ข. จรณะ แปลว่า ประพฤติหรือธรรมควรประพฤติ
พระองค์ประกอบด้วยจรณะมี ๑๕ ประการ คือ
๑. ศีลสังวร คือ สำรวมในพระปาฏิโมกข์
๒. อินทรีย์สังวร คือ สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิให้อารมณ์ที่จะชักความชั่วเข้ามาติดได้ โดยไม่ต้องฝืน
๓. โภชเนมัตตัญญตา คือ ประมาณในการบริโภคพอสมควร
๔. ชาคริยานุโยค ทรงประกอบความเพียร ทำให้พระองค์รู้สึกพระองค์ นิวรณ์เข้าครอบงำไม่ได้
๕. สัทธา ทรงประกอบด้วยศรัทธาอย่างอุกฤษฎ์ ทรงบำเพ็ญทานของนอกกาย ทานอุปบารมีด้วยการสละเลือดเนื้อเมื่อทำความเพียร และสละได้ถึงชีวิตเป็นทานปรมัตถบารมี
๖. สติ ได้แก่ สติวินัย พระองค์ไม่เผลอในกาลทุกเมื่อ ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน ในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านหมายเอาสติถึง กาย เวทนา จิต ธรรม
๗. หิริ การละอายต่อความชั่ว
๘. โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป
๙. พาหุสัจจะ ฟังมาก นับแต่ครั้งสร้างบารมี ทรงเอาใจใส่ฟังธรรมจากสำนักต่าง ๆ เช่น ที่สำนักอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ได้เรียนรูปฌาน อรูปฌาน
๑๐. อุปักกโม ความเพียรไม่ละลด เช่น ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๕
-เวลาเช้าบิณฑบาต
-เวลาเย็นทรงธรรม
-เวลาค่ำทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุ
-เวลาเที่ยงคืนทรงเฉลยปัญหาเทวดา
-เวลาใกล้รุ่งพิจารณาเวไนยสัตว์ที่จะพึงโปรด
๑๑. ปัญญา มีความรู้เห็นกว้างขวาง หยั่งรู้เหตุและผลถูกต้องไม่ผิดพลาด
๑๒-๑๕ รูปฌาน ๔ เป็นโลกิยปัญญาที่ทรงเรียนฌานจากดาบส มีอัปปนาสมาธิ เป็นต้น พระองค์ได้อาศัยประโยชน์นำสู่โลกุตตระ ด้วยการหยั่งรู้จากญาณธรรมกาย อันเป็นส่วนที่พระองค์ตรัสรู้เองภายหลัง