4 พ.ค. 2020 เวลา 10:00 • กีฬา
หลายคนเชื่อกันว่า การแต่งงานคือเส้นชัยของความรัก คนสองคนเมื่อรักกันมากพอแล้ว การเข้าพิธีวิวาห์ก็แปลว่าความรักของทั้งคู่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่ผู้คนคิดว่าเป็นเส้นชัย มันเป็นจุดออกสตาร์ตของชีวิตคู่ต่างหาก
นี่คือเรื่องราว Part 3 เป็นบทสรุปของอันเดร อากัสซี่ กับบรู๊ค ชิลด์
หลังคบกันมา 3 ปีเต็ม ด้วยความสวีทกันอย่างยิ่ง อันเดร อากัสซี่ นักเทนนิสเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 3 รายการ กับบรู๊ค ชิลด์ ดาราสาวคนสวยนางเอกภาพยนตร์ดัง Blue Lagoon แต่งงานกันเป็นสามีภรรยา
งานแต่งงาน จัดขึ้นวันที่ 19 เมษายน 1997 ที่เมืองมอนเตเรย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทั้งคู่พยายามจัดงานแต่งให้เรียบง่ายที่สุด และให้คนภายนอกรู้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะทั้งคู่คือเซเล็บของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่มีทางที่งานแต่งจะเป็นข่าวเล็กๆได้
1
มีปาปารัสซี่หลายร้อย มาจ้องถ่ายรูปรอบบริเวณโบสถ์ นักข่าวบางสถานีเช่าเฮลิคอปเตอร์เพื่อเก็บภาพในงานจากมุมสูง งานแต่งงานของทั้งคู่ ดูใหญ่โตราวกับเป็นวาระแห่งชาติก็ไม่มีผิด
ชุดแต่งงานของบรู๊ค ชิลด์ สีขาวสวยงดงาม ขณะที่รองเท้าเป็นส้นเตี้ยเกือบจะแบน โดยบรู๊คให้เหตุผลว่า เธอสูงก็เกือบ 180 ซม. ซึ่งอากัสซี่สูงกว่าเธอแค่นิดเดียว ดังนั้นเธอกังวลใจว่า ถ้าใส่ส้นสูงโดยปกติ เวลาถ่ายรูปออกมาแล้ว เธอจะสูงกว่าสามีเกินไป ดังนั้นจึงยอมใส่ส้นเตี้ยตลอดงาน
แน่นอน บรู๊ค คิดว่าจะแต่งงานก็แต่งครั้งเดียว ดังนั้นจึงระมัดระวังทุกอย่างให้ละเอียดที่สุด ภาพต่างๆ เธออยากเก็บมันเป็นความประทับใจไปจนถึงวันที่เธอแก่เฒ่า
ในช่วงกลางวัน เหตุการณ์ในโบสถ์เรียบร้อยน่ารัก แต่แขกในงานบ่นเล็กน้อย เรื่องเสียงเฮลิคอปเตอร์จากสื่อมวลชนที่ดังเกินไป จากนั้นพอจบพิธีในโบสถ์ ในช่วงกลางคืนก็มีปาร์ตี้เล็กๆ โดยเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่าย มาครบทุกคน นี่เป็นวันแห่งความสุขของอากัสซี่ และ บรู๊ค ชิลด์อย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ อันเดร จะอยู่ที่บ้านตัวเองในลาสเวกัส ส่วนบรู๊คจะอยู่ที่ลอสแองเจลิสกับแม่ เมื่อมีเวลาว่าง ก็จะนัดกันไปออกเดทข้างนอก แต่คราวนี้ พอแต่งงานแล้ว ทั้งคู่จึงซื้อบ้านใหม่เพื่อย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน โดยบรู๊คเลือกบ้านที่เมืองแปซิฟิค ปาลิซาเดส นี่เป็นบ้านสไตล์ฝรั่งเศสหรูหรา ราคาแพง ตั้งอยู่ริมหน้าผา เห็นวิวมหาสมุทร
สิ่งที่ทั้งสองคนได้รับประสบการณ์ใหม่ คือการใช้ชีวิต 24 ชั่วโมงกับอีกคน มันเป็นอะไรที่ต่างคน ต่างไม่เคยสัมผัสเลยเหมือนกัน มีเรื่องจุกจิกเล็กๆให้กวนใจมากมาย แต่เพราะความรัก ในฐานะคู่ใหม่ปลามัน ก็ยังพอทำใจมองข้ามมันไปได้
1
จุดเริ่มต้นของรอยร้าวในความสัมพันธ์ เกิดขึ้นในการประกาศรางวัลโกลเด้น โกล้บ อวอร์ดส์ โดยบรู๊ค ชิลด์ มีชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม สาขาซีรีส์คอมเมดี้ จากเรื่อง Suddenly Susan
สำหรับอาชีพนักแสดงของเธอ การมีชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่ขนาดนี้ ถือเป็นความสำเร็จ ในวันนั้น เธอชวนอันเดรไปที่งานประกาศรางวัล และก็คาดหวังเหมือนนักแสดงคนอื่นว่า ถ้าเธอเป็นผู้ชนะ เธอจะได้หันไปจูบสามี แล้วขึ้นไปพูดสปีชบนเวที ได้อยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์จากผลงานที่สร้างขึ้น
บรู๊คกับอันเดร เดินเข้างานไปด้วยกัน นั่งที่โต๊ะข้างๆกัน แต่ก่อนที่จะถึงคิวประกาศรางวัลของเธอ อันเดรได้รับโทรศัพท์จากกิล เรเยส เพื่อนสนิทของเขา โทรมาบอกว่า ลูกสาวของกิล ชื่อเคซี่ ได้รับอุบัติเหตุระหว่างเดินป่าที่ภูเขาชาร์ลสตัน ทางเหนือของลาสเวกัส และต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน
อันเดรตัดสินใจทิ้งบรู๊คไว้ที่งานโกลเด้น โกล้บ แล้วรีบบินจากแอลเอ ไปลาสเวกัสทันที เขามาถึงโรงพยาบาลทั้งๆที่ยังใส่ทักซิโด้อยู่ จากนั้นรีบเข้าไปสวมกอดกิล และไปให้กำลังใจข้างๆกันที่หน้าห้องผ่าตัด
1
สำหรับบรู๊คเธอเข้าใจดีว่า อันเดรสนิทกับกิลมาก และรู้ว่าความเป็นความตายของลูกสาว ถ้าคนเป็นพ่อได้กำลังใจเพิ่มจากเพื่อนสนิทมันก็เป็นเรื่องดีมาก แต่วันนี้ ก็เป็นวันสำคัญของเธอ และเธออยากให้อันเดรอยู่ข้างๆกันก่อนจนจบงาน ไม่ใช่ปล่อยให้เก้าอี้ข้างๆเธอต้องว่างโล่งแบบนี้
และสุดท้าย คืนนั้นบรู๊คก็ไม่ชนะรางวัลโกลเด้น โกล้บด้วย เป็นวันที่ไม่ดีสำหรับเธอจริงๆ
พอแต่งงานกันไปอีกอย่างที่ทั้งคู่ค้นพบว่าต่างกันมาก คือไลฟ์สไตล์ บรู๊คเป็นนักแสดงฮอลลีวู้ด เธอมีเพื่อนในวงการเยอะมาก ทั้งนักแสดง โปรดิวเซอร์ เจ้าของค่ายหนัง ดังนั้นแต่ละคืนเธอจะออกไปเที่ยวนอกบ้านเสมอ ไปพบเจอผู้คนใหม่ๆ
1
เธอไม่มีลูกที่ต้องรับผิดชอบอะไร และเธอก็คิดว่าแต่งงานแล้ว ก็ยังสามารถเป็นตัวเองได้เหมือนกับก่อนแต่ง
สำหรับอันเดร เขาชอบอยู่เงียบๆ กับเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่บ้าน นั่งดูหนังสยองขวัญ อันเดรไปตระเวนแข่งมาทั่วโลกแล้ว เมื่อมีเวลาพัก แล้วเขายังต้องออกไปเข้าสังคมอีกหรอ เขาอยากอยู่บ้านสงบๆมากกว่า
"มีครั้งหนึ่งผมนั่งอยู่ในห้องน้ำที่บ้านของเรา แล้วนั่งดูบรู๊คกำลังแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก เธอชวนผมให้ไปด้วย แต่ผมมีโปรแกรมซ้อมวันรุ่งขึ้น จึงอยากพักมากกว่า ซึ่งแน่นอนมันแปลว่า คืนนี้ผมจะต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว มันเป็นเรื่องซ้ำเดิมวนไปเวียนมาแบบนี้"
"เธอบอกว่าผมไม่ยอมเข้าไปมีส่วนร่วมกับโลกของเธอ และบอกว่าผมไม่ยอมเปิดใจรับประสบการณ์ใหม่ ไม่อยากรู้จักคนใหม่ๆ บรู๊คบอกว่า จริงๆผมสามารถทำความรู้จักนักเขียน นักดนตรี นักแสดง ผู้กำกับ และสร้างคอนเน็คชั่นที่ดีเอาไว้ เผื่อโอกาสได้ร่วมงานกันในอนาคต แต่สิ่งที่ผมคิดจะทำมีแค่ นั่งดูทีวีอยู่บ้าน โดยชวนเพื่อนสักสองคนมานั่งกินข้าวด้วยกัน"
หลังจากที่ทั้งสองคนพบว่าไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกัน ดังนั้นใครอยากทำอะไรก็ปล่อยไปทำสิ่งนั้น บรู๊คอยากไปข้างนอกอันเดรก็ปล่อย หรืออันเดรอยากอยู่บ้าน บรู๊คก็ปล่อย ไปๆมาๆ มันจึงกลายเป็นว่า ทั้งสองคนเริ่มมีช่องว่างห่างกันทีละนิด
หลังแต่งงานกันได้ระยะหนึ่ง บรู๊คต้องไปกินนอนที่กองถ่าย เพื่อถ่ายหนังเรื่อง Black and White ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันนาน และพอบรู๊คกลับมาบ้าน เธอก็เล่าเรื่องงานของตัวเอง ว่าได้ร่วมงานกับทั้งโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ,ไมค์ ไทสัน และ เบน สติลเลอร์ แต่อันเดร ก็ตั้งคำถามอีกว่า พอกลับมาแทนที่จะสนใจกันก่อน กลับเล่าเรื่องของตัวเองก่อนเลย ทีเขายังแทบไม่คุยเรื่องเทนนิสกับเธอเลยด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้สนใจ
อันเดร แกล้งๆรับฟังไป หลังจากบรู๊คเล่าจบ เธอถามว่าแล้วเทนนิสของอันเดรเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ตอบส่งๆไป และก็รู้ว่าบรู๊คเองก็แกล้งๆรับฟังเช่นกัน
"เราสองคนเหมือน ใครก็ไม่รู้ที่ห้องครัวด้วยกัน มันดูเหมือนวัยรุ่นไปเที่ยวโฮสเทลมากกว่า เราสุภาพกันมาก แต่มันมีความห่างเหินซ่อนอยู่ บรรยากาศไม่เหมือนก่อนการแต่งงานเลย" อันเดรเล่า
1
"เอ้อ อันเดร ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณอีกหนึ่งอย่าง" บรู๊คพูดขึ้นมา "ตอนที่ฉันไปอยู่ที่กองถ่าย ฉันไปสักมาล่ะ"
1
อันเดรหันขวับมา "พูดเล่นใช่ไหม?" ไม่เลย เขาไม่ชอบผู้หญิงมีรอยสัก
1
ปรากฏว่าบรู๊คพูดจริง เธอดึงเสื้อขึ้นมา เป็นรอยสักกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ต้นขา ซึ่งมันทำให้อันเดรเดือดดาลมาก "นี่ คุณไม่คิดจะบอกผมเลยใช่ไหม มีความคิดสักนิดไหมว่าจะปรึกษาหรือถามกันก่อน"
แต่นั่นดูเหมือนเป็นคำพูดที่ผิด เพราะบรู๊คสวนกลับไปว่า "ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันต้องขออนุญาตอะไรจากคุณ คุณเป็นเจ้าของร่างกายของฉันหรอ"
อันเดร ทำอะไรไม่ได้เขาเดินหนี มาดื่มกาแฟอีกหนึ่งถ้วย และรู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่ลดระดับลงอย่างที่เขาก็คาดไม่ถึง
กลายเป็นว่าสิ่งต่างๆ ที่ทั้งสองคนทำ มันกลายเป็นขัดใจกันไปหมด
1
หลังจากแต่งงานได้สักระยะ ทั้งคู่หาเวลาไปฮันนีมูนกันไม่ได้หลายเดือน แต่ในที่สุดก็หาล็อกเวลาว่างได้พอดี บรู๊คเพิ่งถ่ายหนังเรื่องล่าสุดจบไป ส่วนอันเดรก็เพิ่งแข่งจบทัวร์นาเมนต์ ดังนั้นนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะมาก ที่จะไปเที่ยวด้วยกัน กระชับความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานใหม่ ให้มันดีขึ้น
1
ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของธุรกิจเวอร์จิ้น กรุ๊ป มีเกาะส่วนตัวอยู่ที่บริติชเวอร์จิ้นส์ ชื่อเน็คเกอร์ ไอส์แลนด์ โดยแบรนสันบอกว่า พวกคุณสองคนจะรักเกาะแห่งนี้มาก เพราะมันคือสรวงสวรรค์
พออันเดร กับ บรู๊คไปถึงเกาะเน็คเกอร์ ปรากฏว่าความสวยงามนั้นไม่ต้องพูดถึง สมกับที่แบรนสันว่าไว้ แต่ปัญหาคือ ทั้งสองคนตีความคำว่า "พักผ่อน" ไม่ตรงกัน
"ผมอยากจะผ่อนคลายแบบสงบๆ ริมทะเล แต่บรู๊คอยากไปดำน้ำสคูบ้าไดฟ์วิ่ง และเธอก็คะยั้นคะยอให้ผมไปดำน้ำกับเธอ ซึ่งการดำน้ำคุณต้องใช้เวลาทั้งวัน เริ่มจากไปเรียนก่อนว่าการดำน้ำต้องทำอย่างไร จากนั้นก็ลงไปดำจริง ผมบอกเธอว่า ผมไม่ได้มาฮันนีมูนเพื่อใช้เวลาดำน้ำ"
"แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมไป เราใช้เวลาหลายชั่วโมง ใส่เว็ตสูท ใส่แท็งค์อ็อกซิเจน ใส่หน้ากาก แต่สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ผมบอกบรู๊คว่า ไม่ล่ะ ผมไม่อยากทำมัน"
ซึ่งบรู๊คสวนกลับมาว่า "คุณมันพวกไม่เคยคิดจะลองอะไรใหม่ๆเลย"
อันเดรโต้ไปอีกว่า "ขอให้สนุกละกัน ไปกลางมหาสมุทรได้เลยถ้าคุณต้องการ ฝากทักทายนางเงือกด้วยนะ แล้วผมจะรออยู่ในห้อง"
อันเดร ขึ้นจากสระแล้วโทรสั่งพ่อครัวให้ทำเฟรนช์ฟรายจานยักษ์ เมื่อได้เฟรนช์ฟราย เขาหยิบทั้งจานขึ้นไปทีห้องนอน นั่งลงบนโซฟาแล้วเปิดทีวีดูทั้งวัน ปล่อยให้บรู๊คไปดำน้ำตัวคนเดียว
2
สุดท้ายเกาะสวรรค์ที่ริชาร์ด แบรนสัน พูดถึงมันสวยงามแค่สถานที่ แต่ไม่ทำให้คู่รักรู้สึกอบอุ่นหัวใจแต่อย่างใด บรรยากาศของทั้งสองตึงเครียด และสุดท้ายอันเดร กับบรู๊ค ตัดสินใจกลับบ้านเร็วกว่ากำหนดถึง 3 วัน ฮันนีมูนจบลงอย่างน่าเศร้า
2
หลังกลับมาจากฮันนีมูน อากัสซี่มีงานเปิดตัว อคาเดมี่ฝึกเทนนิสของตัวเอง ที่บ้านเกิดลาสเวกัส โดยสถานที่แห่งนี้ ตัวอากัสซี่รู้สึกภูมิใจกับมันมาก เพราะจะเป็นสถานที่ ที่ปลุกปั้นเยาวชนหลายๆคน ให้ก้าวไปมีอนาคตในวงการเทนนิสอาชีพได้
1
อากัสซี่เชิญสื่อมวลชนจำนวนมาก มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันเปิดตัว ขณะที่ชาวลาสเวกัสจำนวนมากก็มางานด้วย เพื่อชื่นชมความสำเร็จอีกก้าวของฮีโร่ของพวกเขา
แม้จะมีคนมากมายมางาน แต่คนเดียวที่ไม่มา คือบรู๊ค ชิลด์ ภรรยาของเขาเอง ผู้คนถามว่าอ้าวแล้วบรู๊คไปไหนล่ะ ไม่อยู่ด้วยกันในวันสำคัญแบบนี้หรอ ซึ่งอากัสซี่ก็ได้แต่ตอบไปตามความจริงว่า "ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"
ไม่รู้ว่าความรักของอากัสซี่ลดลงจากเดิมหรือไม่ แต่การกระทำของเขาเปลี่ยนไปแน่นอน
ก่อนแต่งงาน อากัสซี่เคยทะเลาะกับบรู๊คอย่างรุนแรง เพราะบรู๊คเป็นนักแสดงรับเชิญในซีรีส์เรื่อง Friends และมีฉากที่ต้องเลียนิ้วมือของแมตต์ เลอบล็อง นักแสดงในเรื่อง
1
อากัสซี่ด้วยความหึงหวงมาก แม้จะเป็นฉากในการแสดงก็เถอะ เขาก็ไม่คิดว่าแฟนตัวเองต้องไปทำแบบนั้น ทั้งคู่จึงทะเลาะกันอย่างรุนแรง
1
"ผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคุณเอาลิ้นไปเลียมือของผู้ชายคนนั้น" อันเดรโทรไปโจมตีใส่บรู๊ค
"โถ่ อันเดร ฉันแสดงอยู่! คุณลืมไปรึเปล่าว่าฉันเป็นนักแสดงนะ ฉันต้องแสดง มันคือการประกอบอาชีพ และการแสดงคือการแกล้งทำให้คนเชื่อจริงๆ ไม่ใช่หรอ!"
สุดท้ายบรู๊คบอกให้อันเดรไปสงบสติอารมณ์ก่อน ทำให้อากัสซี่ฟิวส์ขาด เขาเดินเข้าห้องนั่งเล่นหยิบของอะไรใกล้มือแล้วขว้างไปที่กำแพง จากนั้นเดินไปที่ห้องเก็บโทรฟี่ หยิบเอาถ้วยเดวิสคัพขึ้นมาแล้วฟาดลงไปกับพื้น หยิบเอาถ้วยแชมป์ยูเอสโอเพ่นขึ้นมา แล้วฟาดไปกับพื้น ตามด้วยถ้วยแชมป์วิมเบิลดัน ก็ฟาดลงไปกับพื้นเช่นกัน
จากนั้นหยิบเอาแร็กเก็ตที่มีทั้งหมด ไล่ฟาดให้หักไปทีละอัน ซึ่งหลังจากบ้านเละเทะหมดแล้ว อากัสซี่ จึงเดินกลับมาที่โทรศัพท์และโทรไปหาบรู๊คอีกครั้งเพื่อขอโทษ "ผมแค่หึงมากไป มันแค่รู้สึกเจ็บปวดน่ะ ผมขอโทษ ผมรักคุณนะ"
การหึงหวงอย่างบ้าคลั่งไม่ใช่สิ่งดี แต่อย่างน้อยสิ่งที่เราเห็นคือ ณ เวลานั้น อากัสซี่มี Passion ในตัวบรู๊คมากกว่านี้ ความพยายามที่อยากจะได้ครอบครอง และ ความโหยหาในตัวคนคนนึง ซึ่งไม่สามารถเทียบกับหลังแต่งงานได้เลย
1
หลังจากแต่งงาน ชีวิตคู่ที่เคยวูบวาบ ก็ลดความตื่นเต้นลง เช่นเดียวกับฟอร์มในสนามแข่งขัน ก่อนแต่งงาน ตอนช่วงคบกับบรู๊คใหม่ๆ เขาคว้าแชมป์ทั้งยูเอสโอเพ่น และ ออสเตรเลียน โอเพ่น แต่พอแต่งงานปั๊บในปี 1997 อากัสซี่ ไม่เคยไปไกลกว่ารอบ 16 คนสุดท้ายทั้ง 4 แกรนด์แสลม บางรายการก็ตกรอบแรกเลยด้วย
แม้จะไม่เคยออกมายอมรับโดยตรง แต่ฟอร์มอันถอยหลังอย่างน่าตกใจของอากัสซี่ ดูจากไทม์ไลน์แล้ว มันดร็อปลงไปตั้งแต่แต่งงานพอดี
ในการแข่งออสเตรเลียน โอเพ่น เดือนมกราคมปี 1999 อากัสซี่เข้ารอบ 16 คนสุดท้ายไปเจอกับ วินเซนต์ สปาเดีย มือไร้อันดับ ซึ่งทะลุเข้าถึงรอบนี้ได้อย่างเซอร์ไพรส์
คืนก่อนแข่ง อากัสซี่โทรหาบรู๊ค ปรากฎว่า บทสนทนานั้น ไม่มีความสุขเลย
"มันยากเนอะ" บรู๊คเริ่ม
1
"เรื่องอะไรหรอ"
"เรื่องเราไง อันเดร"
"ทำไมหรอ"
"ฉันกับคุณเหมือนเรามีช่องว่างระหว่างกันนะ" บรู๊คกล่าวเข้าประเด็น
"ไม่หรอก ออสเตรเลีย กับ อเมริกา มันไกลกันอยู่แล้ว" อันเดรตอบ
"ไม่ใช่อย่างนั้น แม้แต่เราอยู่ในห้องเดียวกัน เราก็ห่างเหินกัน" บรู๊คพูดในพอยต์สำคัญ
"ใช่ ผมรู้"
"กลับมาบ้านแล้วเราคงต้องคุยกันนะ"
"เรื่องอะไร"
"อืม ช่างเถอะ แล้วพรุ่งนี้คุณแข่งกับใคร"
"วินเซนต์ สปาเดีย"
"ถ่ายทอดสดทางทีวีหรือเปล่า"
"ผมไม่รู้ อาจจะถ่ายมั้ง"
"ฉันจะดูคุณแข่งละกัน"
"โอเค"
"โอเค"
"ฝันดี"
"ฝันดี"
บทสนทนาที่ไม่ดีเอาเสียเลย กับคำที่บรู๊คเอ่ยว่าอยากคุยด้วย มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ด้วยความว้าวุ่นกับสิ่งที่บรู๊คพูดส่งผลให้ อันเดร เล่นอย่างผิดฟอร์มมาก ในการเจอวินเซนต์ สปาเดีย ก่อนสุดท้ายแพ้ไปแบบช็อกโลก 3-1 เซ็ต สปาเดียคนนี้ ที่เคยเป็นคู่ซ้อมมือให้อากัสซี่มาก่อน คนที่เขาเคยบอกว่า ใช้ตะหลิวแทนแร็กเก็ตก็ยังชนะได้ แต่สุดท้ายอากัสซี่ก็พ่ายแพ้ไป
ใจของเขาคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้แล้ว เมื่อเขาต้องไปเผชิญหน้ากับบรู๊คที่สหรัฐฯ
หลังจบออสเตรเลียน โอเพ่น ช่วงปลายเดือนมกราคม อากัสซี่กลับไปที่บ้านในลอสแองเจลิส เขาถึงบ้านในช่วงเช้า แต่ก็ไม่เจอใคร เพราะ บรู๊ค ออกไปทำงานแล้ว
อากัสซี่ นั่งรอบรู๊คกลับบ้าน ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และผ่านไปหลายชั่วโมง จนถึงช่วงหัวค่ำ บรู๊คกลับมาถึงบ้าน
"เราไปดินเนอร์กันข้างนอกไหม" บรู๊คถาม
"เอาสิ ซูชิมั้ย?"
"ดีเลย"
ทั้งสองคนขับรถไปจอดที่ร้านมัทสึชิตะ ร้านโปรดของทั้งคู่ เมื่อมาถึงทั้งสองคนไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ และบรู๊คสั่งสาเกมาดื่ม ส่วนอากัสซี่ สั่งซาชิมิบลูฟินทูน่า
"คุณสั่งอย่างเดิมเสมอเลยเนอะ" บรู๊คพูด แต่อากัสซี่หิวเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียง เขากินซาชิมิไปเงียบๆ
จากนั้นไม่นานบรู๊คก็ถอนหายใจ
"บรู๊ค เกิดอะไรขึ้น"
"ฉันไม่สามารถมองหน้าคุณได้ตอนนี้ อันเดร" บรู๊คพูดพลางร้องไห้ไปด้วย
"ใจเย็นก่อน หายใจลึกๆ และอย่าเพิ่งร้องไห้นะ เอาเป็นว่าเราจ่ายเงินแล้วออกไปคุยกันที่บ้านดีกว่า"
1
ระหว่างขับรถกลับบ้านบรู๊ค ยังคงร้องไห้อยู่ และในที่สุดเธอก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
"ฉันไม่มีความสุขเลย เราสองคนไม่มีความสุขมาได้พักใหญ่ๆแล้ว และฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะมีความสุขได้อีกครั้งหรือไม่ ถ้าเราอยู่ด้วยกันต่อไปแบบนี้"
คำของบรู๊ค เป็นการจุดชนวนบางอย่างในใจของอากัสซี่ เพราะสิ่งที่เขาคิดมาตลอด คือเขากับบรู๊ค เหมือนเคมีไม่ตรงกัน แนวคิดต่างกัน ความสนใจต่างกัน และไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะรั้งความสัมพันธ์ไว้ต่อ ถ้าไม่มีความสุขกับเขาแล้วก็แยกย้ายกันไปดีกว่า
เมื่อถึงบ้าน อากัสซี่เก็บข้าวของ กระชากเสื้อผ้าออกจากตู้ยัดใส่กระเป๋าเดินทาง เก็บเม็ดกาแฟจาไมก้า เครื่องบดกาแฟ และ สิ่งต่างๆเตรียมยัดใส่รถ แล้วพร้อมจะแยกทางกับบรู๊คทันที
"คุณจะทำอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น" บรู๊คตกใจ เพราะสิ่งที่เธอคิด คือการปรับความเข้าใจกัน ไม่ใช่เลิกรากัน
"คุณหมายความว่าไง ก็คุณบอกเองว่าไม่มีความสุขไม่ใช่หรอ ผมก็จะไปแล้วนี่ไง แล้วจะรออะไรล่ะ ไม่มีเวลาไหนเหมาะเท่าตอนนี้แล้ว" อันเดรสวนกลับใส่บรู๊ค
เขาเก็บของแล้วบินกลับลาสเวกัส ปล่อยให้บรู๊คร้องไห้อย่างลำพังที่บ้านเพียงคนเดียว เลิกก็เลิก จบๆกันไป
หลังผ่านไป 2 วัน อันเดร ตั้งสติได้ และเริ่มคิดว่า การตัดสินใจของเขาดูจะหุนหันพลันแล่นเกินไปหน่อย และอุตส่าห์แต่งงานกันทั้งทีแล้ว บางทีการเคลียร์กันเพื่อเดินต่อ อาจจะเป็นสิ่งดีกว่า เขาคบกับบรู๊คตั้ง 3 ปี ก็ยังรักกันดีมาตลอด ดังนั้น ก็น่าจะมีทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้นได้ถ้าร่วมมือกันจริงๆ
และที่สำคัญเขายังรักเธออยู่ และไม่คิดว่าความสัมพันธ์ควรจบลงแบบนี้
อันเดรโทรหาบรู๊ค ปรากฏว่าปฏิกริยานั้นผิดจากที่เขาคาด นั่นคือ เธอใจแข็งมาก เธอมองว่าเราสองคนไม่ควรจะเจอกันอีกแล้ว
"เราสองคน ต้องใช้เวลาคิดทบทวนตัวเอง เอาไว้สักสามสัปดาห์แล้วเราค่อยเจอกัน" บรู๊คกล่าว "ฉันแนะนำให้คุณลองไปปรึกษาจิตแพทย์ดูนะ"
อันเดร ไปหาจิตแพทย์จริงๆ แต่ไปแค่ครั้งเดียว เขาก็มองว่าวิธีนี้ไม่เวิร์ก เพราะคนนอกที่ไม่เคยรู้เรื่องคนสองคน จะมาช่วยเยียวยาความรักได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงเลิกไปหาจิตแพทย์
เวลาผ่านไป บรู๊คยังไม่ติดต่อมา แม้จะยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่ตกลงกัน แต่อันเดร ร้อนใจ ถึงตรงนี้ เขาตัดสินใจหยิบกระดาษและปากกา เขียนความในใจของเขาทั้งหมด และระบายความรู้สึกของตัวเอง ลงในกระดาษแผ่นเล็กๆนั้น นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเลย
จากนั้นเขาส่งแฟ็กซ์ไปให้บรู๊ค ซึ่งวิธีการนี้ เขาย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เริ่มจีบกันใหม่ๆ ที่อากัสซี่อยู่อเมริกา และบรู๊คอยู่แอฟริกาใต้ ทั้งสองคนห่างกันครึ่งโลก แต่ใช้แฟ็กซ์เป็นเครื่องนำทางความรัก จนสุดท้ายได้คบกันจริงๆ
ดังนั้นมาวันนี้ เขาใช้วิธีการส่งแฟ็กซ์ เพื่อบรู๊คจะได้เห็นว่า เขายังคงใส่ใจอยู่
"ห้าปีที่แล้ว ตอนเราเริ่มคุยกัน ทุกครั้งที่ผมส่งแฟ็กซ์ไป จะรอคอยเธอส่งกลับมาด้วยใจระทึกเสมอ ผมรอคอยคำตอบที่ทะเล้น และน่ารักของบรู๊ค ที่ส่งมาจากกระท่อมที่ไหนสักแห่งในแอฟริกาใต้"
2
แต่ในวันนี้ บรู๊คได้รับแฟ็กซ์แล้ว แต่ไม่มีการตอบรับกลับมา
อันเดรส่งแฟ็กซ์ไปอีกครั้ง และอีกครั้ง และอีกครั้ง
ใจใกล้ ตัวไกลก็รู้สึกไม่ห่าง แต่เมื่อใจไกล แม้ตัวใกล้ก็รู้สึกห่างแสนไกล
ลาสเวกัส กับ ลอสแองเจลิส ห่างกันแค่ 270 ไมล์ แต่สำหรับอันเดร ตอนนี้บรู๊คอยู่ห่างไกลยิ่งกว่าแอฟริกาเสียอีก
1
เมื่อแฟ็กซ์ ไปหลายหน แต่บรู๊คไม่ตอบ ทำให้เขาตัดสินใจโทรศัพท์ไปแทน และบรู๊ครับสาย
"บรู๊ค ผมรู้ว่าคุณบอกว่าขอเวลาสามสัปดาห์ แต่ผมต้องการคุยกับคุณจริงๆ ผมคิดว่าเราน่าจะร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อผ่านปัญหานี้ไปให้ได้นะ"
1
ปัญหาที่อันเดรคาดไม่ถึงคือ ในช่วงเวลาที่ไม่ได้คุยกัน มันทำให้บรู๊คคิดบางอย่างขึ้นมา เธอตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าจะไม่กลับไปอีก
"อันเดร คุณไม่เข้าใจ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเราสองคน แต่เป็นเรื่องนิสัยของคุณ กับของฉันที่เราไม่เข้ากันเลยต่างหาก" บรู๊คกล่าว
อันเดร พยายามจะยื้อยุดด้วยพลังสุดท้ายที่มี เขาบอกเธอว่า เขาขอโทษที่ปล่อยให้เธอรู้สึกห่างเหินมาตลอด เขาเองไม่ได้ตั้งใจจะเย็นชาแบบนี้ แต่เพราะปัญหาทุกๆอย่างมันรุมเร้า ทำให้เขาตอบสนองไปแบบนั้น
เขาเปิดเผยเธอทุกเรื่อง โดยไม่มีความอับอายใดๆ สาเหตุเพราะเขาเองไม่อยากเสียเธอไป แน่นอนเขาพร้อมจะปรับตัวทุกอย่าง ซึ่งเขาคิดว่าถ้าเขาแสดงความจริงใจ 100% ขนาดนี้ เธอจะให้โอกาสที่สองกับเขา
แต่คำตอบของบรู๊คคือเธอคิดมาดีแล้ว
"ขอโทษนะอันเดร แต่การอยู่ด้วยกันมันทำให้ฉันเจ็บปวด ความรักไม่ควรเป็นแบบนี้ และฉันไม่สามารถทำอะไรให้คุณได้อีกแล้ว"
1
กลายเป็นว่า ตัวบรู๊คเองนั้นเข้าใจสถานการณ์ดีทุกอย่าง คือเธอรู้ดีว่าทั้งสองคนยังรักกัน แต่ต่อให้กลับมาดีกัน มันก็คงดีกันในระยะสั้น เพราะตัวตนของแต่ละคนนั้นยังเหมือนเดิม จะให้ปรับแค่ไหน แต่วิธีคิด หรือไลฟ์สไตล์ ถ้ามันไปด้วยกันไม่ได้ในวันนี้ แล้วในวันหน้า จะมีเหตุผลอะไรที่จะไปกันได้
สู้ให้แต่ละคน แยกทางกันในวันที่ยังไม่ผูกพันกันมากเกินไป ในวันที่ยังไม่มีลูก เพื่อไปตามหาใครก็ตาม ที่ตอบโจทย์ชีวิตของตัวเอง น่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า
สุดท้าย บรู๊คไม่คืนดีด้วย และทำให้อากัสซี่เข้าใจว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะยื้อจะรั้ง ซึ่งอย่างที่บรู๊คพูดก็ถูก เขากับบรู๊คมันไม่ได้มีนิสัยที่เข้ากันเลย ยื้อต่อไป เดี๋ยวอนาคตก็ต้องจบอยู่ดี
1
อากัสซี่วางสาย แล้วโทรศัพท์หาเพอร์รี่ ผู้จัดการส่วนตัว แล้วบอกว่า จัดการเรื่องหย่าให้ที ขอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากนั้น อากัสซี่ ถอดแหวนแต่งงานออก แล้วเอาไปขายที่ร้านขายของมือสอง โดยไม่สนใจราคาว่าจะได้เท่าไหร่
อันเดร อากัสซี่ กับ บรู๊ค ชิลด์ เป็นแฟนกัน 3 ปีกับอีก 2 เดือน
แต่พอแต่งงานกัน ได้เพียง 1 ปีกับอีก 10 เดือน ทุกอย่างก็จบลง
จากคนไม่รู้จักกลายเป็นแฟน จากแฟนเป็นสามีภรรยา และสุดท้าย จากสามีภรรยา วนกลับมากลายเป็นคนไม่รู้จักกันอีกครั้ง
1
0 15 30 40
เกม เซ็ต แอนด์ แมตช์
ในโลกของความรัก หลายคนเชื่อกันว่า การแต่งงานคือเส้นชัย การเอาชนะใจอีกฝ่ายจนสุกงอมขนาดอยู่ร่วมชีวิตด้วยกันได้ มันน่าจะเป็นที่สุดแล้ว
แต่ในความจริงแล้ว ลู่วิ่งของชีวิตยังต้องวิ่งต่ออีกยาวไกลมาก การแต่งงานคือการเริ่มต้นของความสัมพันธ์ในอีกสเต็ปเท่านั้น
1
เพราะเมื่อแต่งงานแล้ว เราจะเข้าไปอยู่ในชีวิตของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ
มันคือช่วงเวลาที่จะเข้าใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ว่าเป็นคนอย่างไร หลายคนมากที่นิสัยก่อนกับหลังแต่งงานต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเช่นกัน อีกฝ่ายก็จะเข้าใจเราจริงๆ ว่าเราเป็นคนแบบไหน นิสัยแท้จริงแบบที่ไม่ได้ปั้นแต่งให้ใครดู
1
ซึ่งถึงจุดนั้น เมื่อเจอนิสัยกันจริงๆแล้ว ถ้าไม่ตรงกับช่วงก่อนแต่งงาน ก็ต้องชั่งใจว่า พอจะรับได้หรือไม่
ที่สังคมในต่างประเทศเราจะเห็นชัดเจนว่า พวกเขาไม่เคยเอาการแต่งงานมาผูกมัดตัวเอง ถ้าจะจบมันก็ต้องจบ หย่าก็ต้องหย่า ดีกว่าฝืนทนกันไป โดยเอาคำว่า "แต่งงาน" มาเหนี่ยวรั้ง
1
เพราะสัจธรรมที่ง่ายที่สุดของโลกนี้ "ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่"
ต่อให้คิดว่ารักมากแค่ไหน แต่ถ้าได้รู้ว่า นี่ไม่ใช่คนที่ใจต้องการ
1
จะช้า จะเร็ว สุดท้ายเกมก็ต้องโอเวอร์อยู่ดี
[ จบ Part 3 ]
#Agassi
โฆษณา