย่างพอใจ
"วิเศษ วิเศษมาก ปืนไฟของท่านมันสังหารศัตรูได้โดยไม่ต้องเหนื่อยแรงเลย ต่อไปนี้ข้าไม่ต้องฝึกดาบให้ลำบากอีก ท่านมีปืนไฟอย่างนี้กี่กระบอก"
เยมส์ ซอเรซบอก
"เพลานี้มีเพียง 7 กระบอกเท่านั้น"
"เราต้องการ 50 ท่านจัดหามาให้ได้ ราคาเท่าไรเรายินดีจ่าย เราต้องการให้ท่านมาจัดตั้งกองราชมัลให้เราใหม่ พวกใช้ดาบปลดไปเป็นกองหน้าให้หมด"
เยมส์ ซอเรซยิ้มพอใจ
"เป็นพระกรุณายิ่งพระอุปราช"
ไขลูใส่ดินปืนแล้วส่งให้สอพินยายิงอีก เปรี้ยง!
ห้องโถงตำหนักกุสุมา เมืองหงสาวดี กุสุมาเล่นพิณ 16 สายด้วยใจคิดถึงจะเด็ด ภาพความหลัง ระหว่างตนเองกับจะเด็ดกับพิณ ปรากฏให้เห็น
อัครเทวีเสด็จมาพร้อมกับนางข้าหลวง
"กุสุมา เพราะอะไรถึงไม่ยอมไปงานสมโภชพญาช้างเผือก"
"ยามนี้งานเริงรมย์แค่ไหนก็ไม่อาจทำให้ลูกเป็นสุข ลูกเป็นห่วงมังฉงาย ไม่รู้ว่าเพลานี้ยังอยู่ในคุกหรือพ้นโทษแล้ว ถ้าหากพ้นโทษจะไปอยู่ที่ไหน หรือว่ากลับไปตองอู"
ตะละแม่เอนกายซบลงกับหมอน น้ำตาไหล
อัครเทวีเริ่มขุ่นมัว
"แม่ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ยังจะพร่ำเพ้อคิดถึงคนอื่นอีก"
"ในกรุงหงสาวดีนี้ลูกมีสมเด็จแม่ผู้เดียว ทุกข์ในอกลูกถ้าไม่แจ้งสมเด็จแม่ ลูกจะปรับทุกข์กับใคร"
"ทุกข์อะไรนักหนานะ ป่านนี้ไม่เหือดไม่หาย คิดการเบื้องหน้าดีกว่า อย่าเอาพระอุปราชมาเทียบกับไอ้คนชั่วต่ำศักดิ์เมืองศัตรูคนนั้นเลย"
กุสุมาลุกเดินหนี
อัครเทวีเสียงดังบอก
"แต่งตัวไปงานสมโภชพญาช้างเผือกเดี๋ยวนี้"
กุสุมาหันขวับสวนทางควัน
"ลูกไม่อยากไป"
"ต้องไป"
"ลูกไม่ไป"
"ต้องไป"
กุสุมาไม่โต้ตอบแล้วเดินเข้าห้องไป อัครเทวีมองตามด้วยความโกรธ
หน้าเรือนพักคนงานคล้องช้างไปฟยู เมงจะยืนหน้าเศร้าอยู่ เมงจาโผล่ออกมาพร้อมกับห่อผ้าเดินทาง ทั้งสองคนมองหน้ากัน
เมงจาบอก
"ผมยาวทอดลงเหมือนชาวตะเลงอย่างนี้ ผิวกายก็ดำคล้ำขึ้นกว่า แต่ก่อนเพราะกรำแดดกรำลม และยังซูบซีดไม่มีน้ำนวลเหมือนอยู่เมืองแปร สอพินญาหรือไขลูคงไม่กล้าปักใจ อย่างมากก็แค่คลับคล้ายคลับคลา แต่ถ้าพี่ชายของเมงจะหน้าตาเหมือนจาเลงกะโบคนสนิทของเมงจะอีกคน เห็นทีจะพินาศทั้งคู่"
"แต่ถ้าข้าพเจ้าขาดพี่ท่านไปก็เหมือนสำเภาขาดหางเสือ"
"เราไม่ได้พรากกันจนชั่วชีวิต เพียงแต่ข้าพเจ้าจะเข้าหงสาวดีก่อนแล้วค่อยหาทางพบกันในเมือง"
เมงจะไหว้เมงจา แล้วกอดลากัน
"วันนี้น้องท่านคงได้เห็นหน้าตะละแม่กุสุมา ตั้งสติให้ดี"
เมงจาตบไหล่เมงจะอย่างเห็นใจ ก่อนเดินไป เมงจะยืนดูเมงจาเดินจากไปจนลับตา
ลานพลับพลา งานสมโภชพญาช้างเผือก นักรำกลองชาย 7-8 คนกำลังร่ายรำกลองรอบๆ โรงช้าง ขณะที่พราหมณ์ปุโรหิตทำพิธีบายศรีสู่ขวัญช้างเผือกอยู่ในโรงช้าง พระเจ้าสการะวุฒพีพร้อมมเหสี กุสุมาและอัครเทวี, ปอละเตียงและเสนาบดีอยู่บนพลับพลา ชาวบ้านดูอยู่รายรอบ ส่วนไปฟยู, เมงจะ, เชงสอบูคอยรับใช้ปุโรหิตและหมอช้างอยู่ที่โรงช้าง
เมงจะพยายามนั่งแอบหลังไปฟยูไว้ แต่ก็แอบมองกุสุมาอยู่ไม่วาย จนเชงสอบูสงสัย ตะละแม่กุสุมานั่งเศร้า ท่าทางเหมือนไม่ได้ยินเสียงใดๆ สไบมีลายปักนาคมินทร์ ปอละเตียงแอบชำเลืองจับพิรุธกุสุมากับเมงจะตลอดเวลา
ขบวนแห่กล้วยอ้อยที่จะให้พระเจ้าสการะวุฒพีเคลื่อนมาหน้าที่ประทับ สอยันปายกราบทูลให้พระเจ้าสการะวุฒพีไปทำพิธีที่โรงช้าง ทุกคนจึงลุกตามเสด็จ มหาดเล็กเข้ามาถวายงานกั้นพระกลด
เมงจะใจเต้นระรัว ทั้งรักทั้งแค้น กุสุมาตามเสด็จมาอย่างเศร้าสร้อย พระเจ้าสการะวุฒพีเสด็จเข้ามาในวงสายสิญจน์ ยืนตรงหน้าพญาช้างพญาช้างเผือกที่ยืนเด่นเป็นสง่า ดูสวยงามเหมือนมีรัศมีออกจากตัว
พนักงานกองช้างต้นยกบายศรีมาตั้งซ้าย- ขวาของพญาช้าง หมอเฒ่าตั้งพิธีเบิกไพรโดยปล่อยนก 1 คู่ ปล่อยไก่ 1 คู่ และพูดขณะปล่อยสัตว์
"กวาดเคราะห์ไปให้หมด"
พระเจ้าสการะวุฒพีหยิบของให้ช้าง มีตะบอง 1 คู่ แส้หางม้าด้ามเงิน 1 คู่ หมอเฒ่าหยิบท่อนอ้อยขึ้นมาทำท่าเขียนมนต์ในท่อนอ้อย เป่ามนต์แล้วให้สการะวุฒพีป้อนอ้อยให้ลูกช้าง
สการะวุฒพีถอดแหวนออกทำขวัญพญาช้างด้วยการลูบบนงวง แล้วส่งให้พนักงาน ตลอดเวลามีเสียงไม้บัณเฑาะว์ ประจำยามดังอยู่
ขบวนชาวบ้านที่ห้อมล้อมโรงสมโภชอยู่จำนวนมาก เมงจะจ้องที่ตะละแม่กุสุมาผู้เดียวอย่างเคียดแค้น
ตะละแม่กุสุมาไม่เห็นเพราะไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น พระอัครเทวีหันมาเห็นเมงจะเหมือนจำได้ สะกิดให้กุสุมาดู เมงจะลืมตัวแหวกคนเข้าไปยืนจังก้า ในขณะที่สการะวุฒพีกำลังป้อนอ้อยอยู่ ทหารองครักษ์ชักดาบเข้าล้อมตัวเมงจะไว้ ทุกคนตกใจร้องเอะอะ
เชงสอบูเข้าไปกอดเมงจะร้องห้ามด้วยความเป็นห่วง
"อย่าทำพี่ข้า"
กุสุมามองเมงจะแล้วสะดุ้งขึ้นทั้งตัว จ้องเหมือนไม่เชื่อสายตา ปอละเตียงจ้องเขม็งจับสังเกต อัครเทวีจ้องอย่างประหลาดใจเช่นกัน
พระเจ้าสการะวุฒพีถาม
"อ้ายหนุ่มท่าทางทะเลิ่กทะลั่กนั่นเป็นใคร"
ไปฟยูรีบเข้าจับเมงจะทรุดตัวถวายบังคม
"มันผู้นี้คือเมงจะ คนที่คล้องช้างเผือกได้ บุตรข้าพเจ้า"
พระเจ้าสการะวุฒพียิ้ม โบกพระหัตถ์ให้ราชองครักษ์ถอยออกไป
"เจ้าคือผู้ที่คล้องช้างเผือกมาให้เราหรือ เก่งมาก"
เมงจะก้มหน้านิ่ง กุสุมายืนตลึงไม่เชื่อสายตา
ทุกคนนั่งตามที่เรียบร้อยแล้ว เมงจะหมอบเฝ้าอยู่หน้าพระแท่นพระเจ้าสการะวุฒพี
เมงจะบอก
"สุดท้ายเมื่อข้าพเจ้าอธิษฐาน ด้วยเดชะบารมีแห่งพระเจ้าหงสาวดีบันดาลให้พระเศวตมาสู่บรมโพธิสมภาร ขอบ่วงบาศที่ทิ้งไปตามบุญตามกรรม เพราะระยะไกลและดวงอาทิตย์จางแสงลง จงคล้องติดเท้าพญาเศวตกุญชรได้ และก็เป็นไปตามแห่งแรงอธิษฐานนั้น"
สการะวุฒพีทรงถอดพระธำมรงค์ส่งให้
"เจ้าพูดจาคล่องแคล่ว ท่าทีสง่าแต่นุ่มนวลผิดชาวบ้านทั่วไป"
"ลูกชายไปฟยูนี่แต่ก่อนอยู่ที่ใด ดูเหมือนเราเคยเห็นหน้า"
เมงจะพยายามคุมสติไม่มองกุสุมา ขณะที่ตะละแม่จ้องเขม็ง ทุกคนหันมามองอัครเทวี โดยเฉพาะปอละเตียง กุสุมาตัดสินใจพูด
"คนผู้นี่เป็นลูกจ่าบ้านหันสาวัดดี สมเด็จแม่ไม่เคยออกมานอกวังหลวงจะเคยมาปะหน้ากับคนบ้านทุ่งนี้ได้อย่างไร"
อัครเทวีเหมือนรู้สึกตัว จึงนิ่งเสีย
"เราจะบำเหน็จรางวัลอย่างไรดี ขุนวังสอยันปาย"
"พระมหากษัตริย์พึงกระทำให้ชอบด้วยประเพณี"
บรรดาคนที่เฝ้ารับเสด็จอยู่บริเวณนั้น นั่งลงถวายบังคมพร้อมเพรียงกัน
"ชอบที่จะยกส่วยสาอากรแก่ราษฏรชาวบ้านหันสาวัดดีเสียสามในห้าคงเก็บแต่สองส่วน"
เมงจะถวายบังคม เหลือบตานิดหนึ่งไปมองกุสุมา
"ส่วนเมงจะ พระราชทานตำแหน่งควาญประจำพญาช้างเผือกรับราชการกองช้างสืบไป"
"เราเห็นชอบให้เป็นไปตามนั้น ส่วนเจ้า...เมงจะ จะขออะไรเพิ่มจากเรามั้ย"
เมงจะหันไปมองเชงสอบูที่หมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ตาละห้อย
"ข้าพเจ้ากับแม่ปอละเตียงได้พึ่งยุคลบาทพระเจ้าอยู่หัวแล้ว เอ็นดูแต่แม่เชงสอบูผู้น้องน้อยอีกคนหนึ่ง หากมีวาสนาอยากจะขอนำตัวเข้ากรุงหงสาวดีด้วย"
"เช่นนั้น ส่งมาอยู่กับเราก็ได้" มินบูบอก
กุสุมาสีหน้าตื่นๆบอก
"พระพี่นางได้ปอละเตียงผู้พี่ เชงสอบูผู้น้อง ข้าพเจ้าขอตัวไปรับใช้เถิด"
เมงจะหันมาจ้องหน้ากุสุมาเป็นครั้งแรก ต่างคนต่างมองกันด้วยใจระทึก
เชงสอบูเข้าเฝ้าตะละแม่กุสุมาอยู่เพียงสองคนในตำหนัก
"เชงสอบู การที่จะมาอยู่ด้วยกันนั้น ประการแรกจะต้องมีความซื่อสัตย์ เจ้ารับปากกับเราได้หรือไม่"
เชงสอบูใจเต้นระทึก กราบลง
"เรามีเรื่องพิสูจน์ใจ ข้อแรกที่จะถาม เท็จจริงประการใดขอให้ตอบมา"
กุสุมาจ้องหน้า เชงสอบูกิริยาไม่เป็นสุข
"เมงจะไม่ใช่พี่ชายเจ้า และไมใช่ลูกของจ่าบ้านไปฟยูใช่ไม๊"
เชงสอบูตกใจ หูอื้อแทบเป็นลม
"ถ้าเจ้าตอบไม่ตรงความจริง เราจะกราบทูลพระเจ้าอยู่หัว ทั้งเจ้าทั้งเมงจะหัวจะหลุดจากบ่า รวมทั้งโครตวงศ์พงศาเจ้าด้วย"
เชงสอบูผวาเข้ากอดเท้าร้องไห้ กุสุมาทำเป็นนิ่ง
"ลงโทษข้าพเจ้าคนเดียวเถิด อย่าทรงลงโทษผู้อื่นเลยตะละแม่ ข้าพเจ้ายินดีทูลความจริง"
"เมงจะเป็นใคร"
"เมงจะเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ตัวเป็นชาวแปร มีพี่ชายคนหนึ่งรับราชการเป็นขุนวังในราชสำนักแปร ผู้สมัครรักใคร่กับ... เอ่อ... ธิดาพระเจ้าแปร พี่ชายขุนวังของเมงจะตรอมใจจนล้มเจ็บลง บัดนี้เจ็บหนักใกล้ตาย เมงจะจึงรับอาสามาสืบเรื่องตะละแม่กลับไปบอกพี่ชาย"
กุสุมาฟังแล้วยิ้มหยันๆในหน้า
"เมงจะลวงได้แต่ผู้อื่น จะลวงเราไม่ได้หรอก"
เชงสอบูนัยน์ตาฉงนมองตะละแม่กุสุมา
ภายในวัดหงสาวดีแห่งหนึ่ง เมงจาเดินแอบนำเมงจะเข้ามาในมุมหนึ่งบริเวณเงียบสงบลับตา สองชายนั่งชิดกันเพื่อพูดกันเบาๆ
เมงจาบอก
"สอพินยาอยู่เมาะตะมะ"
"ข้าพเจ้ายังไม่อยากให้สอพินยากลับหงสา"
"เรือค้าขายเตรียมกางใบออกจากท่าเรือเมาะตะมะ เพราะถึงฤดูคลื่นสงบ เมื่อสอพินยาหมดภาระเก็บภาษีจากกำปั่นเหล่านั้น คงรีบกลับมาในไม่ช้า"
"ถ้าเมาะตะมะไม่สงบสอพินยาก็กลับไม่ได้ ขอพี่ท่านเร่งเดินทางไปเกณฑ์ชาวเราที่เคยเป็นคนโทษเมืองแปร เดินทางไปเมาะตะมะ"
"ทำไมไม่ใช้ทหารของเรา ที่เมืองแปรก็มี"
"ทหารตองอูเป็นของพระเจ้าอยู่หัวตะเบงชะเวตี้ ถ้าใช้ ก็เหมือนเบียดบังของหลวงเป็นของตน แต่คนโทษพวกนี้เป็นคนของเรา"
"ชาวเรามีจำนวนน้อย จะโจมตีเมาะตะมะได้อย่างไร"
"ย่อมไม่ได้ แต่ถ้าทำเป็นกองโจรคอยปล้นสดมภ์วิ่งราว ลักเล็กขโมยน้อย เมาะตะมะทั้งเมืองจะร้อนทุกหย่อมหญ้า"
เมงจายิ้ม
"อนิจจาแม่ทัพตองอู คิดว่าถนัดแต่เชิงวิชารบ วิชาลักวิชาขโมยก็ลื่นไหลน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าพเจ้าจะไปเดี๋ยวนี้"
เมงจะไหว้แล้วเข้ากอด เมงจาตบไหล่ชื่นชม
"เป็นพระคุณอย่างยิ่งพี่ท่าน"
เมงจะยิ้มๆมองตาม เมงจายืนหน้าเศร้าอยู่ข้างหลังมองหาแต่ปอละเตียง
ไปฟยูบอก
"พวกเราออกเดินทางได้แล้ว เร็วขึ้นช้างๆๆ"
เมงจาเดินไปขึ้นช้าง สายตาห้อยมองปอละเตียง ขบวนช้างต่อเดินออกไปทางชายป่าโดยมีลูกเมียยืนส่งอยู่ไกลๆ ปอละเตียงกับเชงสอบูมองตามด้วยความเป็นห่วง เชงสอบูหันมาค้อนควักปอละเตียงอย่างหมั่นไส
หน้าเรือนขุนวังสอยันปาย เมงจะกำลังเขียนหนังสืออยู่ เสียงคนเดินเข้ามามา เมงจะรีบเก็บของ
ไพร่ประจำเรือนบอก
"ท่านเมงจะ ท่านเมงจะมีผู้มาหา"
ไพร่ยืนอยู่กับเชงสอบู เมงจะรีบยิ้มให้
"ดีใจจริงๆที่น้องท่านมาหาถึงนี่"
เชงสอบูลงนั่งก้มไหว้ต่ำเหมือนผู้น้อยเคารพผู้ยิ่งใหญ่กว่า
เมงจะยิ้มเอ็นดู
"เหตุใดจึงทำกิริยาประหนึ่งข้าพเจ้าเป็นผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ก็แค่พนักงานควาญช้าง"
"ท่านมิใช่พี่ชายขุนวังแปรดังที่แจ้งไว้แต่แรก ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า ท่านคือตัวขุนวังมังฉงาย"
เมงจะตกใจ รีบสงบกิริยา
"ข้าพเจ้าจำต้องพรางตัวเพื่อตามมาเอาคำตอบจากตะละแม่กุสุมา ขอน้องท่านอภัยเถิด แล้วตะละแม่ฝากมาบอกอะไรข้าพเจ้าบ้าง"
"ตะละแม่รับสั่งว่า เห็นตะละแม่ชั่วก็ขอให้กลับตองอู เพราะหงสาวดีเป็นอันตรายยิ่ง ท่านจะฝากความถึงตะละแม่ว่าอย่างไร"
"ข้าพเจ้าอยากไปถามต่อหน้า เอาคำตอบจากปากตะละแม่ให้ได้ยินกับหู เรากับตะละแม่จะได้ขาดกันให้เด็ดขาด"
เมงจะขยับเข้ามากุมมือเชงสอบู
"ถ้าเราจะต้องมีใจกับหญิงอื่นก็จะได้พ้นผิด ขอน้องท่านช่วยหาทางให้เราได้เข้าเฝ้าตะละแม่ด้วย ข้าพเจ้าจะได้พ้นทุกข์นี้เสียที"
ยามค่ำ ... หน้าประตูวังชั้นใน กรุงหงสาวดี มีชาววังหญิงเดินไปมา บางคนถือของ ถือกระชุให้โขลนตรวจ
เชงสอบูเดินขนาบข้างมากับเมงจะที่แต่งเป็นหญิงเดินเข้าประตูมา เชงสอบูก้มหัวรับคำ
"เป็นความผิดข้าพเจ้าที่กลับค่ำ ไม่เคยเดินเมืองใหญ่อย่างนี้จนพลัดหลงกัน ข้าไปล่ะ เดี๋ยวตะละแม่กริ้ว"
เชงสอบูหันมาจูงมือเมงจะให้รีบเดินตาม
เวลาต่อมา เชงสอบูเปิดประตูห้องนอนเข้ามาพร้อมกับเมงจะ
"ห้องนี้เป็นห้องนอนข้าพเจ้า ขอท่านพักใช้ห้องนี้เถิด"
เชงสอบูพูดจบจะเดินออกไป เมงจะจับมือไว้
"แล้วท่านจะไปนอนที่ไหน ไม่นอนอยู่กับข้าพเจ้าหรือ"
เมงจะเข้ามากอด หอมไปทั่วร่าง เชงสอบูพยายามขัดขืนแต่ไม่มีแรง
"อย่า ข้าพเจ้าจะไปนอนกับพี่ปอละเตียง จะนอนในห้องนี้กับท่านได้อย่างไร เมงจะ ท่านมิใช่หญิงแท้ ขอท่านแน่ใจในคำของตะละแม่กุสุมาก่อนเถิด ข้าพเจ้ายินดีคอย"
เมงจะได้แต่ยืนเก้อ
โขลนเดินถือตะเกียงเดินตระเวนไปรอบๆตำหนัก เมงจะในชุดแต่งกายหญิง ลัดเลาะไปตามพุ่มไม้หายลับไป
เมงจะเปิดประตูเข้าห้องบรรทมตะละแม่กุสุมา ผ่านม่านหลายชั้น จนกระทั่งเห็นกุสุมานอนหลับสนิทอยู่อยู่บนพระแท่น เมงจะคุกเข่ามองด้วยใจรอนๆ ดวงหน้ากุสุมายังคงความงามไม่ผิดกับอยู่ที่เมืองแปร เมงจะชะโงกเข้าไปใกล้แก้มจะจูบ แล้วชะงักด้วยความแค้น ลุกขึ้นโดยแรง ยืนนิ่งอึดอยู่
กุสุมาลืมตาขึ้นอย่างตกใจ ลุกขึ้นนั่งโดยเร็ว
"เจ้ามิใช่ข้าหลวงของเรา"
เมงจะเพ่งจ้องกุสุมาโดยแค้น
"เรามาจากเมืองแปรเพื่อตามนางคนใจคด"
"เจ้าเป็นใคร"
"รสรักจากสอพินยาทำให้มืดมน ลืมทั้งหน้าเลือนทั้งเสียงคนที่เคยกอดนางมาก่อนจะถึงมือสอพินยาแล้วหรือ"
เมงจะถอดชุดสตรีออก ให้เห็นตัวจริง
"มังฉงาย ทำไมทำการอุกอาจอย่างนี้ ไม่กลัวเอาชีวิตมาทิ้งหรือไง"
"ห่วงชีวิตเรารึ อย่าห่วงเราเลย ลอยชายเข้ามาได้ก็ลอยออกได้เช่นกัน ห่วงแต่ชีวิตตัวเถิด แม้พูดกับเราไม่ดีจะไม่ได้อยู่เป็นเมียสอพินยาอีกต่อไป"
กุสุมาน้ำตาคลอ เสียงอ่อนโยน เรียบเรื่อยเหมือนสายน้ำ
"ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านรักมากจึงติดตามมา แต่เหตุที่ข้าพเจ้าต้องตกเป็นของสอพินยาท่านรู้หรือไม่ มังฉงาย ท่านฝ่าภัยเข้ามาถึงที่ ถ้าไม่อยากรู้ความจริงจะเอาแต่ประหารให้พินาศ ข้าพเจ้าก็พร้อมแล้วที่จะรับโทษทัณฑ์นั้น"
"เมื่ออยู่แปรกุสุมาพูดขณะอยู่ในอ้อมกอดเรา สิ่งที่พูดยังเป็นเท็จ เดี๋ยวนี้จะต้องพูดกันในฐานจำเลยของเรา ความจริงจะอยู่ตรงไหน...เราอยากรู้"
กุสุมาร้องไห้สะอื้น
"จะมาคิดเค้นความจริงเพลานี้จะเกิดประโยชน์ใด"
"เราลอบหนีออกจากแปร ยกทัพตองอูกลับมาจนบุกเข้าเมืองแปรได้ ดีใจเหมือนเห็นประตูสวรรค์เปิด ยังไม่ทันถอดเกราะหรือชำระเลือดจากกายก็บุ่มบ่ามบุกเข้าไปถึงฝ่ายใน หมายจะเชยชมกุสุมาให้สมใจ แต่อนาถใจเหลือเกิน ลูกสาวพระเจ้าแปร สิ้นเราประโลมก็ไปเริงรักกับอ้ายสอพินยา แล้วยังกล้าชิงชู้ของอเทตยา น้องสาวไม่เกรงคนติฉิน เราเห็นแล้วว่า หญิงที่สิ้นอายทั้งแผ่นดินมีตะละแม่คนเดียว"
กุสามาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่เอามือปิดหน้าร้องไห้สะอื้น เมงจะยิ่งโมโหดึงมือกุสุมาออกอย่างแรง
"เราพูดโดนใจล่ะซิ จะมาปิดหน้าร้องไห้ทำไม"
กุสุมาประชดเสียงดัง
"มังฉงายอย่าตีค่าตนสูงไปกว่าที่เป็น คำท่านไม่ได้ทำให้เราร้องไห้ได้หรอก เราร้องไห้เพราะสงสารพระเจ้าแปร พระองค์ท่านมีกรรมที่มีลูกหญิง จึงไม่สามารถช่วยปกป้องเมืองจากศัตรูได้"
"อย่าพูดเฉไฉ ติดใจรสสวาทสอพินยาถึงขนาดหนีตามมาหงสาวดีก็รับมา"
กุสุมาน้ำตานองหน้า พนมมือไหว้ฟ้าดิน
"เทพไท้ทั้งปวงเป็นพยาน แม้ข้าพเจ้ากล่าวคำเท็จ ขอจงให้พบแต่ทุกขเวทนาทั้งโลกนี้โลกหน้า วันนั้นโมนยินบุกแปรอย่างหนัก แปรคงจะแตกในไม่ช้า สอพินยามาหลอกว่าจะพาไปหาสมเด็จพ่อจึงได้หนีตาม แล้วถูกลอบวางยา จน….จน"
กุสุมาเล่าต่อไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้ เมงจะเพิ่งเข้าใจ ยืนตลึงพูดไม่ออก
"ถ้าข้าพเจ้าตกถึงมือสอพินยาเพียงผู้เดียว ท่านอย่าหมายว่าจะตามหาข้าพเจ้าพบ แต่นี่เราเป็นเชลยเขาทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าข้าพเจ้าหุนหันทำลายตัวเสีย สมเด็จแม่จะกลับแปรได้อย่างไร"
เมงจะนิ่งงันน้ำตาซึมด้วยความสงสาร
"มังฉงาย ท่านนั้นสอนเพียงให้ข้าพเจ้ารู้จักรัก แต่ข้าพเจ้าสิรักแล้วลืมท่านไม่ได้เอง"
เมงจะสำนึกผิดโผเข้ากอดกุสุมาอย่างแรง ทั้งคู่กอดกันร้องไห้
"ชาตินี้ท่านและข้าพเจ้ามีกรรมสถานใด ขอให้เป็นไปตามกรรมนั้นเถิด สิ่งใดล่วงไปแล้วขอให้เป็นเหมือนความฝัน กลับตองอูเถิดนะ หงสาวดีเป็นอันตรายต่อท่านนัก"
"ข้าพเจ้าจะไม่มีวันจากเมืองหงสาวดี โดยไม่มีตัวกุสุมาไปด้วยเด็ดขาด"
กุสุมาตกใจ ผละออกอย่างรวดเร็ว
"ปล่อยข้าพเจ้าเถิด"
เมงจะตรงเข้าฉุดกุสุมาออกไป นางดิ้นรนสุดๆ
"ไม่…ท่านต้องไปกับข้าพเจ้า"
กุสุมาเสียงเริ่มแข็ง
"ปล่อย บอกให้ปล่อย"
เมงจะเสียงแข็ง
"ไม่ปล่อย ไหนบอกว่ารัก"
กุสุมาสวนคำเสียงแข็งเช่นกัน
"ใช่...รัก ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังรัก แต่จะให้หนีตามไปนั้นเราไม่มีวันทำ เราถูกลักพาตัวมาหงสาวดีเพราะชายหนึ่งจะไม่มีวันจากหงสาวดีไปเพราะอีกชายหนึ่งให้อับอายไปถึงต้นราชวงศ์เป็นอันขาด"
เมงจะยืนกัดกรามแน่น...น้ำตาคลอ กุสุมาลงนั่งกับพื้นหมดแรง
"สมเด็จพ่อข้าพเจ้านั้นรังเกียจความชั่วเหมือนดั่งพญาหงส์รังเกียจน้ำขุ่นด้วยดินโคลน ข้าพเจ้าทำร้ายพระองค์ไม่ได้"
เมงจะยืนนิ่งอึ้ง
"อย่าว่าสอพินยาเป็นมนุษย์เลย ต่อให้เป็นผีหรือเป็นยักษ์ ขึ้นชื่อว่าเป็นผัวเมียกันแล้ว ก็จะขอซื่อต่อเขาตลอดไป"
"เฮอะ…ผัว มันทำหยามขนาดนี้ยังจะอ้างว่ามันเป็นผัว พูดออกจากปากได้อย่างไร ทำไมไม่นึกมั่งล่ะว่ามันน่ะเป็นชู้ "
เมงจะเข้าปล้ำกอดจูบ กุสุมาผลักไสตบตีสุดฤทธิ์
"อย่าดิ้นเลย เป็นไงก็เป็นกัน ถือว่าเรามีสิทธิเหมือนกัน จะขอฝากความเป็นผัวไว้กับกุสุมาให้ได้"
กุสุมาดิ้นรนร้องไห้อย่างหน้าสงสาร เมงจะไม่ฟังกอดจูบจู่โจมรุกเร้าเต็มที่ ตะละแม่ดิ้นจนล้มไปชนพระแท่น เลือดไหลมาตามหน้าผาก เมงจะตกใจ กุสุมาคลานไปหยิบมีดขึ้นมากำยื่นให้เมงจะอย่างน่าสงสาร
"ชีวิตเราถูกผู้ชายอื่นขมเหงย่อยยับจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่พอได้พบชายที่ตัวรักกลับถูกขมเหงหยาบช้าไม่ต่างกัน ถ้าคิดว่าเราชั่วก็จงฆ่าเราเสียเลย"
เมงจะได้สติ ไม่บุกเข้าไปอีก แล้วค่อยๆหันหลังกลับเดินออกไป กุสุมาร้องไห้เหมือนจะขาดใจ
จาเลงกะโบควบม้านำกองม้านักโทษแปร มุ่งตรงไปเมืองเมาะตะมะ ที่มีร้านค้าหลายร้านติดๆกัน
ร้านหนึ่งเจ้าของร้านเป็นชาวเปอร์เซีย ร้องขายพรมและผ้าแพรพรรณเสียงดัง จาเลงกาโบกับคนโทษ 3-4 คนควบม้าเข้ามา กระโดดลงคว้ามือเจ้าของร้านดึงหายเข้าไปหลังร้านไม่มีโอกาสร้อง นอกนั้นขนผ้าขึ้นหลังม้าควบออกไปเป็นตั้งๆ
กลางถนนอีกแห่งหนึ่ง มีคนเดินพลุกพล่าน คนโทษวิ่งราวกระชากสร้อยผู้หญิงอินเดียคนหนึ่ง
"ขโมย ขโมย"
ชาวบ้านพากันวิ่งไล่จับจนเกือบถึงตัว คนโทษอีก 4-5 คน พากันวิ่งเข้าไปขวางชนชาวบ้านไม่ให้ตามจับได้ ขโมยวิ่งหายตัวไป
.โขดหินริมทะเลแห่งหนึ่ง ในเวลาเย็นท้องฟ้าแดงฉาน คนโทษวิ่งเข้ามาหอบแฮ๊กๆ จาเลงกะโบควบม้ามากับกับคนโทษอื่นอีกด้านหนึ่งมาเจอกันหัวเราะชอบใจ อวดของที่ขโมยมา
ท้องทุ่งวันใหม่ เมงจะนั่งเหม่อลอยอย่างไม่เป็นสุข
ภายในอุทยานหงสาวดี สอยันปายกำลังอ่านรายงานให้พระเจ้าสการะวุฒพีฟัง คนอื่นๆนั่งฟังอยู่โดยรอบ
"เนื่องด้วยเหตุการณ์ในเมืองเมาะตะมะเหมือนเกิดกลียุค มีการปล้นฆ่า ชกชิงวิ่งราวชาวต่างแดนทุกวัน วันละหลายหน จนไม่มีผู้ใดกล้าออกทำการค้า ชาวเมืองเมาะตะมะเองก็หวาดผวาอยู่ไม่เป็นปกติสุข ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเสด็จคืนหงสาวดี ส่วยอากรที่เก็บได้จึงยังไม่อาจนำมาถวายตามกำหนด จึงขอกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"
"ถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ ป้ามีเรื่องจะขอสการะวุฒพีหลานป้า ได้เมตตาป้ากับน้องหญิงกุสุมาด้วย"
"จะให้ข้าพเจ้าจัดการเรื่องใดแจ้งมาเถิด"
"เพลานี้พระอุปราชต้องอยู่เมาะตะมะอีกนานวัน ขอหลานเมตตาส่งป้ากับน้องกุสุมากลับกรุงแปรเถิด ป้าอยากจะกลับไปบริบาลพระเจ้าลุงเต็มทน เมื่อใดพระอุปราชเสด็จกลับกรุงหงสาวดีป้า จึงค่อยส่งน้องกลับมาหงสาวดี"
กุสุมาสีหน้าเรียบนิ่ง
"แต่ข้าพเจ้าอยากไปเมาะตะมะ ขอพระอนุญาตพี่ท่านส่งข้าพเจ้าไปเมาะตะมะเถิด ข้าพเจ้าอยากไปหา...พระอนุชาสอพินยา"
ทุกคน โดยเฉพาะอัครเทวีแปลกใจมาก ปอละเตียงจ้องสังเกต เชงสอบูยิ้มพอใจ
"แล้วแม่จะทำอย่างไร"
กุสุมาหันมากราบทูลพระอัครเทวีด้วยสีหน้าเด็ดขาด
"ขอสมเด็จแม่เสด็จกลับกรุงแปรตามปรารถนาเถิด เพลานี้สมเด็จพ่อคงอยากได้คนปลอบใจเป็นที่สุด"
"ลูกแน่ใจนะว่าคิดอย่างนี้จริงๆ"
"ลูกตัดสินใจแล้ว"
มินบูยิ้มดีใจ
"อย่าขัดใจน้องหญิงเลยสมเด็จป้า ราชการเมาะตะมะเพลานี้คงทำให้พระอุปราชสอพินยาหนักพระทัยอยู่ มีน้องหญิงไปอยู่ใกล้ๆน่าทำให้พระทัยแช่มชื่นขึ้น ข้าพเจ้าจะขอเป็นธุระเตรียมการเดินทางให้ แล้วจะให้ปอละเตียงกับเชงสอบูไปคอยรับใช้ เพราะรู้ใจกันดี นางสองคนเตรียมตัวด่วนเลยนะ อย่าขัดพระทัยตะละแม่กุสุมาเด็ดขาด"
ปอละเตียงกับเชงสอบูหน้าเสียเพราะต้องไกลจากเมงจะ กุสุมาเจ็บปวดในหัวใจยิ่งนัก
บ้านสอยันปายนางข้าหลวงนำจดหมายที่อ้างว่าน้องสาวชื่อเชงสอบูฝากมาให้ เมงจะคลี่จดหมายออกอ่าน....แล้วสีหน้าค่อยๆเปลี่ยนไป
"ข้าพเจ้าขอฝากจดหมายนี้ผ่านเชงสอบูมาถึงพี่ท่าน เมื่อพี่ท่านได้จดหมายนี้ ตัวข้าพเจ้าคงเดินทางออกจากหงสาวดีแล้ว ข้าพเจ้าขอบอกความจริงใจมายังมังฉงายพี่ท่าน ความสำคัญที่ข้าพเจ้าต้องบอกก่อนเป็นข้อแรกคือ ความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อพี่ท่านนั้น แม้นว่าสูญสิ้นพื้นธรณีนี้ ก็จะมิสิ้นรักพี่ท่านได้"
เมงจะสิ้นแรงทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
"ข้าพเจ้าสิ้นอาย ที่จะสารภาพให้พี่ท่านรู้ว่า อ้อมกอดของพี่ท่านนั้นเป็นเครื่องประโลมใจให้ข้าพเจ้าเป็นสุขอยู่ทุกวันนี้ ยามสอพินยาแตะต้องตัวเมื่อใด เมื่อนั้นข้าพเจ้าคิดถึงยามที่ทอดกายอยู่ในอ้อมแขนพี่ท่านอยู่ร่ำไป"
เมงจะพยายามกั้นน้ำตา มือที่ถือจดหมายสั่นระริก
ขบวนรถม้ากุสุมา...กำลังมุ่งหน้าไปเมาะตะมะ กุสุมานั่งอยู่ในรถม้าคนเดียวน้ำตานองหน้า
"ข้าพเจ้าไปเมาะตะมะครั้งนี้ เพราะรู้ว่าพี่ท่านไม่สิ้นความพยายามที่จะเอาตัวข้าพเจ้าไปให้จงได้ ถ้ามีผู้ใดรู้ พี่ท่านจะเป็นอันตรายเพื่อความปลอดภัย เมื่อข้าพเจ้าไปแล้วขอพี่ท่านจงเร่งออกจากหงสาวดีเสียเถิด พี่ท่านตามข้าพเจ้ามาแสนไกลเพราะความรัก ข้าพเจ้านี้แจ้งสิ้นแล้ว"
เมงจะยังคงนั่งอ่านจดหมายอยู่ที่เดิม น้ำตาค่อยๆไหลออกมา
"แต่ความรักความอาลัยระหว่างเรามีสถานใด ขอมอบให้ฟ้าดินและพรหมลิขิตชี้ขาดเถิด เราอย่ามาตัดสินกันเองโดยพากันหนีเลย"
เมงจะสุดแค้นจนที่สุด
หลายวันต่อมา เมงจะควบม้ามาอย่างรวดเร็ว จนเห็นทิวเขาอยู่ลิบๆพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าแดงฉาน
เขาขี่ม้ามาหยุดอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ริมน้ำ ลงจากหลังม้ามาล้างหน้าล้างตาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แล้วปีนขึ้นไปบนคาคบไทร หยิบห่ออาวุธ ทวนและดาบประจำกายที่ซ่อนฝากพระไทรเอาไว้ใกล้ๆตัว ก่อนจะล้มตัวลงนอน
วันใหม่ เมงจะควบม้าพุ่งไปบนถนนทางเกวียนที่ยาวขนานไปกับลำน้ำสะโตงอย่างรวดเร็ว มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเมืองเมาะตะมะอย่างรวดเร็ว
บริเวณตลาดท่าเรือเมาะตะมะ มีการค้าขายกับชาวต่างชาติมากมาย สอพินยากับไขลูควบม้าตรงมาที่ท่าเรือด้วยความดีใจ เชงสอบู ปอละเตียง และนางข้าหลวง นั่งหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆขบวนรถม้ากุสุมา สอพินยารีบกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปที่รถม้า
ในตู้รถม้า สอพินยาเข้ากอดกุสุมาด้วยความคิดถึง
"ข้าพเจ้านึกไม่ถึงเลยว่าน้องท่านจะตามมาถึงเมาะตะมะ ดีใจจริงๆคิดถึงเหลือเกิน"
สอพินยากอดจูบด้วยความคิดถึงอย่างที่พูดจริงๆ แต่กุสุมาสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
"ข้าพเจ้าอยากพักผ่อน"
"ได้ ข้าพเจ้าจะพาไปตำหนักหลวงริมทะเล น้องท่านต้องโปรดแน่นอน"
สอพินยาประคองกุสุมาออกมาจากเก๋ง เชงสอบูจ้องมองอย่างไม่วางตา กุสุมาเสด็จขึ้นสีวิกา ปิดพระวิสูตรทันที พวกพ่อค้าและชาวเมืองต่างมามุงชื่นชม ไขลูควบม้าไล่หวดให้ถอยห่าง จาเลงกาโบยืนแอบมองอยู่ห่างออกมา ใบหน้ามีแต่ความฉงนสนเท่ห์ สอพินยารู้สึกกระหยิ่มใจ กระโดดขึ้นหลังม้าควบนำออกไป ขบวนสีวิกาผ่านมา จาเลงกาโบรีบหลบ ปอละเตียงและเชงสอบูเดินผ่านจาเลงกาโบไปโดยไม่ทันสังเกตเห็น จาเลงกะโบค่อยๆโผล่ออกมาจากที่ซ่อน ไม่เข้าใจว่ากุสุมาเดินทางมาเมาะตะมะทำไมและจะเด็ดรู้หรือไม่
สอพินยาควบม้านำขบวนสีวิกามาอย่างอารมณ์ดี พลางมองตรงไปที่ยอดผาสูงข้างหน้า ตำหนักหลวงตั้งตระหง่านบนยอดผาริมทะเล สวยงามมาก
พระอาทิตย์กำลังจะลับจากเส้นขอบฟ้ากลางทะเล ท้องฟ้าแดงฉาน เมงจะควบม้ามายืนบนเนินริมทะเล มองไปที่เมืองเมาะตะเมาะ ก่อนจะชักม้าวิ่งตรงต่อไป
ในห้องบรรทม ตำหนักหลวงริมทะเล เวลากลางคืน กุสุมานั่งเงียบบนตั่งริมหน้าต่าง เหม่อมองไปกลางทะเลสุดสายตา เชงสอบูยกโคมมาตั้งให้ใกล้ๆ
"เชงสอบู...คืนนี้เจ้านอนเป็นเพื่อนเราในห้องนี้แหละนะ"
เชงสอบูงง มองหน้ากุสุมาว่าหมายถึงอะไรแน่ สอพินยาเดินเข้ามาในห้อง กุสุมาสะดุ้ง พยายามเก็บความรู้สึก
"พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องเข้ามากวน เราจะตื่นสายๆ ไป...ไปได้แล้ว"
กุสุมาเงียบ เชงสอบูจึงค่อยๆคลานออกไป สอพินยาเดินเข้าไปกอดกุสุมาอย่างคิดถึงและเอาใจ
"เราเข้านอนเถอะนะ วิมานนี้เป็นของเราทั้งสอง"
สอพินยาอุ้มกุสุมาไปวางที่พระแท่นบรรทม แล้วเป่าเทียนดับลงก้าวเข้าไปในมุ้งที่กุสุมานอนอยู่ ตะละแม่ไม่อาจหนีไปไหนได้ สอพินยาตรงเข้าเล้าโลม กุสุมาผลักใสเต็มแรง สอพินยาแข็งขืนยืนยันโดยกำลัง
"ข้าพเจ้าเหนื่อย ขอพักก่อน"
"เมตตาให้ข้าพเจ้าได้ชื่นชม สมกับความคิดถึงเถิด"
"ข้าพเจ้ายังคงต้องอยู่ที่นี่อีกหลายราตรีนัก"
สอพินยาเหมือนยอมค่อยๆดันกุสุมาเอนลงกับที่นอน
คลื่นทะเลยามเช้า ซัดกระแทกกับโขดหินแตกกระเซ็น เมงจะนอนคุดคู้อยู่ที่เนินทรายใต้ต้นไม้ใกล้ๆม้า กองไฟกำลังจะมอดดับ เหลือแต่ควันกรุ่นๆ เมงจะยังนอนลืมตาโพลง เหมือนคนนอนไม่หลับทั้งคืน
ท้องพระโรงตำหนักสอพินยา ภายในพระราชวังเมาะตะมะ สอพินยาประทับเป็นประธานในที่ประชุมท่าทางสบายๆ แต่คนอื่นๆดูเคร่งเครียด
สมิงสอตุดรายงาน
"การก่อความวุ่นวายชิงปล้นพ่อค้าเกือบทุกวัน ทำให้จำนวนพ่อค้าที่เดินทางมาจากชมพูทวีปและมะละกาต่างหวาดกลัวนำสินค้าไปขึ้นที่ท่าพสิมกันมากขึ้น ถ้าเราไม่อาจแก้ไขได้ เมืองท่าพสิมอาจจะเจริญรุ่งเรืองล้ำหน้าเราไปได้"
"จะยากอะไรก็จัดกองลาดตระเวนเพิ่มขึ้นซิ" สอพินยาบอก
"แต่ข้าพเจ้าคิดว่าการชิงปล้นนี้ไม่ธรรมดา มันกระทำเป็นขบวนการ"
"ใครมันจะกล้าตั้งซ่องโจรขึ้นในเมาะตะมะ"
"คงไม่ใช่คนเมาะตะมะแน่ เพราะข้าพเจ้าปราบสงบมาหลายปีแล้ว"
"ท่านจะบอกว่ามันเป็นคนต่างถิ่น มาตั้งซ่องโจรในเมืองของท่านอย่างนั้นหรือ"
"ข้าพเจ้าสงสัยว่า มันเป็นคนถิ่นใด ลุ่มแม่น้ำสะโตงนี้ต่างเป็นมิตรข้าพเจ้าด้วยดีเสมอมา"
"งั้นท่านก็ตามสืบให้ได้ซิ อย่าให้ถึงข้าพเจ้าเลย เพลานี้ขอข้าพเจ้าได้มีเวลาอยู่กับชายาให้หายคิดถึงเถิด ท่านก็คนหนุ่มคงเข้าใจข้าพเจ้าดี" สอพินยาพูดพลางหัวเราะ
"ข้าพเจ้าขออำนาจ ในการจัดการปราบปรามการก่อการไม่สงบอย่างเด็ดขาด"
"เชิญเลย ท่านทำไปเลย ขออย่าเพิ่งขัดความสำราญข้าพเจ้าเพลานี้แล้วกัน"
สอพินยาหัวเราะอย่างมีความสุข สมิงสอตุดแอบมองสอพินยาอย่างชอบใจ ด้วยสายตาแปลกๆ
วันใหม่ เมงจะควบม้าย่างมาช้าๆตามดงมะพร้าวในบริเวณป่าละเมาะริมทะเล ทันใดนั้นก็มีชาย 6-7 คนโผกผ้าคลุมหน้า กระโดดออกมาจากต้นมะพร้าวตรงเข้ารุมทำร้าย เกิดการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ดุเดือด เมงจะล้มคนพวกนั้นได้หลายคน…จนถึงคนหนึ่งเสียเปรียบ เมงจะเงื้อทวนจะแทง เสียงจาเลงกะโบดังขึ้น
"ช้าก่อน จะเด็ดน้องท่าน"
เมงจะชงักหันไปมอง เห็นจาเลงกาโบยืนอยู่บนก้อนหิน
ปากถ้ำริมทะเลคนโทษอยู่ไกลๆ ทำงานบ้าง คุยกันบ้าง เมงจะกำลังโกนหนวดเคราอยู่ จาเลงกาโบนั่งอยู่บนโขดหิน
"ตะละแม่หนีมาหาสอพินยา ข้าพเจ้าจึงตามมาชิงตัวคืน"
จาเลงกะโบตกใจ
"ชิงตัว"
"ข้าพเจ้าตั้งปณิธานไว้แล้ว หากชิงตัวนางจากอกสอพินยาไปไม่ได้ข้าพเจ้ายินดีทิ้งชีวิตข้าพเจ้าไว้ที่เมาะตะมะนี่"
"น้องท่านคิดดีแล้วหรือ"
"ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจข้าพเจ้าได้อีกแล้ว"
จาเลงกาโบมองด้วยความวิตก
คนโทษควบม้าตรงมาหาจาเลงกาโบที่ยืนถือจดหมายอยู่ใต้ต้นไม้ จาเลงกาโบยื่นส่งจดหมายให้
"จงเอาไปให้พ่อข้าที่ค่ายเมืองแปรให้ถึงมือด่วนที่สุด"
คนโทษพยักหน้ารับแล้วควบม้าออกไป จาเลงกาโบมองตามอย่างไม่สบายใจ
กุสุมาไม่สบายนอนซมอยู่บนพระแท่น บริเวณศาลาริมทะเล เชงสอบูกำลังเอาผ้าชุบน้ำปิดหน้าผากให้
สอพินยานั่งมองอย่างเป็นห่วง มีเชงสอบูกับปอละเตียงคอยรับใช้หมออยู่ใกล้ๆ
หมอบอก
"พระวรกายร้อนจัดต้องจัดการลดไข้เนื่องจากผิดอากาศ ตะละแม่เป็นคนแผ่นดินเหนือ เมื่อลงมาอยู่แผ่นดินใต้ที่อากาศร้อนกว่าจึงผิดอากาศ"
"รู้แล้ว เมืองท่าเมาะตะมะหน้าร้อนก็เป็นอย่างนี้ทุกปี"
หมอรีบพูดต่อ
"มิควรให้พระชายาสบอากาศอ้าวบนพระตำหนักนี้ ควรย้ายไปอยู่ที่ลุ่มจะเหมาะกว่า"
สอพินยาชะงักกึก โมโห
"จะให้ไปอยู่ที่ไหน วังข้าสบายที่สุดในเมาะตะมะแล้วนะหมอ"
หมอนิ่งเงียบ
ปอละเตียงกับเชงสอบูกำลังทำงานดูแลกุสุมา
วันใหม่ บรรยากาศตลาดในเมืองเมาะตะมะ ปอละเตียงเดินเลือกซื้อของในตลาดอย่างเพลิดเพลิน จนมาถึงตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังเพลินอยู่นั้นก็มีคนฉุดนางเข้าไปในซอกตึก พอนางจะอ้าปากร้องก็ถูกเอามือ
ปิดปากไว้ เมงจาให้สัญญาณมือไม่ให้เธอร้อง เธอตกใจ
สวนมะพร้าวริมทะเล เมืองเมาะตะมะ เมงจาให้ปอละเตียงนั่งซ้อนหลังม้า ย่างเยาะๆไม่รีบร้อน นางเกาะเอวเมงจามาหลวมๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ
"ไหนละ ท่านเมงจะที่ว่าอยู่ไหน"
"เดี๋ยวถึงก็เห็นเอง"
"ถ้าย่างม้าช้าเป็นเต่าอย่างนี้เมื่อไหร่จะถึง"
"ที่ข้าพเจ้าไม่กล้าควบเร็ว ก็เพราะท่านไม่ยอมกอดเอวข้าพเจ้าให้แน่นๆต่างหาก"
ปอละเตียงแอบทำปากเบ้
"ไม่เอา...เหม็นสาปตัวท่านจะตายอยู่แล้ว น้ำไม่อาบมากี่วันแล้วนี่"
"ต้องซุ่มแอบอยู่ในถ้ำ จะหาน้ำจืดที่ไหนอาบ"
"เร็วๆเข้าเถอะ ข้าจะทนเหม็นไม่ไหวแล้ว"
เมงจาแกล้งกระตุกม้าพุ่งออกไป ปอละเตียงตกใจ รีบรัดเอวเขาแน่น
"ว้าย... คนผี จะควบเร็วก็ไม่บอก"
"กอดข้าพเจ้าแน่นๆนะ...ตกไปข้าพเจ้าไม่ผิดด้วย"
ปอละเตียงหลับตาปี๋กอดรัดเอว ซบหลังเมงจาแน่น
เมงจาควบม้ามาอย่างรวดเร็ว โดยมีปอละเตียงกอดเอวหลับตาปี๋แน่น ตรงมาถึงที่เมงจะคอยอยู่
ปอละเตียงดีใจที่เจอเมงจะ เมงจะมารับเธอลงจากหลังม้า ปอละเตียงหันไปค้อนเมงจาหลายวง
"ท่านเมงจะ ตอนแรกข้าพเจ้านึกว่าคนของท่านปดข้าพเจ้าเสียอีก"
"คิดถึงน้องท่านนัก จึงวานให้พี่เมงจาท่านไปตามน้องท่านมาค่อนข้างอุกอาจ"
เมงจาแอบมองปอละเตียงกับเมงจะอย่างน้อยใจ แต่ไม่พูดชักม้าหลบไป
เมงจะหน้าตาเศร้าสร้อย นั่งคุยกับปอละเตียงที่โขดหินริมทะเล
"ตะละแม่กุสุมาประชวรอาการหนักเบาประการใด เพลานี้ประทับอยู่ที่ใด"
"ลิ้นเจรจาว่าคิดถึงข้าพเจ้าแต่ใจกลับคิดถึงตะละแม่ เกลียดนักคนตองอู"
เมงจะแกล้งทำหน้าเศร้าให้สงสาร
"ข้าพเจ้านี้ซึ้งในน้ำใจน้องท่านนัก ที่อุตส่าห์มาพบด้วยเป็นห่วงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้น้ำใจน้องท่านได้ วันใดได้กลับตองอู จะขอนำน้องท่านไปอยู่ตองอูบำรุงให้สุขสบาย ข้าพเจ้าให้สัญญา บอกข้าพเจ้าหน่อยเถิดตะละแม่กุสุมาเป็นอย่างไรบ้าง"
ปอละเตียงมองตาเมงจะแล้วใจอ่อน
ในตำหนักท่าเรือ ริมทะเลอ่าวเมาะตะมะ เชงสอบูปรนนิบัติถวายพระโอสถให้กุสุมาที่ยังนอนอยู่บนพระแท่นอย่างอ้างว้าง สอพินยาเดินเข้ามามองกุสุมาที่ยังนอนนิ่งอยู่ ทรงประทับลงบนพระแท่นกุมมือกุสุมาไว้ด้วยความรัก แล้วคุยกับหมอ
"ทำไมอาการเมียข้ายังไม่ดีขึ้น"
"ข้าพุทธเจ้าเพิ่งเปลี่ยนโอสถให้ใหม่ อีกไม่ช้าอาการก็จะดีขึ้น"
กุสุมาใบหน้าซีดเซียว ไร้ความรู้สึกใดใด
เมงจะนั่งหน้าเศร้าแต่ดวงตาแค้นนัก ปอละเตียงมองด้วยความเห็นใจ เมงจาไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไหร่ได้แต่นั่งมองปอละเตียงเพลิน อยู่ห่างๆ
"ท่านจะทำอย่างไรต่อไป"
เมงจะถอนใจ
"ยังนึกไม่ออก ฟังจากน้องท่านเล่า ข้าพเจ้าคงเข้าถึงตัวตะละแม่ได้ยาก"
เมงจาถึงกับสะดุ้งเมื่อปอละเตียงหันมาเห็น
"มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหรือ"
เมงจาเหรอหรา ตอบไม่ถูก รีบหลบตา
"ปละ...เปล่า"
"เปล่าอะไร เห็นๆ"
ปอละเตียงหันมาถามเมงจะ
"สมควรจะให้รู้ได้รึเปล่าพี่ท่าน ข้าพเจ้าดูท่าพิกลนัก"
เมงจะขำๆบอก
"ไม่เป็นไร" แล้วหันไปพูดกับเมงจา
"พี่ท่านเขยิบเข้ามาใกล้ๆเถิด นางระแวงน่ะถูกแล้วเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องลับ"
เมงจาเขยิบมาใกล้นิดหนึ่ง ปอละเตียงจ้องตาขมึง
"ก็มาด้วยกันจะกลัวทำไม"
ปอละเตียงเสียงเขียว
"ไม่ได้...ต้องกลัวไว้ก่อน หนอนบ่อนไส้เคยมีมาแล้ว ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นบ้างหรือ"
เมงจะบอก
"น้องท่านอย่าวู่วามไปเลย ท่านมะจาไม่น่าสงสัยอะไรดอก"
ปอละเตียงค้อนๆ
"ไม่แน่เราไม่ถูกชะตา แล้วมายืนตรงนี้ทำไม เขยิบไปห่างๆ"
"อ้าว ก้อ...ท่านขุนวังให้เขยิบมาใกล้ๆ"
"โน่น...ตรงโน้น ใกล้ขุนวังโน่น ไม่ต้องมาใกล้เรา"
เมงจารีบเขยิบไปอย่างแหยงๆ
"ท่านจะฝ่าทหารยามไปบนพระตำหนัก แล้วพาองค์ตะละแม่หนีไปหรือ พี่ท่านกล้าหาญชาญชัยถึงขนาดนั้นเลยหรือ"
เมงจะหน้าครุ่นคิด
"หากท่านไม่มีปีกอย่างนก หรือมีครีบอย่างปลา ท่านทำไม่ได้ดอก"
เมงจะมองปอละเตียงแล้วค่อยๆยิ้มขันๆออกมา
2. หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ประพันธ์โดย : โชติ แพร่พันธุ์
หรือเจ้าของนามปากกา “ยาขอบ”
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ ขอบพระคุณครับ
โฆษณา