28 เม.ย. 2020 เวลา 10:39 • ธุรกิจ
Digital Disruption+Start up=อารยธรรมที่รุ่งเรือง+การทำลายล้างที่รุ่งโรจน์
ทุกวันนี้ เราเห็น Start up หน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการขายสินค้าและบริการที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมหาสาร โดยมีDigital Disruption เป็นตัวเร่งให้ทุกภาคส่วนของธุรกิจเร่งกันแข่งขันเพื่อชิงเอา Market shareและ Profit ให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด
แต่หากเราลองสังเกตุดีๆ เรากลับพบว่า Start up ยักษ์ใหญ่ต่างๆหลายบริษัท ต่างขาดทุนทั้งสิ้น และยังไม่มีท่าทีว่าจะทำกำไรเลย
บริษัท Grab
ปี 2559 รายได้ 104 ล้านบาท ขาดทุน 516 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้ 508 ล้านบาท ขาดทุน 985 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 1,159 ล้านบาท ขาดทุน 711 ล้านบาท
บริษัท Sea Limited(เจ้าของ Shopee และ Garena)
ปี 2017 รายได้ 13,000 ล้านบาท ขาดทุน 17,600 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 26,000 ล้านบาท(เติบโต 100%) ขาดทุน 30,000 ล้านบาท
(ปี 2018 ผู้เล่นรายไตรมาส 216.2 ล้านบัญชีในGarena)
(ปี 2018 จำนวน 600 ล้านคำสั่งซื้อ(ในShopee)
ปี 2019 รายได้ 68,000 ล้านบาท(เติบโต 161%) ขาดทุน 45,700 ล้านบาท
(ปี 2019 ผู้เล่นรายไตรมาส 354.7 ล้านบัญชี เติบโต 64%ในGarena)
ปี 2019 จำนวน 1,200 ล้านคำสั่งซื้อ(ในShopee)
ผลประกอบการ 4 ไตรมาสล่าสุด ของ บริษัท Uber
Q3 ปี 2018 รายได้ 91,000 ล้านบาท ขาดทุน 30,000 ล้านบาท
(Q3 ปี 2018 อยู่ที่ 1,348 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่า 3.9 แสนล้านบาท)
Q4 ปี 2018 รายได้ 92,000 ล้านบาท ขาดทุน 27,000 ล้านบาท
(Q4 ปี 2018 อยู่ที่ 1,493 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่า 4.4 แสนล้านบาท)
Q1 ปี 2019 รายได้ 96,000 ล้านบาท ขาดทุน 31,000 ล้านบาท
(Q1 ปี 2019 อยู่ที่ 1,550 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่า 4.5 แสนล้านบาท)
Q2 ปี 2019 รายได้ 98,000 ล้านบาท ขาดทุน 160,000 ล้านบาท
(Q2 ปี 2019 อยู่ที่ 1,677 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่า 4.9 แสนล้านบาท)
บริษัท We Work (บริษัทStart up ด้านอสังหาริมทรัพย์ของอเมริกา)
ปี 2016 รายได้ 13,200 ล้านบาท ขาดทุน 13,000 ล้านบาท
ปี 2017 รายได้ 26,800 ล้านบาท ขาดทุน 26,900 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 54,400 ล้านบาท ขาดทุน 48,300 ล้านบาท
Lyft (บริษัท Start up ด้านขนส่งของอเมริกา)
มีรายได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท ขาดทุน 15,000 ล้านบาท
บริษัท Slack Technologies
ไตรมาสที่ 2 ปี 2018
รายได้ 2,797 ล้านบาท ขาดทุน 973 ล้านบาท
ไตรมาสที่ 2 ปี 2019
รายได้ 4,409 ล้านบาท ขาดทุน 10,948 ล้านบาท
และนี่ก็คือผลประกอบการของE-commerce ของประเทศไทยครับ(ปี2019)
ขอบคุณรูปภาพจากเพจลงทุนแมนด้วยครับ
แต่บริษัทที่ได้กล่าวไปแล้วเบื้องต้นนั้น ต่างล้วนมี User ที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดทั้งสิ้น ทำให้รายได้มีการก้าวกระโดดตามไปด้วยเช่นกัน แต่บริษัทเหล่านี้สามารถยอมขาดทุนหนักๆได้ เนื่องจากมี Capital Venture(ผู้ร่วมทุนหรือเรียกย่อๆว่าVC)คอยให้เงินทุน Support ตลอดเวลา ดังรูป
ขอบคุณรูปภาพจากเพจ Market Think ด้วยครับ
แล้วทำไม VC จึงต้องทุ่มเงินมหาสารเพื่อให้Start up เอาเงินไปผลาญเล่นด้วย? เพราะเนื่องจากในยุค Digital Disruption ทำให้บริษัท Start up จำต้องลงทุนในส่วนของ
1. การวิจจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างหนัก
2. การสเกลบริษัทอย่างหนัก เช่น การขยายพื้นที่บริการ การขยายสาขาและการขยาย Franchise
3. การทุ่มงบไปกับการทำ Marketing อย่างหนักเพื่อสร้าง New User และแย่ง Marketshare จากบริษัทเจ้าเก่าให้มากและเร็วที่สุด
แน่นอนว่าหากบริษัท Start up ใดที่ไม่มี Partner ที่คอย Support เพื่อที่จะให้ใช้กลยุทธ 3 ข้อข้างต้นแล้วล่ะก็ บริษัทนั้นก็จะต้องพบกับจุดจบแน่นอน เพราะยุคDigital Disruption มันเป็นเรื่องของ "ความเร็ว"
แต่ถ้าหากว่าบริษัท Start up ทุกรายมี Partner ยักษ์ใหญ่หมด แล้วสงครามนี้เมื่อไหร่มันจะชนะ เพราะต่างคนต่างก็มี"พี่ใหญ่"คอยอยู่เบื้องหลัง แล้วเหตุการณ์นี้ จะมีระยะเวลาที่ยาวนานจนกลายเป็น "สงครามครูเสดยุคDigital" หรือไม่?
จริงๆแล้ว Start up ต่งก็มีวัฏจักรของตัวมันเองครับเพราะในทุกๆ 100 บริษัท Startup จะมีเพียง 50 บริษัท ที่จะอยู่รอดได้ถึงปีที่ 5 และจะมีเพียง 30 บริษัทที่จะอยู่รอดได้ถึง 10 ปี และ30บริษัทนี่แหละที่จะกลายมาเป็น "พระเจ้าจักรพรรดิยุคDigita" ที่จะไม่มีใครสามารถต่อกรได้อีก หากไม่เป็นจักรพรรดิด้วยกัน โอกาสที่จะล้มนั้นมียากมากๆ อาจไม่ถึง 1% เลยด้วยซ้ำ
ซึ่งวัฏจักรของ Start up นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Digital Disruption ที่นับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้นมาจากการแข่งขัน หากว่าคุณยังไม่เห็นภาพ ผมมีภาพง่ายๆที่จะทำให้คุณได้เห็นถึง Vicious circle of destruction แล้วคุณจะได้เห็นภาพรวมมากขึ้นว่า วงจรนี้มันเป็นอย่างไร ดังรูป
Vicious circle of destruction
จากรูปข้างต้น จะทำให้คุณได้เห็นการเคลื่อนที่แต่ละWave(หมายเลขหน้าข้อความโดยเริ่มดูจากหมายเลข1)ในธุรกิจที่อยู่ในยุคDigital Disruptionโดยผมจะขออธิบายตัวพลังแห่งการทำลายล้างแบบทวีคูณก่อนนะครับ
พลังแห่งการทำลายล้างแบบทวีคูณ หมายถึง พลังที่เกิดจากการที่ธุรกิจคุณสามารถ Disrupt ธุรกิจของผู้อื่นให้ล้มพินาศลงได้ตามจำนวนตัวคูณ โดย
Wave 1 ที่มีการ ×2 ×3 จนถึง x100 ไปเรื่อยๆเพราะคุณเริ่มมีทรัพยากรพวกเงินและคนมากขึ้น ทำให้คุณได้เปรียบคู่แข่งตามจำนวนที่ x
Wave 2 ที่มีการ ×2 ×3 จนถึง x100คุณจะสามารถยึด Marketshare ได้ง่ายขึ้น เพราะคุณคุณเริ่มมีทรัพยากรพวกเงิน/คน/Partner/know how ในการทำธุรกิจมากขึ้น ทำห้้คุณได้เปรียบคู่แข่งตามจำนวนที่ x
Wave 3 ที่มีการ ×2 ×3 จนถึง x100เมื่อมี Marketshare ที่ใหญ่ขึ้น ก็จะทำให้เริ่มมีคู่แข่งเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมองเห็นช่องทางในการทำเงินในอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้คุณเริ่มมีคนเข้ามาแย่ง"รุมกินโต๊ะ"ได้ไวมากขึ้นตามจำนวนที่ x
Wave 4 ที่มีการ ×2 ×3 จนถึง x100 คุณจะถูก Disrupt รุนแรงมากขึ้น เพราะนักลงทุนยิ่งเห็นคุณเติบโตตามอัตราการ × ก็จะยิ่งหวังในตัวคุณแบบทวีคูณด้วย และหากคุณเลือกทางเลือกที่1 คุณก็จะเจ็บหนักเพราะหนีสินมหาสารที่คุณได้สร้างตามจำนวณ×ที่ผ่านมาล้มทับคุณ แต่หากคุณเลือกทางเลือกที่2 บริษัทยักษ์ใหญ่ก็จะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำแบบ infinity ให้กับระบบเศรษฐกิจเพราะเขาได้บริษัทของคุณและKnow how ในการทำธุรกิจมาจากคุณ
Wave 5 หากคุณมาถึงจุดนี้และทำมันได้สำเร็จ คุณจะมีพลัง × ที่จะสามารถฆ่าธุรกิจทุกอย่างที่ขวางหน้าคุณได้ตามจำนวณ × (แต่หากคุณเจอธุรกิจคู่แข่งที่ตัว×มากกว่าในอุตสาหกรรมของคุณ คุณก็แย่นะครับ)
เป็นVicious king of destruction หมายถึงการที่คุณสามารถสร้างธุรกิจจน
กลายเป็นมหาอาณาจักรที่ยากที่จะมีคนมา Disrupt คุณได้อีกแล้ว เช่น Google, Amazon, Apple, Microsoft, Facebook
สรุปก็คือ
1.ธุรกิจ Start up ระดับ Unicon ทั้งหลาย ได้แก่ Grab, Uber, We work, Google, Amazon, Apple, Microsoft, Facebook, Alibaba ๆลๆ ล้วนแล้วแต่ผ่านใน Vicious circle of destruction นี้มาแล้วจนสามารถ x1,000,000 หรือ Infinity ได้แล้วนั่นเอง ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้ถึงอาณาจักรโรมันที่สามารถรุ่งเรืองได้เป็นร้อยๆปีได้ (หากไม่มีWave 4 แบบสุดโหดจริงๆ)
2.ธุรกิจ Start up ทั้งหลายต่างก็ต้องการ Vicious king of destruction กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ จงหมุนวงจรนี้ให้เร็วที่สุด
3.หากว่าคุณหมุนวงจรนี้ไม่เร็วพอ ก็จะมีคนที่หมุนวงจรและมีพลังแห่งการทำลายล้างแบบทวีคูณที่มากกว่าทำร้ายคุณ
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของยุคDigital Disruption ก็คือ มันกำลังทำให้ความเหลื่อมล้ำแบบทวีคูณรุนแรงมากขึ้นในด้านความมั่งคั่งและการปกครองของประเทศที่เป็นระบอบทุนนิยมโดยนิยมทุน....
โฆษณา