1 พ.ค. 2020 เวลา 14:28 • กีฬา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1991 ในเกมนัดชิงชนะเลิศของศึกบาสเกตบอล NBA เกมที่ 5 ระหว่างทีมชิคาโก้ บูลส์ล ซึ่งนำโดยไมเคิล จอร์แดน กับทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์สซึ่งมีเมจิก จอห์นสันเป็นตัวชูโรง
เกมนี้ ทั้งสองทีมต่างสู้กันอย่างสูสีจนมาเสมอกันที่ 80-80 คะแนน และเหลือเวลาอีกเพียงควอเตอร์เดียวก็จะหมดเวลาการแข่งขัน
ในระหว่างพักก่อนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเกม.. ฟิล แจ็คสัน โค้ชของทีมชิคาโก้ บูลส์ล ได้เรียกผู้เล่นมาคุยเพื่อวางแผนจะปิดเกมนี้ให้ได้
เพราะหากชิคาโก้ บูลส์ลสามารถเอาชนะในเกมนี้ได้ จะเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
แต่แผนของฟิลฯ ในครั้งนี้แตกต่างกับที่ผ่านมา เพราะโดยปกติทุกทีมใน NBA ต่างรู้กันดีว่าในช่วงท้ายเกมจะต้องเป็นไมเคิลฯ เท่านั้นที่จะเป็นคนเล่นปิดเกม
ไมเคิลฯ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เล่นที่มีจิตวิญญาณของเพชฌฆาต มีความเยือกเย็นมากพอที่จะแบกรับความกดดันยิงลูกท้ายเกมและนำทีมพลิกกลับมาชนะได้
1
แต่ในครั้งนี้ฟิลฯ กลับเลือกให้พูดเล่นคนอื่นเป็นคนเล่นในช่วงเวลาสำคัญ และหลังจากปรึกษากันแล้ว ภาระนี้ตกแก่ผู้เล่นสำรองของทีมที่มีชื่อว่า "จอห์น แพ็คสัน"
Cr. facebook.com/chicagobulls/
จอห์น แพ็คสัน เป็นผู้เล่นในตำแหน่งการ์ดจ่ายสำรอง ซึ่งมักจะมีบทบาทลงมาเล่นในช่วงที่ทีมต้องการพักผู้เล่นตัวจริง หรือในช่วงท้ายเกมในเวลาที่ทีมนำคู่แข่งห่างแล้ว
แต่ในครั้งนี้เขากลับได้รับบทบาทสำคัญเพื่อยิงลูกชี้เป็นชี้ตายให้กับทีม และถ้าหากเขาทำได้ นั่นหมายถึง "แชมป์เปี้ยน" แต่ถ้าเขาพลาดล่ะ...
แม้แพ็คสันฯ จะเป็นผู้เล่นที่มีสถิติการยิงค่อนข้างดี แต่นี่เป็นการเล่นในช่วงท้ายเกมนัดชิงชนะเลิศ และเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในช่วงเวลาแบบนี้มาก่อน
1
แล้วทำไมไมเคิลฯ ถึงได้ไว้วางใจให้ผู้เล่นสำรองเป็นคนเล่นในช่วงสำคัญแทนตนเอง เรื่องนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับชายที่ชื่อ "ฟิล แจ็คสัน"
Cr. nba.com
ก่อนที่ฟิล แจ็คสัน จะเข้ามาคุมทีมในปี 1989 ไมเคิลฯ ถูกยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่เก่งกาจในการทำคะแนน และมีลีลาการเล่นที่สวยงาม จนสามารถคว้ารางวัลผู้เล่นทำคะแนนสูงสุดของลีกและแชมป์สแลมดั้งได้หลายสมัย
แต่ถ้าพูดถึงความเป็นแชมป์เปี้ยนแล้ว ไมเคิลฯ ไม่เคยถูกยอมรับในจุดนี้ ต่างจากแลร์รี่ เบิร์ด และเมจิก จอห์นสัน ซึ่งเป็นซุปเปอร์สตาร์ในขณะนั้น ทั้งคู่ต่างได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นระดับตำนานและสามารถพาทีมไปสู่ตำแหน่งแชมป์เปี้ยนได้
Cr. sportsnet.ca
ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นจุดด่างพร้อยของไมเคิลฯ ในขณะนั้น
ไมเคิลฯ ถูกมองว่าเป็นผู้เล่นที่มักจะถือบอลไว้กับตัวเองเพื่อทำคะแนน ซึ่งแรก ๆ ด้วยสไตล์การเล่นแบบนี้ก็ยังพาทีมชนะได้
แต่เมื่อทีมอื่น ๆ เริ่มจับทางได้ สไตล์การเล่นแบบเดิม ๆ ก็เริ่มที่จะไม่ได้ผล และทีมชิคาโก้ บูลส์ล ไม่เคยผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่หลังจากที่ ฟิล แจ็คสัน เข้ามาคุมทีมในปี 1989 ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป
ฟิลฯ ขอให้ไมเคิลฯ ไว้ใจเพื่อนร่วมทีมบ้าง ปล่อยให้คนอื่น ๆ ได้เล่น ได้โดดเด่นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวของเขาเอง และแบบนี้ทีมจะได้ประโยชน์สูงสุด
ซึ่งไมเคิลฯ ก็ยอมปรับเปลี่ยนตัวเองตามที่ฟิลฯ ได้ให้คำแนะนำ...
Cr. marca.com
กลับมาที่เกมนัดชิงชนะเลิศอีกครั้ง.. ไมเคิลฯ ยอมให้แพ็คสันฯ เป็นคนเล่นปิดเกม โดยไมเคิลฯ ยอมเป็นตัวล่อผู้เล่นฝั่งตรงข้ามให้เข้ามาประกบ เพื่อให้แพ็คสันฯ ได้มีพื้นที่ในการเล่น
และแพ็คสันฯ ก็ไม่ทำให้ไมเคิลฯ และคนอื่น ๆ ผิดหวัง เขายิงลงในช่วงท้ายเกมลูกแล้วลูกเล่า ไมเคิลฯ เลี้ยงบอลเพื่อดึงตัวประกบ แพ็คสันฯ ยิง
Cr. bullsconf.com
จนในที่สุด ทีมชิคาโก บูลส์ล ก็สามารถเอาชนะทีมลอสแอนเจลิสเลเกอส์ไปได้ด้วยคะแนน 108-101 คว้าแชมป์แรกให้กับสโมสรได้สำเร็จ
ส่วนไมเคิลฯ ได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในนัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกของอาชีพ และสามารถลบคำสบประมาทที่ว่าเขาไม่สามารถจะคว้าแชมป์ไปได้จนหมดสิ้น
Cr. marketwatch.com
และเรื่องราวหลังจากนี้ก็เป็นอย่างที่ทุกคนทั่วโลกได้รู้กัน ทีมชิคาโก้ บูลส์ล สามารถคว้าแชมป์ NBA ได้ถึง 6 สมัย และไมเคิล จอร์แดน ถูกยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลมาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะไมเคิลฯ ยอมลดอีโก้ของตัวเองลง ยอมฟังสิ่งที่ฟิล แจ็คสันแนะนำ และยอมไว้ใจเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ จึงสามารถข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเอง และกลายเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้...
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจ
"ไมเคิล จอร์แดน"
Cr. benchwarmers.ie
ยังมีช่องทางอื่น ๆ ให้ติดตามกัน 😉
- สำหรับเอาไว้อ่านบทความดีๆ Facebook.com/Nataratlaw
- สำหรับเอาไว้ดูรูปสวย ๆ กับอินโฟกราฟิก
- สำหรับสายย่อ เอาไว้รับข่าวหรือข้อกฎหมายแบบกระชับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา