3 พ.ค. 2020 เวลา 02:30 • กีฬา
[ #ปรัชญาของผู้ยิ่งใหญ่ ]
ฤดูกาล 1982/83 เป็นอีกช่วงเวลาที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตื่นเต้นอย่างมาก
เขาคุมอเบอร์ดีนทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศบอลถ้วยทั้งสองรายการ ไล่ตั้งแต่คัพ วินเนอร์ส คัพและสก๊อตติช คัพ
กระนั้นคู่ต่อกรในเกมชิงดำนับว่าแข็งแกร่งเหลือเกิน ในเกมยุโรปต้องเผชิญหน้ากับเรอัล มาดริด ส่วนถ้วยในประเทศหักกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส
ตามโปรแกรมต้องเล่นเกมยุโรปก่อน ทีมงานทั้งหมดต้องบินไปยังโกเตเบิร์กในสวีเดน โดยทัพอเบอร์ดีนเดินทางไปล่วงหน้า 2 วันด้วยกัน เพื่อสร้างความคุ้นเคยและไม่ฉุกละหุกเกินไปนัก
เพราะความที่นับถือ จ็อค สตีน ผู้จัดการทีมชาติสก๊อตแลนด์อย่างมาก เฟอร์กี้ จึงส่งเทียบเชิญให้ปรมาจารย์มาร่วมชมเกมด้วย อย่างน้อยก็เป็นขวัญกำลังใจให้ตัวเขาและผู้เล่นคนอื่น
ตอนนั้นยังหนุ่มแน่น ประสบการณ์ในฐานะผู้จัดการทีมยังไม่มากนัก แถมต้องมาดวลกับราชันชุดขาวหนึ่งในสโมสรแถวหน้าของยุโรปอีก ความประหม่าย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สตีน เห็นอาการของรุ่นน้องก็รู้ดี รีบไปตบบ่าปลอบใจว่าไม่ต้องเกร็ง ทำหน้าที่ไปตามปกติ อย่าวิตกจนเครียดเกินไป จะส่งผลกระทบกับลูกทีมด้วย
พร้อมทั้งแนะนำว่าให้ เฟอร์กี้ นำไวน์ชั้นเลิศสักขวดไปมอบให้ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน อดีตนักเตะชื่อก้องซึ่งเวลานั้นเป็นกุนซือของมาดริดด้วย
เฟอร์กี้ แปลกใจมากในตอนแรก แต่ไม่ได้ถามไถ่อะไรมากนัก ทำตามอย่างว่าง่าย ตอนเจอหน้ากับ ดิ สเตฟาโน่ ที่ห้องแถลงข่าว ก็เลยมอบไวน์ขวดดังกล่าวให้เป็นที่ระลึก
กุนซือราชันชุดขาวทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ไม่เคยเจอมาก่อนที่จู่ๆผู้จัดการทีมฝั่งตรงข้ามจะนำไวน์มามอบให้ แต่ก็ยอมรับไว้โดยดี
จริงๆแล้วนี่คือหลักจิตวิทยาของ สตีน โดยเฉพาะ
ตามหน้าเสื่อแล้ว อเบอร์ดีนเป็นรองอยู่ไม่น้อย การให้ เฟอร์กี้ ไปมอบไวน์ให้นั้น มันแสดงออกถึงความรู้สึกที่ว่ามาไกลมากถึงขั้นได้เข้าชิงก็ดีเหลือหลายแล้ว
อีกทั้งยังเป็นการซูฮกมาดริดอีกต่างหาก นั่นยิ่งทำให้อีกฝั่งกระหยิ่มยิ้มย่อง มองอเบอร์ดีนเป็นลูกไก่ในกำมือ จะเคี้ยวเมื่อไรก็ได้
ดิ สเตฟาโน อาจคิดว่าทีมรองบ่อนจากแดนน้ำเมาต้องมาตั้งรับแน่ เกรงบารมีศักดิ์ศรี จึงสั่งให้ลูกทีมเดินหน้าลุยเข้าใส่อย่างเต็มสูบ
แต่รูปเกมกลับตาลปัตรเมื่อ เฟอร์กี้ วางหมากให้ลูกทีมเดินหน้าแลกหมัดแบบไม่หวาดหวั่น เกมสู้กันอย่างดุเดือดเข้มข้น เสมอกัน 1-1 ในเวลาปกติ ก่อนยื้ออีก 30 นาทีและอเบอร์ดีนพลิกคว้าแชมป์
"ความยากคือเราไม่ได้มาสู้กับสโมสรจากสก๊อตแลนด์อย่างเดียว แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับทีมสปิริตอันแข็งแกร่งของพวกเขาด้วย"
ดิ สเตฟาโน่ กล่าวว่าไว้อย่างนี้หลังจบเกม เป็นเชิงให้เกียรติยอมรับว่าอเบอร์ดีนนั้นเจ๋งจริง
เฟอร์กี้ เนื้อเต้นมากๆที่สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ให้กับสโมสรแห่งนี้ นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมาในปี 1903 ไม่เคยประสบความสำเร็จจารึกชื่อในเวทียุโรปมาก่อนเลย
พอเดินทางกลับถึงบ้าน ยิ่งตื่นเต้นหนักกว่าเดิม ที่สนามบินคลาคล่ำด้วยชาวเมืองอเบอร์ดีนที่มาต้อนรับเนืองแน่น
จากนั้นวันแห่แชมป์ฉลองใจกลางเมือง บรรยากาศยิ่งน่าขนลุกกว่า เพราะแฟนอเบอร์ดีนกว่า 5 แสนคนทะลักมายินดีกับนักเตะตัวเอง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ฝูงชนปรบมือส่งเสียงลั่นไปหมด
สภาเมืองจัดงานใหญ่ โดยสั่งให้ทุกโรงเรียนในอเบอร์ดีนหยุดกรณีพิเศษ 1 วัน เฟอร์กี้ และนักเตะกลายเป็นบุคคลสำคัญ
เขาปล่อยให้นักเตะปาร์ตี้กันสั้นๆเท่านั้น ย้ำกับทุกคนว่าภารกิจยังไม่จบ ได้แชมป์รายการแรกมาแล้วอย่าพอใจแค่นี้เด็ดขาด ยังเหลือสก๊อตติช คัพอีกรายการ
แล้วเรนเจอร์สคู่ชิงนั้นแกร่งแค่ไหนใครก็ย่อมรู้ดี นี่คือมหาอำนาจของลีกวิสกี้ในช่วงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามตอนนั้นอเบอร์ดีนประกาศศักดาให้รู้แล้วว่าเจ๋งแค่ไหน จึงไม่จำเป็นต้องกลัวใคร
แม้รูปเกมจะดูเนือยๆ เพราะเรนเจอร์สขยาดกันหมด การ์ดยกบังแน่นไม่กล้าเปิดหน้าแลก ส่วนแข้งอเบอร์ดีนก็ดูเนือยไปมาก หลายคนดูล้าในช่วงท้ายซีซั่นและไม่ได้เล่นเกมแบบต่อเนื่อง
90 นาทีข่มกันไม่ลง กระทั่งต้องต่อเวลาพิเศษและอเบอร์ดีนที่เด็ดขาดกว่าเฉือนหวิว 1-0 หลังจบเกม เฟอร์กี้ ให้สัมภาษณ์ด้วยอาการหัวเสียอย่างไม่สมควร ตำหนินักเตะส่วนใหญ่ เพราะเอ่ยปากชื่นชม จิม เลห์ตัน กับ อเล็กซ์ แม็คลีช 2 แนวรับคนสำคัญเท่านั้น
1
ด้วยความที่วุฒิภาวะยังน้อย ทำให้ เฟอร์กี้ โพล่งออกไปอย่างไม่เหมาะสมนัก เขารู้ดีว่าลูกทีมร่วมสู้ทำงานกันอย่างหนักมาตลอด ไม่ควรหักหาญน้ำใจแบบนี้ อีกทั้งเป้าหมายที่วางไว้ก็ร่วมใจกันทำได้หมด แชมป์ถึงสองรายการมันฟ้องอยู่แล้ว
วันต่อมาเขาจึงเอ่ยปากขอโทษลูกทีมทุกคน ซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจดีไม่ได้ติดใจหาความอะไรนัก เพราะนี่คือบุคลิกที่รู้กันของเจ้านายว่าต้องยืนอยู่บนบรรทัดฐานของความทุ่มเทอย่างเต็มที่
หลังจากนั้นอีกไม่นานมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ต้นสายมาจากกลาสโกว์ ผู้บริหารของเรนเจอร์สคนหนึ่งเริ่มต้นด้วยการถามสารทุกข์สุกดิบ ก่อนจะโยงเข้าหาความต้องการทันที
ข้อเสนอคือให้ เฟอร์กี้ ไปนั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมไลท์บลูซึ่งกำลังต้องการมือดีสักคนมากู้ชื่อคืนสู่ความยิ่งใหญ่
แทบไม่ต้องคิดหรือลังเลอะไรเลย เขาตอบปฏิเสธทันที ต่อให้เงินค่าจ้างที่บอกตัวเลขมาคร่าวๆนั้นจะสูงกว่าที่ได้รับเวลานั้นพอสมควรก็ตาม
เขาเคยเล่นให้เรนเจอร์สสมัยเป็นนักเตะ ในบทบาทกองหน้าระเบิดตาข่ายได้อย่างน่าพอใจ แต่ความทรงจำต่างๆนั้นแทบไม่น่าบันทึกไว้
เงินสำคัญก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตและ เฟอร์กี้ คิดเพียงแค่ว่าอเบอร์ดีนต่างหากที่คือชีวิต
กว่าจะฝ่าอุปสรรคสยบคำเย้ยหยันถากถาง พิสูจน์ให้เห็นว่ายอดเยี่ยมพอ ทุกคนต้องทำงานกันอย่างหนักมากๆ แลกมันด้วยเลือดเนื้อเหงื่อไคล
ลูกทีมของเขาส่วนใหญ่ไม่ใช่ได้ค่าจ้างมากมายอะไร แค่เรตกลางๆในลีกเท่านั้น เทียบกับผู้เล่นของเรนเจอร์สและเซลติกไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขาพร้อมจะต่อสู้ เดินลงไปสนามทุกครั้งพร้อมคาถาว่าต้องเป็นผู้ชนะ
หลายคนเติบโตมาจากครอบครัวที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพ ได้เรียนรู้คุณค่าของการทำงานหนักมาก่อนจากบรรพบุรุษ ฉะนั้นจึงแทบไม่ปริปากบ่น
นอกจากนี้ยังต้องให้เครดิตพนักงานในสโมสรอีกมากมาย ที่มีส่วนร่วมกับความสำเร็จครั้งนี้นอกเหนือจาก ดิ๊ก โดนัลด์ ท่านประธาน
เฟอร์กี้ บรรยายความรู้สึกไว้เลยว่า อเบอร์ดีนในยุคนั้นสะท้อนถึงการทำงานเป็นทีมและเปี่ยมด้วยสปิริตอย่างแท้จริง หากจะให้เขียนชื่อและสดุดีวีรกรรมคงไม่จบภายในกระดาษ 2-3 แผ่นแน่
ตอนนั้นชื่อเสียง เฟอร์กี้ เป็นที่เกรียวกราวที่คือผู้จัดการทีมชั้นนำในยุโรปที่น่าจับตาอย่างมาก แทรกขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจที่ 3 ในระนาบเดียวกับเซลติกและเรนเจอร์สไม่พอ ยังผงาดครองแชมป์ถ้วยยุโรปอีกด้วย
เป็นคนอื่นสามารถกอบโกยเงินทองจากชื่อเสียงและความสำเร็จดังกล่าว แต่นั่นไม่ใช่ เฟอร์กี้
เขารู้ดีว่าการทำงานหนักต่อเนื่อง จะยังช่วยให้ประสบความสำเร็จบนหนทางข้างหน้าอีกมาก ไม่ใช่หยุดแค่ตรงนี้และยิ่งได้เห็นโทรฟี่แชมป์ เขายิ่งอยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่เรนเจอร์ส แต่สโมสรในอังกฤษไม่น้อยต่างก็ทาบทามเข้ามา ซึ่งทุกทีมต้องเจอกับคำว่าเซย์โน
และที่หลายคนอาจไม่รู้เลยก็คือ ตอนกำลังเฟื่องๆกับอเบอร์ดีน เขากลับตัดสินใจรับงานแมนฯยูไนเต็ดในปี 1986 ทั้งที่ได้เงินน้อยกว่าเดิมด้วย
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมานานคือ เฟอร์กี้ ได้เงินดับเบิ้ลกับปีศาจแดง แต่ความจริงไม่ใช่เลย
"ทุกคนทำงานหนักย่อมต้องการสิ่งตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งผู้คนต้องคิดว่าเป็นเงินทอง แต่ในเกมฟุตบอลนั่นไม่ใช่คำตอบเดียว"
"ใครต่างก็นึกถึงเงินกันทั้งนั้นแหล่ะ แต่ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จของให้มองข้ามไปก่อน เมล็ดพันธุ์จากการทำงานหนักที่หว่านไปในอดีตจะตอบแทนอย่างคุ้มค่า"
"ถ้าคุณดีพอเสียงเรียกร้องของคุณย่อมดังเสมอ ฉะนั้นคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการ"
นี่แหล่ะคือวิธีการทำงานของ เฟอร์กี้ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นตำนานผู้ยิ่งใหญ่
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา