19 เม.ย. 2020 เวลา 03:45 • กีฬา
#แฟร์นานเดส อาสาพาปีศาจแดงชิงบัลลังก์
“ผมต้องการเสื้อหมายเลข 10 !!!” นี่คือประโยคเด็ดที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มวัย 21 ปี ที่เพิ่งย้ายเข้ามาสู่ซามพ์โดเรียในวันแรก และร้องขอใส่เสื้อเบอร์เดียวกับ โรแบร์โต้ มันชินี่ ตำนานของลาซามพ์ ซึ่งมันคงต้องอาศัยความบ้าบิ่น กล้าหาญ และความมั่นใจอย่างสูง ถึงได้พูดประโยคนี้ออกมาได้ แต่เขาก็ได้สวมมันจริงๆ
บรูโน่ แฟร์นานเดส ปัจจุบันในวัย 25 ปี ได้ย้ายมาเล่นในโอลด์แทรฟฟอร์ดให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 47 ล้านปอนด์ และหากผลงานเป็นไปตามเป้า ปีศาจแดงต้องจ่ายให้ สปอร์ตติ้ง ลิสบอน เพิ่มขึ้นเป็น 67.7 ล้านปอนด์ ทำให้ตัวเขาเองต้องออกมาบอกว่า ค่าตัวของเขามันแพงเกินจริงไปหน่อย แต่ผลงานที่เขาทำให้กับทีมจะเป็นสิ่งพิสูจน์เองว่าคุ้มค่าหรือไม่ กับความหวังของแฟนบอลว่า เขาจะเป็นผู้ปลุกปีศาจแดงตนนี้ ให้กลับมาท้าชิงบัลลังก์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
#บ่นบ้าภาษาบอล จะพาไปรู้จัก อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ในมุมมองแอดมิน) ของ บรูโน่ แฟร์นานเดส กัน
ไอ้หนูแฟร์นานเดสเริ่มเล่นฟุตบอลในอคาเดมีของสโมสร อินเฟสต้าอย่างเป็นทางการตอนอายุ 7 ขวบ หลังจากนั้น 2 ปี ได้ย้ายไปยังสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างเบาวิสต้า และใช้ชีวิตนักเตะเยาวชนอยู่ที่นี่ถึง 8 ปี
แม้จะยังไม่เคยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของเบาวิสต้าแม้แต่นัดเดียว แต่แมวมองทีมโนวาร่า จากอิตาลี ก็ตาถึงมาดึงตัวไปเล่นในอิตาลี ทำให้เขาต้องจากครอบครัวไปอยู่ต่างแดนในวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น
แฟร์นานเดส ลงฝึกซ้อมกับทีมเยาวชนของโนวาร่าได้เพียง 2 สัปดาห์เศษ ก็ถูกดันขึ้นชุดใหญ่ ซึ่งขณะนั้นโนวาร่าเล่นอยู่ในซีรี่ย์บี เขาลงสนามไป 23 นัด ทำได้ 4 ประตู เรียกได้ว่าเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนนัดทั้งหมดที่ทีมลงเล่นในซีรี่ย์บี (ซีรี่ย์บีเล่น 42 นัด) และช่วยให้โนวาร่าจบที่อันดับ 5 ก็ถือว่าไม่เลวเลยกับฤดูกาลแรกในต่างแดน กับวัยเพียงแค่ 17 ปี
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยให้ต้นสังกัดขึ้นมาเล่นในซีรี่ย์เอได้ แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่ได้ขึ้นมาเล่นแทน โดยในฤดูกาลต่อมาอูดิเนเซ่ดึงตัวเขามาร่วมทีม โดยที่โนวาร่ายังถือสิทธิ์ในตัวเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง (เป็นเจ้าของร่วม)
ที่อูดิเนเซ่ แฟร์นานเดสเล่นอยู่หลายบทบาทในแผงกองกลางของทีม ตั้งแต่ตัวพักบอลในแดนกลางที่ต้องยืนอยู่หน้าแผงกองหลัง ถ้าใครนึกไม่ออกให้นึกถึงตำแหน่งที่ อันเดร ปีร์โล่ เล่น จนถึงมิดฟิลด์ตัวรุกที่ยืนอยู่หลังกองหน้า
หลังจากอยู่อูดิเนเซ่ได้ 3 ฤดูกาล ทำผลงาน 86 นัด 10 ประตูในซีรี่ย์เอ ก็ถึงเวลาเดินทางครั้งใหม่ เมื่อเขาย้ายจากอูดิเน่ทางฝั่งทะเลเอเดรียติก มายังเมืองเจนัวทางฝั่งทะเลไทเรเนี่ยน ร่วมทีมซามพ์โดเรียในวัย 21 ปี
การเป็นเด็กหน้าใหม่ที่เรียกร้องหมายเลข 10 ของทีมด้วยวัยเพียง 21 ปีนั้นเป็นที่ฮือฮามากในอิตาลี จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลยที่ตัวเขาจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ โรแบร์โต้ มันชินี่ ตำนานดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีม (171 ประตู : ต้องเข้าใจนิดนึงว่า ในสมัยก่อนฟุตบอลอิตาลีจะยิงประตูกันน้อยมาก) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอิตาลีคนปัจจุบัน
นอกจากการนำไปเปรียบเทียบกับมันชินี่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือการคาดหวังจากแฟนบอล ซึ่งเจ้าตัวก็มีความมั่นใจว่าจะเล่นในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ให้กับทีมได้ โดยในช่วงซัมเมอร์ก่อนเปิดฤดูกาล แฟร์นานเดสก็ได้สวมเสื้อหมายเลข 10 เล่นในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ให้กับทีมชาติโปรตุเกสสู้ศึกโอลิมปิคฤดูร้อนที่ริโอเดอจาเนโร ปี 2016
ถึงแม้จะพาทีมผ่านรอบแบ่งกลุ่มเป็นที่ 1 โดยเขี่ยอาร์เจนติน่าตกรอบไปได้ แต่ทีมก็ไปไกลได้เพียงรอบควอเตอร์ไฟนอลเท่านั้น โดยพ่ายให้กับเยอรมันนีซึ่งได้รองแชมป์ในปีนั้นไปถึง 0-4 แต่แฟร์นานเดสก็แสดงให้เห็นว่า เขาโดดเด่นกว่านักเตะในวัยเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น เจา คันเซโล่, รูเบน เนเวส, เรนาโต้ ซานเชซ และกอนคาโล กูเอเดส
ผลงานที่เขาทำไว้ให้กับซามพ์โดเรียคือ ลงเล่น 33 นัดทำได้ 5 ประตู ช่วยให้ลาซามพ์จบอันดับที่ 10 ในฤดูกาลนั้น แต่ฟอร์มของเขาดันไปเตะตา ฮอร์เก้ เฆซุส ผู้จัดการทีมสปอร์ติ้ง ลิสบอน ในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมฟลาเมงโก้ในบราซิล) จึงได้เวลาที่เขาจะต้องเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยค่าตัว 7.2 ล้านปอนด์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการกำเนิดเพชรเม็ดงามแห่งโปรตุเกส
ตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่งที่เล่นให้กับสปอร์ติ้งลิสบอน เขาทำสถิติที่น่าทึ่งไว้หลายรายการ (เฉพาะในโปรตุเกส พรีเมียร่า ลีกา) ได้แก่
มีส่วนร่วมกับการทำประตูเป็นอันดับ 1 ในลีก ด้วยจำนวน 67 ประตู (39 ประตู 28 แอสซิส)
ทำประตูได้จากนอกเขตโทษเป็นอันดับ 1 ในลีก ด้วยจำนวน 9 ประตู
สร้างสรรค์โอกาสมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในลีก ด้วยโอกาส 239 ครั้ง
หาจังหวะยิงได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในลีก ด้วยจำนวนยิงรวม 271 ครั้ง และ
ยิงตรงกรอบมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในลีก ด้วยจำนวน 114 ครั้ง
ทั้งหมดนี้เกิดจากการลงเล่นเฉพาะในลีกให้กับทีมทั้งหมด 83 นัดเท่านั้น
หากจะนับผลงานทั้งหมดที่ทำไว้กับสปอร์ติ้งลิสบอน (พรีเมียร่า ลีกา, โปรตุกีส คัพ, ลีกคัพ, ยูฟ่า ยูโรป้าลีก และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก) ตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่งก็ยากที่จะมีใครลบสถิตินี้ลงได้ คือ ลงสนามทั้งหมด 134 นัด ทำได้ 63 ประตู 42 แอสซิส (สถิติทำประตูเฉลี่ย 0.47 ประตูต่อเกม) แถมสถิตินี้เกิดจากนักเตะในตำแหน่งกองกลางอีกต่างหาก แม้แต่กองหน้ายังทำไม่ได้เท่านี้เลย!!!
สุดท้าย มกราคม 2020 ปีศาจแดงแห่งเกาะอังกฤษก็คว้าตัวมาร่วมทีมจนได้ หลังจากมีข่าวมาตั้งแต่ซัมเมอร์ 2019 แต่ก็มีคำถามออกมาว่า เขาจะนำพรสวรรค์และความมั่นใจจากลีกที่เล็กว่าอย่างลีกโปรตุเกส มาใช้กับลีกที่ใหญ่กว่าอย่างพรีเมียร์ลีกได้อย่างไร
แฟร์นานเดสแสดงให้เห็นด้วยผลงานในสนาม นับตั้งแต่เขาย้ายมาร่วมทีมปีศาจแดงก่อนที่ลีกจะเบรคไปเนื่องจากการระบาดของโคโรน่าไวรัส ผลงานของเขาอยู่ที่ 9 นัด 3 ประตู 4 แอสซิส เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นขวัญใจคนใหม่แห่งถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด แม้จะเพิ่งย้ายมาร่วมทีมได้ไม่นาน แฟนบอลเร้ด เดวิล ก็แต่งเพลงเชียร์ประจำตัวให้แฟร์นานเดสเป็นของขวัญแล้ว
"Bruno, Bruno, Bruno, he's from Sporting like Cristiano. He goes left, he goes right, makes defences look rubbish, he's our Portuguese magnifico." (ส่วนทำนองลองเข้าไปดูและฟังในลิงค์นี้นะครับ https://www.youtube.com/watch?v=94DuUk7zVm4 )
บางคนยกให้การเซ็นสัญญากับบรูโน่ แฟร์นานเดส เป็นการเซ็นต์สัญญาที่ดีที่สุดของทีมนับตั้งแต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เกษียณอายุไปในปี 2013 เลยทีเดียว คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด เมื่อเดือนแรกที่เขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกก็สามารถคว้ารางวัล “ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์” ไปครองอย่างไร้คู่แข่ง พร้อมกับพาแมนฯยูฯไล่จี้เชลซี ทีมอันดับ 4 เหลือเพียง 3 แต้ม พาทีมเข้ารอบควอเตอร์ไฟนอลในศึก FA cup และรอบ 16 ทีมสุดท้ายในถ้วยยูโรป้าลีก และมีโอกาสสูงมากในการผ่านเข้าไปเล่นในรอบควอเตอร์ไฟนอลเมื่อนัดแรกบุกไปอัด LASK จากออสเตรียถึง 5-0
โอเล่ กุนน่าร์ โซลชา กุนซือของปีศาจแดง มักจะให้แฟร์นานเดสยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกอยู่หลังศูนย์หน้าเสมอ ในระบบ 4-2-3-1 หรือแม้บางครั้งเวลาพบทีมใหญ่อาจจะใช้ 3-4-1-2 อย่างในนัดพบกับเชลซีและแมนฯซิตี้ (ซึ่งชนะ 2-0 ทั้งสองนัด) ก็จะใส่แฟร์นานเดสไว้หลังคู่กองหน้าไว้คอยสนับสนุน แต่กับสปอร์ตติ้งลิสบอน หลายนัดแฟร์นานเดสมักถูกจับมาเล่นเป็นมิดฟิลด์ประเภท Box to Box มากกว่า ซึ่งเขาก็ทำได้ทีทั้งเกมรุกและเกมรับ
ในมุมมองของแอดมิน แฟร์นานเดสเหมือนเป็นการผสมผสานกันระหว่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด กับ พอล สโคลส์ เขาจมูกไวเวลาเคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในเขตโทษฝ่ายตรงข้าม หาที่ว่างได้ดี ถูกที่ถูกเวลาเสมอ ทำให้สามารถทำประตูได้มากมายเหมือนกับแลมพาร์ด (แลมพาร์ดยิงให้เชลซีไปทั้งหมด 211 ประตู ถือเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของเชลซี) และยังอันตรายในระยะ 25 หลาเหมือนพอล สโคลส์ อีกด้วย แต่ข้อดีของเขาอีกอย่างก็คือ เขาสามารถเลี้ยงบอลและจ่ายบอลได้ดีกว่าทั้งแลมพาร์ดและสโคลส์ ซึ่งสถิติการแอสซิสบอกไว้ชัดเจน
แต่คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ เขาจะประสบความสำเร็จกับแมนฯยูฯหรือไม่ และสามารถพาแมนฯยูฯไปได้ไกลแค่ไหน???
ความเห็นส่วนตัวของแอดมินขอแยกตอบเป็น 2 ประเด็น ดังนี้ครับ
ประเด็นแรก ความสำเร็จส่วนตัว ด้วยความสามารถที่มีกับผลงานที่แสดงไว้ใน 9 นัดแรก แอดมินหรือผู้อ่าน ก็คงพอมองเห็นแล้วว่า เขาจะเป็น “เดอะแบก” คนต่อไปของทีมได้ไม่ยากอย่างแน่นอน เผลอๆ อาจทำให้แฟนๆ ลืมป็อกบาไปเลยก็ได้
ประเด็นที่สอง ความสำเร็จส่วนรวม คือ พาแมนฯยูฯกลับมาล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกและแชมป์อื่นๆ ประเด็นนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแฟร์นานเดสเพียงคนเดียว มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบรอบๆ ตัวเขาต่างหาก ทั้งระบบการเล่น เพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการทีม แฟนบอล บรรยากาศในทีม ต้องผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่แน่นอนว่า โซลชาคงคิดจะสร้างทีมโดยมีแฟร์นานเดสเป็นศูนย์กลางอย่างแน่นอน
ทุกวันนี้เราเห็นโซลชาใช้ระบบการเล่น 4-2-3-1 เป็นหลัก โดยมีแฟร์นานเดสยืนอยู่หลังศูนย์หน้า แต่ถ้าหากว่า ปอล ป็อกบา หายเจ็บกลับมา (ซึ่งตอนนี้ก็ลงซ้อมได้แล้ว) โซลชาจะเอาไปวางไว้ตรงไหน ให้ยืนเป็นมิดฟิลด์คู่กลาง (ซึ่งปกติจะใช้ มาติช แม็คโทมิเนย์ เฟร็ด สลับกันลง) ก็ดูจะเสียของในฝีเท้าที่มีมากกว่านั้น แอดมินคิดว่าโซลชาคงต้องปรับมาเล่น 4-3-3 ให้แฟร์นานเดสยืนคู่กับป็อกบาเป็นมิดฟิลด์ Box to Box คู่กัน ส่วนมิดฟิลด์อีกคนคงต้องสลับกันลงระหว่าง มาติช แม็คโทมิเนย์ และเฟร็ด ทำให้แดนกลางของทีมดูจะเป็นจุดแข็งที่สุดของทีมแล้ว หากว่าฤดูกาลหน้าป็อกบาไม่ย้ายออกจากทีมไปซะก่อน
แต่ถ้าหากป็อกบาย้ายออกไปในช่วงซัมเมอร์ (ซึ่งความเห็นส่วนตัวแอดมินคิดว่าน่าจะอยู่ต่อ เนื่องจากค่าตัวที่ตั้งไว้สูง ประกอบกับรายได้ของสโมสรฟุตบอลลดลงเนื่องจากการระบาดของ Covid-19 ทำให้อาจไม่มีทีมใดทุ่มซื้อตัวป็อกบาออกจากโอลด์แทรฟฟอร์ด) จะทำให้แมนฯยูฯ หันมาใช้ระบบ 4-2-3-1 อย่างเต็มตัว และไม่คิดหาคนมาแทนตำแหน่งป็อกบาเพื่อกลับไปเล่น 4-3-3 อีก
ส่วนตำแหน่งอื่นอย่างผู้รักษาประตู หากไม่ไว้ใจ ดาบิด เดเคอา ก็สามารถดึงเอา ดีน เฮนเดอร์สัน กลับมาจากเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดได้
กองหลังที่ซื้อมาใหม่อย่าง อารอน วาน-บิสซากา กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ โดยส่วนตัวถือว่าคุ้มค่า แต่ทั้งคู่ไม่สามารถช่วยแผงหลังทั้งแผงให้เล่นดีขึ้นมาทั้งหมดได้
ลุค ชอว์ ที่เหมือนจะฝากฝีฝากไข้ได้ก็ดูเหมือนจะดร็อปลงไปจากฤดูกาลที่แล้ว จะปั้นแบรนดอน วิลเลี่ยม ก็อาจจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี แต่ถ้าจะให้โอกาสชอว์ไปอีกหนึ่งฤดูกาลก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก อีกทั้งคงต้องหาคนที่เหมาะสมมายืนคู่กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เท่าที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ก็เห็นจะมี ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เซ็นเตอร์ฮาร์ฟดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสของ อาเบ ไลป์ซิก หรืออาจจะเป็นจอมเก๋าชาวอุรุกวัยอย่าง ดิเอโก โกดิน ที่เป็นส่วนเกินของอินเตอร์ มิลาน มาขัดตาทัพก่อนก็อาจจะเป็นได้ แต่ถ้าได้ อูปาเมกาโน่ มาละก็แจ่มเลยครับ
ดังนั้น โจทย์ของโซลชาในแผงหลังคงต้องอยู่ที่ แบ็คซ้ายกับเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ในช่วงซัมเมอร์นี้
ส่วนในเกมรุก โซลชามีตัวริมเส้นให้เลือกใช้อย่างเหลือเฟือ ขาดก็แต่ศูนย์หน้าตัวเป้า ที่ต้องสลับแรชฟอร์ดกับมาร์กซิยาลไปเล่นบ่อยๆ น่าเสียดายที่ช่วงตลาดเดือนมกราคม แมนฯยูฯพลาดการเซ็นสัญญากับ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ทำให้ซัมเมอร์นี้ต้องควานหาศูนย์หน้ากันต่อไป ซึ่งตรงนี้โซลชาก็เล็งเห็นถึงความสำคัญจึงได้ยืมตัวอิกาโล่มาขัดตาทัพชั่วคราวก่อน
แฮรี่ เคน ดูจะเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุดของปีศาจแดงในยามนี้ ซื้อมาแกะกล่องใช้ได้ทันที ติดก็ตรงที่ค่าตัวที่สเปอร์สตั้งไว้สูงถึง 200 ล้านปอนด์ และดาเนี่ยล เลวี่ไม่อยากขายให้กับทีมในลีกเดียวกัน
ส่วนนักเตะคนอื่นๆ ที่มีข่าวกับปีศาจแดง อาทิ จาดอน ซานโช่, เฟอร์ราน ตอร์เรส, เอนริโก้ คิเอซ่า, เจมส์ แมดดิสัน และแจ็ค กรีลิช นั้น แอดมินคิดว่าคงต้องระบายนักเตะอย่าง อันเดรส เปไรร่า, ฮวน มาต้า และเจสซี่ ลินการ์ด ออกไปซะก่อน
ซึ่งนักเตะตามรายชื่อดังกล่าว แจ็ค กรีลิช ถึงแม้จะไม่ใช่นักเตะที่ดีที่สุด แต่ก็ดูจะมีโอกาสย้ายเข้ามามากที่สุด สาเหตุเพราะแอสตัน วิลล่า มีโอกาสตกชั้นสูง เมื่อดูจากอัตราต่อรองจากบริษัทรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ และหากตกชั้นจริง แอสตัน วิลล่า คงไม่สามารถรั้งตัวเขาไว้ได้แน่ๆ
ส่วนจาดอน ซานโช่ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีข่าวกับแมนฯยูฯมายาวนาน ล่าสุด ดอร์ทมุนด์ก็อยากได้ตัว เมสัน กรีนวู้ด มาเป็นส่วนหนึ่งในสัญญา ความเห็นส่วนตัวของแอดมินคิดว่า ถ้าดอร์ทมุนด์อยากได้ก็แถมให้ไปเถอะครับ ได้ซานโช่มาอีกคนก็เหมือนปีศาจแดงได้สามง่ามมาเป็นอาวุธใหม่อีกอัน
ส่วนคนอื่นๆ อย่าง เจมส์ แมดดิสัน เลสเตอร์คงไม่ปล่อยง่ายๆ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขาย ถึงแม้เจ้าตัวอยากจะย้ายก็ตาม เอนริโก้ คิเอซ่า อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับบอลอังกฤษ ซึ่งเป็นปัญหาของนักเตะอิตาเลี่ยนเป็นประจำอยู่แล้ว แมนฯยูฯคงไม่อยากเสี่ยง ส่วนตอร์เรสของบาเลนเซีย เอาเข้าจริงๆ ก็คงไม่โดดเด่นขนาดนั้น เผลอๆ อาจจะด้อยกว่าดาเนี่ยล เจมส์ ด้วยซ้ำไป
แต่ท้ายที่สุด บรูโน่ แฟร์นานเดส ได้ฝากข้อความไปถึงโซลชาว่า คนที่จะเข้ามาสวมเสื้อปีศาจแดงนั้น จะต้องเป็นคนที่กระหายในชัยชนะและกระหายแชมป์เหมือนกับตัวเขา และตัวเขาเองก็พร้อมที่จะไล่ล่าทุกแชมป์ให้กับทีม
แอดมินขอสรุปตามความเห็นส่วนตัวว่า แมนฯยูฯ จะกลับไปลุ้นแชมป์กับลิเวอร์พูลและแมนฯซิตี้ได้หากในช่วงซัมเมอร์ได้นักเตะอย่าง แฮรี่ เคน, จาดอน ซานโช่, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ และแบ็คซ้ายดีๆ อีกสักคน อาจรวมแจ็ค กรีลิช ด้วยก็ได้ Line-up ของทีมในฤดูกาลหน้าอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ครับ
ผู้รักษาประตู : ดาบิด เด เคอา
กองหลัง : อาร์รอน วาน-บิสซากา, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, ลุค ชอว์ (หรือแบ็คซ้ายคนใหม่)
กองกลาง : สก็อต แม็คโทมิเนย์, ปอล ป็อกบา, บรูโน่ แฟร์นานเดส
กองหน้า : แฮรี่ เคน, มาคัส แรชฟอร์ด, จาดอน ซานโช่
โดยมีตัวสำรองอย่าง ดีน เฮนเดอร์สัน, เอริค ไบยี่, วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ, แบรนดอน วิลเลี่ยม, เฟร็ด, เนมานย่า มาติช, อองโตนี่ มาร์กซิยาล, แจ็ก กรีลิช, ดาเนี่ยล เจมส์ และคนอื่นๆ
เห็นแบบนี้ก็อยากให้ถึงฤดูกาลหน้าเร็วๆ แล้วล่ะครับ !!!
แฟนๆ ปีศาจแดง มีความคิดเห็นอย่างไร คอมเม้นต์มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ
#บรูโน่แฟร์นานเดส #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #ปีศาจแดง
Cr.ภาพ: manutd.com
นอกจากทางแอพพลิเคชั่น Blockdit แล้ว สามารถติดตามเพจ บ่น บ้า ภาษาบอล ได้จาก Facebook Fanpage อีกหนึ่งช่องทาง https://www.facebook.com/bonbapasaball/
และหากท่านใดเห็นว่าบทความยาวเกินไป ไม่มีเวลาอ่านสามารถติดตามฟังได้ที่ “บ่น บ้า ภาษาบอล podcast” ทางแอพพลิเคชั่น Anchor , Spotify , Apple Podcasts , Google Podcasts , Breaker , Pocket Casts , Overcast และ RadioPublic ขอบคุณครับ
โฆษณา