27 เม.ย. 2020 เวลา 13:18
[ แผลที่อยู่ในใจป๋า ] การพ่ายแพ้แบบหมดทางสู้ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ตลอดระยะเวลาการคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คงไม่มีใครปฏิเสธ ว่านี่คือ กุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกลูกหนังคนหนึ่งของวงการ
13 แชมป์พรีเมียร์ลีก
2 แชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก
1 แชมป์สโมสรโลก
5 แชมป์เอฟเอคัพ
4 แชมป์ลีกคัพ
ด้วยจำนวนโทรฟี่ การันตีความยิ่งใหญ่ ในการเป็นผู้จัดการทีม ของทีมปีศาจแดง ของท่านเซอร์ ได้เป็นอย่างดี
4
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะในศึกพรีเมียร์ลีก ที่คว้าแชมป์ไปถึง 13 ครั้ง แต่ในศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก แม้ว่าจะคว้าแชมป์มาได้ 2 ครั้ง แต่ด้วยระยะเวลาในการคุมทีมปีศาจแดงถึง 27 ปี ทำให้ถูกตั้งคำถามว่าการได้ชูถ้วยใบโตแค่ 2 ครั้ง น้อยไปหรือไม่
ไม่ใช่แค่คนอื่นทั่วไปที่มองว่าการได้ แชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก แค่ 2 ครั้ง น้อยไปเมื่อเทียบกับระยะเวลาการคุมทีม ตัว ท่านเซอร์ เองก็มองว่าตัวเองได้แชมป์ถ้วยใบนี้น้อยไปจริงๆ โดยตอนแรกที่ตั้งเป้าไว้ก่อนจะวางมือ คือ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้ 3-4 ครั้ง เป็นอย่างต่ำ
ในช่วงปี 2007-2011 ทีมปีศาจแดง ภายใต้การคุมทีมของ เซอร์อเล็กซ์ สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบชิงในรายการนี้ ถึง 3 ครั้ง จาก 4 ครั้ง แต่ได้แชมป์มาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าหากทีมคว้าแชมป์ได้ทุกครั้งที่เข้าชิง ตอนนี้พวกเขาจะได้แชมป์ในรายการนี้เพิ่มเป็น 5 ครั้ง และยอดรวมของท่านเซอร์ที่ได้แชมป์ใบนี้จะเพิ่มเป็น 4 ครั้ง คงเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กสำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก่อนที่จะวางมือไป
1
แต่ก็นั่นแหละครับ อะไรๆมันก็คงจะดีกว่านี้ ถ้าคู่แข่งของทีมปีศาจแดงในนัดชิงทั้ง 2 นัด ไม่ใช่ บาร์เซโลน่า ของ เป็ป กวาร์ดิโอลา
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีโอกาสได้คุมทีมเจอกับ เป็ป กวาร์ดิโอลา ที่ก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือของทีมเจ้าบุญทุ่ม ในช่วงปี 2008-2012 โดยเจอกันไปทั้งหมด 2 นัด และก็เป็น กวาร์ดิโอลา ที่เอาชน่ะไปได้ทั้ง 2 นัด และ 2 นัดที่ว่าคือ นัดชิง ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก (เจ็บสุดๆ)
ทีมปีศาจแดง ชุดที่เข้าชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้ 3 ครั้ง จาก 4 ครั้ง ในช่วง ฤดูกาล 2007-2011 เป็นชุดที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดการทำงานของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในถิ่นโอลด์แทร็ฟฟอร์ด
แต่กว่าจะได้ทีมชุดที่สุกงอมพร้อมล่าทุกแชมป์ เฟอร์กี้ ใช้เวลาสร้างทีมชุดนี้อยู่นานหลายปี กับราคาที่ต้องจ่ายกับการไม่ได้แชมป์ลีกถึง สามฤดูกาลติดต่อกัน
1
อาร์เซน่อล (2003-04)
เชลซี (2004-05)
เชลซี (2005-06)
1
ในช่วงต้นยุค 2000 เฟอร์กี้ ต้องเริ่มสร้างทีมใหม่หลังจากทีมต้องเสียกำลังหลักของทีมไปหลายรายจากปัญหาส่วนตัวของนักเตะไล่ตั้งแต่
ยาป สตัม (2001)
เดวิด เบ็คแฮม (2003)
รุด ฟาน นิสเตลรอย (2005)
รอยคีน (2005)
และต้องวางรากฐานให้กับทีมใหม่เริ่มจากการดึงนักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์สูงเข้ามาสู่ทีม
2
2002
ริโอ เฟอร์ดินานด์
กองหลังดีกรีทีมชาติอังกฤษถูกซื้อเข้ามาแทนที่การจากไปของ ยาป สตัม เป็นสถิติกองหลังที่ค่าตัวแพงที่สุดในตอนนั้น
2003
คริสเตียโน โรนัลโด้ ถูกดึงเข้ามาเพื่อสืบทอดตำนานหมายเลข 7 คนใหม่
2004
เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ โชว์ฟอร์มกับเอฟเวอร์ตัน ได้อย่างไฉไล ก่อนที่จะเป็นปีศาจแดงที่ได้ลายเซ็นกองหน้าร่างอวบคนนี้มา
2005
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์
ถูกดึงเข้ามาประจำการเป็นมือหนึ่งให้กับทีม ในตอนที่อายุปาไป 35 ขวบแล้ว แม้จะเจอกันช้าไป แต่ประสบการณ์และฝีมือ ดีกว่าผู้รักษาประตูทุกคนที่ทีมมีอยู่ตอนนั้น
ปาร์ค จี ซุง
ถูกดึงตัวเข้ามาสู่ทีม หลังทำผลงานได้ดีกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น โดยเฉพาะเกมที่เจอกับ เอซี มิลาน ในรอบรองยูซีแอลทั้งสองนัด
เนมานย่า วิดิช
ย้ายเข้ามาช่วงตลาดหน้าหนาว ยังเป็นเพียงนักเตะโนเนมในตอนนั้น
ปาทริซ เอวร่า
เข้ามาพร้อมกับ วิดิช เพื่อมาเป็นตัวแทน กาเบรียล ไฮน์เซ่ ที่เริ่มฟอร์มตกจากอาการบาดเจ็บรบกวน
2006
ไม่เคิล คาร์ริค
หนึ่งในจิ๊กซอว์ คนสำคัญ ที่ถูกดึงตัวเข้ามาทำหน้าที่ในแดนกลางแทนการจากไปของ รอย คีน
2007
โอเว่น ฮาร์กรีฟส์
แม้จะมีอาการบาดเจ็บตามรบกวน แต่ด้วยประสบการณ์ของเจ้าตัว ทำให้เฟอร์กี้ต้องคว้าตัวมาร่วมทีมทันทีเมื่อมีโอกาสหลังจากตามจีบจาก บาเยิร์น มิวนิค อยู่หลายปี
คาร์ลอส เตเบซ
เข้ามาเติมเต็มเกมรุกให้กับทีมด้วยสัญญายืมตัวสองปี จากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด
นานี่
แอนเดอร์สัน
สองดาวรุ่งฝีเท้าจัดจ้่านจากลีก โปรตุเกส ถูกซื้อเข้ามาเพื่อเป็นอนาคตให้กับทีม
1
2010
เบเบ้
ถ้า เมสซี่ คือ พรสวรรค์
โรนัลโด้ คือ พรแสวง
เบเบ้ ก็คงเป็น พรศักดิ์ ส่องแสง
(ตัวนี้ไม่เกี่ยวยกมาเฉยๆ 😂)
1
เมื่อรวมกับบรรดานักเตะลูกหม้อของทีมอย่าง
ไรอัน กิ๊กส์
พอล สโคลส์
แกรี่ เนวิลล์
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์
เวส บราวน์
จอห์น โอเชีย
เมื่อได้วัตถุดิบครบ บวกกับการ ปรุงแต่งของเชฟกระทะเหล็กอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังจากห่างหายจากแชมป์ลีกไปถึง 3 ฤดูกาล เป็นการพลาดแชมป์ลีกนานที่สุดของหลังจากเปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก ของเฟอร์กี้ด้วย
ปีศาจแดงเดินหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 3 ฤดูกาลติดต่อกันในฤดูกาล
2006-07
2007-08
2008-09
และในฤดูกาล 2007-08 นี่เอง ที่ทีม ปีศาจแดงก้าวไปเป็นแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้ ด้วย และหนึ่งในทีมที่ พวกเขาผ่านมาได้ในรอบรองชนะเลิศ ก็คือ บาร์เซโลน่า เพียงแต่ตอนนั้นเป็น แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ที่คุมทีม และเป็นช่วงถ่ายเลือดใหม่ของบาร์ซ่า เช่นกัน นักเตะอย่าง เมสซี่ และ อิเนียสต้า ยังเป็นเพียงดาวรุ่งที่เพิ่งขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ใหม่ๆ
2
หลังจากคว้าแชมป์ได้ ในฤดูกาลต่อมา ทีมปีศาจแดง ของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็มีสิทธิ์ลุ้นเป็นสโมสรแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ถ้วยใบนี้ได้ ตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ชื่อ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากพวกเขาทะลุเข้ามาถึงรอบชิงอีกครั้ง
และคู่ต่อสู้ในนัดชิงก็ไม่ใช่ใครที่ใหน ทีมที่พวกเขาเคยเอาชน่ะและผ่านเข้าไปเป็นแชมป์ได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว นั่นคือทีมเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า นั่นเอง
เพียงแต่ในการเจอกันครั้งนี้ บาร์เซโลน่า เปลี่ยนกุนซือใหม่เป็น เป็ป กวาร์ดิโอลา กุนซือหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งเข้ามาทำทีมเป็นฤดูกาลแรก
1
เป็ป ที่ทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับทีมบาร์เซโลน่าบี ถูกแต่งตั้งให้ขึ้นมาทำหน้าที่แทนกุนซือคนเก่าของทีมอย่าง แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ในฤดูกาล 2008-09
1
บาร์ซ่า ภายใต้การทำงานของ ไรจ์การ์ด ก็จัดว่าเป็นทีมที่โหดสุดๆทีมหนึ่งเลยน่ะครับ โดยคว้าแชมป์ลาลีก้ามาได้ 2 ครั้ง และ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก อีก 1 ครั้ง ด้วยสไตล์การทำทีมโททัลฟุตบอล ต่อบอลทำชิ่งขึ้นเกมได้น่าตื่นเต้นเร้าใจคนดู ด้วยสามประสานในแนวรุกอย่าง โรนัลดินโญ่ เอโต้ และ ชูลี่ โดยเฉพาะ โรนัลดินโญ่ ที่เป็นช่วงที่พีกที่สุดของเจ้าตัวด้วย
1
แต่หลังจากนั้น ทีมก็ค่อยๆฟอร์มดร้อปลงเรื่อยๆ ก่อนที่สโมสรจะปลด แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และแต่งตั้ง เป็ป กวาร์ดิโอลา ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
เป็ป เข้ามาทำให้บาร์ซ่ากลายเป็นทีมที่เพอร์เฟคอีกครั้ง ด้วยสไตล์การเล่นแบบ "ติกิตากะ" และแก้ไขข้อเสียของทีมให้เป็นทีมที่แย่งเอาบอลมาครอบครองได้เร็ว เมื่อทีมเสียการครองบอล
สิ่งที่ เป็ป ทำอีกอย่างคือการดัน เมสซี่ ขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมแทนที่ โรนัลดินโญ่ พร้อมกับบรรดานักเตะจาก ลามาเซีย อย่าง ชาบี เอร์นานเดส, อันเดรส อิเนียสตา,เซอร์จิโอ บุสเก็ตส์ และเคราร์ด ปิเก้ ที่ดึงตัวกลับมาจากแมนฯยูไนเต็ด
เพียงแค่ฤดูกาลแรกกับการทำงานในทีมชุดใหญ่ของบาร์ซ่า เป็ป ก็ทำทีมได้อย่างไร้เทียมทาน พาทีมคว้าแชมป์ลาลีก้าได้ในทันที พ่วงด้วยฟุตบอลถ้วยในประเทศ ก่อนที่จะพาทีมเข้าชิงไปเจอกับ ทีมปีศาจแดง ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
27 พฤษภาคม 2009
นัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
โอลิมปิก สเตเดียม (โรม, อิตาลี)
บาร์เซโลน่า vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หมายมั่นปั้นมือ ว่าจะเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ในรายการนี้ให้ได้หลังจากพาทีมเข้าชิงสองปีติดต่อกัน
ในขณะที่ เป็ป กวาร์ดิโอลา หากสามารถพาทีมชน่ะได้ จะเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ถ้วยแรก ในการคุมทีมตั้งแต่ปีแรก
เริ่มเกมแม้ว่าทีม ปีศาจแดง จะทำได้ดีในช่วง 10 นาทีแรก แต่หลังจากที่เสียประตูแรก โดยการทำประตูของ ซามูเอล เอโต้ เกมทั้งหมดก็เป็นของลูกทีมของ เป็ป และมาได้ประตูปิดฝาโลงในครึ่งหลัง จาก เลโอเนล เมสซี่ และจบเกมไปด้วยสกอร์นี้
เป็นเกมที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แพ้ให้กับคู่แข่ง ชนิดที่เรียกว่า "สู้ไม่ได้เลย" เพราะนอกจากช่วง 10 นาทีแรกที่ลูกทีมมีจังหว่ะ หวือหวาอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้น ทีมแทบจะหาบอลไม่เจอเลย บอลถูกครอบครองโดยผู้เล่น บาร์ซ่า แทบจะฝ่ายเดียวจนจบเกม การที่ต้องแพ้แบบที่สู้แบบที่เราไม่สามารถสู้ได้ หลายคนคงเข้าใจความรู้สึกว่ามันเจ็บใจขนาดใหน และนั่นคือแผลแรกที่ เป็ป ฝากไว้ในใจ เฟอร์กี้
1
28 พฤษภาคม 2011
นัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
สนามเวมบลีย์ (อังกฤษ)
บาร์เซโลน่า vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
3
สองฤดูกาลถัดมา ทั้งสองทีมโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ ในอังกฤษ
3
ในครั้งนี้ ทีมปีศาจแดง ของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ฤดูกาลนี้ไม่มี คริสเตียโน โรนัลโด้ แล้ว หลังจากปล่อยตัวไปให้ เรอัล มาดริด ตั้งแต่จบนัดชิงครั้งที่แล้ว แต่ด้วยระบบ และนักเตะที่ยังแข็งแกร่งอยู่ ยังสามารถทะลุเข้ามาถึงนัดชิงได้ และในครั้งนี้ที่เหมือนได้เล่นในบ้านตัวเอง เฟอร์กี้ ก็ตั้งใจที่ล้างแค้น เป็ป ให้ได้ด้วยหลังจากที่แพ้ไปแบบหมดสภาพในการเจอกันครั้งก่อน
ในขณะที่ เป็ป กวาร์ดิโอลา แม้จะปรับทัพเสริมนักเตะไปหลายตำแหน่ง จากนัดชิงครั้งที่แล้ว แต่ผู้เล่นที่เข้ามาแต่ละคนโหดๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ดาบิด บีย่า กองหน้าชาวสเปนที่, ดานี่ อัลเวส แบ็คจอมบุก, รวมถึงดัน เปโดร ที่ถูกดันขึ้นมาจากลามาเซีย เรียกได้ว่า ประสิทธิภาพ ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
ในการเจอกันครั้งนี้ ก็เป็นลูกทีมของ เป็ป ที่ครองบอลบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียว เหมือนเช่นเคย และเป็นฝ่ายขึ้นนำได้ก่อนจาก เปโดร โรดริเกซ แต่ก่อนจะหมดครึ่งแรกลูกทีมของ เฟอร์กี้ ทำได้ดีขึ้น และมาได้ประตูตีเสมอ จาก เวย์น รูนี่ย์ จบครึ่งแรกไปด้วยการสกอร์นี้
พอจบครึ่งแรกเหมือนว่าปีศาจแดงของ เฟอร์กี้ จะสู้กับบาร์ซ่าของ เป็ป ได้น่ะครับ แต่เปล่าเลย พอกลับลงมาเล่นกันต่อครึ่งหลังไม่ทันรัยก็โดนทีเด็ด ของ เลโอเนล เมสซี่ อีกแล้ว ที่ซัดให้ทีมขึ้นนำเป็น 2-1 หลังจากนั้นก็แทบเหมือนการฉายหนังเรื่องเดิมซ้ำ นักเตะแมนฯยูไนเต็ด หาบอลแทบไม่เจออีกครั้ง และมาโดนลูกยิงผีจับยัดของ ดาบิด บีย่า ทุกอย่างก็จบทันที
เป็นอีกครั้งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และลูกทีม ต้องอกหักในนัดชิงถ้วยใบนี้ และถูก เป็ป กวาร์ดิโอลา ซ้ำไปที่แผลเดิมที่เคยฝากเอาไว้
ตลอด 27 ปี ในการคุมทีม ปีศาจแดง ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผ่านการเจอคู่แข่งมามากมาย
ถ้าเป็นในพรีเมียร์ลีก ก็เป็น อาร์แซน เวนเกอร์ ที่เข้ามาเขย่าบัลลังก์ แย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีกไปครองได้ ถึง 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งที่เสียแชมป์ให้ อาร์เซน่อล ของ เวนเกอร์ ทีมปีศาจแดงของ เฟอร์กี้ื ก็เอากลับคืนมาได้ทุกครั้ง
1
หรือจะเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ หนุ่มไฟแรงของเชลซี ในตอนนั้น ที่เข้ามาท้าทาย ปีศาจแดง ของ เฟอร์กี้ ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ไปครองสองสมัยติดต่อกัน ในช่วงฤดูกาล 2004-2006
แม้สถิติโดยรวม มูรินโญ่ จะข่ม เฟอร์กี้ พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นผูกขาดเอาชน่ะได้ฝ่ายเดียว เฟอร์กี้ ก็ยังเคยแก้ลำ มูรินโญ่ ได้ในช่วงที่ กุนซือรายนี้คุมอินเตอร์ มิลาน
1
หรือจะเป็น คาร์โล อันเชลอตติ ที่ทำให้ เอซี มิลาน เป็นทีมที่ไร้เทียมทานอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ยังมีนัดที่ เฟอร์กี้ แก้เกมเอาชน่ะได้บ้างเช่นกัน
แต่กับ เป็ป กวาร์ดิโอลา คงต้องบอกว่า ป๋า สู้ไม่ได้เลยจริงๆ จากรูปเกมที่เจอกันทั้งสองนัด จะเรียกได้ว่าเป็นบอลแพ้ทางกันก็คงไม่ผิดนัก ภาพการนั่งกำมือตัวสั่นของ ป๋า ยังติดตาแฟนผีทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
ตลอดเส้นทางในการคุมทีมมา ไม่เคยที่จะแพ้ใครได้ราบคาบเท่านี้มาก่อน ชื่อของ "เป็ป กวาร์ดิโอลา คงจะติดเป็นแผลที่อยู่ในใจของป๋าไปตลอดกาล
โฆษณา