5 พ.ค. 2020 เวลา 08:28
จุดแข็ง ที่หนุนความเป็นอภิมหาอำนาจของอเมริกา
เมื่อปี พ.ศ. 2560 อาตมภาพได้ไปปฏิบัติศาสนกิจที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา 6 เดือน จากการสังเกตสภาพความเป็นไปของสังคมอเมริกาเปรียบเทียบกับญี่ปุ่น พบว่า
- คุณภาพของสินค้าที่อเมริกา สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ทั้งตัวผลิตภัณฑ์และ Packaging
- คุณภาพการบริการของพนักงาน ญี่ปุ่นดีกว่ามาก
- ความสะอาดของบ้านเมือง ญี่ปุ่นดีกว่ามาก
- คุณภาพของการก่อสร้าง คนงานก่อสร้าง ญี่ปุ่นดีกว่ามาก
- คุณภาพของแท็กซี่ ญี่ปุ่นดีกว่ามาก
- คุณภาพของระบบราชการ ทั้งความเป็นระบบและการบริการ ญี่ปุ่นดีกว่ามาก
- ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ญี่ปุ่นดีกว่ามาก คนทุกคนทั้งหญิงและชายสามารถเดินทางไปทุกที่ไม่ว่าจะเปลี่ยวแค่ไหน ในทุกเวลา ไม่ว่าจะดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหน ได้ด้วยความปลอดภัย
- รถไฟใต้ดิน ที่บอสตันไม่มีตารางบอกเวลารถไฟมาถึงของแต่ละสถานี เพราะเวลาไม่แน่นอน การ Late 10-30 นาที เป็นเรื่องเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ที่ญี่ปุ่นตารางรถไฟแน่นอน สถานีรถไฟใต้ดินสะอาด ปลอดภัย มีอยู่คราวหนึ่ง รถไฟชินคันเซ็นมาสาย 1 นาที กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทรถไฟต้องออกมาแถลงข่าว ขอโทษประชาชนที่ทำให้เดือดร้อน เพราะรถไฟช้าไป 1 นาที ผู้โดยสารบางคนเขามีธุระต้องไปทำอย่างอื่นต่อเลยต้องไป Late เสียเครดิตตัวเขา
ทำให้อาตมภาพเกิดความสงสัยมากว่า แล้วทำไมเศรษฐกิจของอเมริกาถึงโตเอาๆ จนมีรายได้ต่อหัว (GDP per capita) สูงกว่าญี่ปุ่นเกือบ 50% แล้ว
อะไรที่ทำให้อเมริการักษาความอภิมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกได้ บางท่านอาจคิดว่าเป็นเพราะ
- อเมริกามีกองทัพที่แข็งแกร่งเกรียงไกรที่สุดในโลก
- เงินดอลลาร์เป็นเงินตราสกุลหลักของโลก
- อเมริกาคุมกลไกสำคัญของโลกเช่น ธนาคารโลก IMF
ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนถูก แต่ปัจจัยสำคัญจริงๆ ที่ทำให้อเมริกาคงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นฐานรองรับความเป็นผู้นำทางการทหารและการเมือง มีดังนี้
จุดแข็งอเมริกา
1
องค์ประกอบ 3 อย่าง ที่ทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาแข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ คือ
1. ผู้จบด็อกเตอร์ปีละ 180,000 คน
concept ของการจบปริญญาเอก ไม่ใช่เป็นเพียงการเรียนจบในระดับชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้มีคำนำหน้าชื่อว่า ด็อกเตอร์เท่านั้น แต่ผู้จบปริญญาเอกที่แท้จริงต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชานั้นๆ สามารถยืนเป็นหลักทางวิชาการ ค้นคว้าวิจัย สร้างองค์ความรู้ใหม่ในสาขาวิชานั้นๆ ได้
ในอเมริกา มีผู้จบการศึกษาปริญญาเอก ปีละราว 180,000 คน สูงที่สุดในโลก เยอรมนีและอังกฤษมีผู้จบปริญญาเอกเพียงปีละ 25,000 คน ญี่ปุ่นมีราวเกือบ 20,000 คน (ในญี่ปุ่นคนจบโทหรือจบเอก ได้เงินเดือนสูงกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่จบตรีแล้วทำงานเลยแค่นิดเดียว แรงจูงใจในการเรียนต่อโท-เอกจึงต่ำ)
มีเพียงจีนเท่านั้นที่มีจำนวนผู้จบปริญญาเอก เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีจำนวนราว 1 แสนคนต่อปีแล้ว โดยอัตราการเพิ่มของผู้จบปริญญาเอกของจีนตั้งแต่ปี พ.ศ.2525-2555 นั้น เฉลี่ยปีละ 24% หรือเพิ่มขึ้นราว 500 เท่าตัวใน 30 ปี แต่การเพิ่มจำนวนผู้เรียนและผู้จบปริญญาเอกเร็วขนาดนี้ ก็ทำให้ปริมาณและคุณภาพของอาจารย์ตามไม่ค่อยทัน คุณภาพผู้จบปริญญาเอกโดยเฉลี่ยของอเมริกาจึงสูงกว่า และในจีนยังมีปัญหา ผู้มีอำนาจทางการเมืองและคนรวยจ่ายเงินซื้อปริญญา เพื่อให้มีคำว่า ดร.นำหน้าชื่อโก้ๆ ทำนอง “จ่ายครบ จบแน่” แต่จีนก็กำลังพยายามพัฒนาคุณภาพอย่างรวดเร็วเช่นกัน
มหาวิทยาลัยในอเมริกามีคุณภาพการเรียนการสอนและการวิจัยสูงที่สุดในโลก ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลก จำนวน 20 แห่ง เป็นมหาวิทยาลัยของอเมริกาถึง 10 แห่ง อาทิ ฮาร์วาร์ด MIT สแตนฟอร์ด พรินสตัน คอร์แนล เยล เพนซิลวาเนีย ฯลฯ
หากคิดว่า คนจบด็อกเตอร์มีเวลาทำงานเฉลี่ยราว 33 ปี ก็เท่ากับอเมริกามีด็อกเตอร์ทำงานอยู่รวมราว 6 ล้านคน มากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นด็อกเตอรที่มีคุณภาพโดยเฉลี่ยดีที่สุดในโลกด้วย
ทำให้อเมริกามีผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ จำนวนมหาศาล เมื่อมีสถานการณ์พิเศษ มีความจำเป็นอะไรเกิดขึ้น หรือจะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ จึงรวมทีมผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันทำได้อย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญระดับด็อกเตอร์จำนวน 6 ล้านคน โดยมีคนจบโทอีกราว 25 ล้านคน(จบโทปีละราว 800,000 คน) และผู้จบป.ตรีอีกราว 60 ล้านคน (จบตรีปีละราว 1.9 ล้านคน) เป็นผู้ช่วย เป็นพลังขับเคลื่อน ทำให้อเมริกาสามารถเอาชนะวิกฤติต่างๆ มาได้เป็นระยะ
1
US B-52
เมื่อแพ้สงครามเวียดนาม เกียรติภูมิของประเทศตกต่ำ ขวัญ กำลังใจประชาชนเสื่อมโทรม อเมริกาก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เป็น smart war เปลี่ยนการทิ้งระเบิดแบบปูพรมโดยเครื่องบิน B52 ในสงครามเวียดนาม กลายเป็นหัวรบนำวิถีโทมาฮอร์ก ที่ยิงเข้าเป้าอย่างแม่นยำทุกลูก รบชนะอิรักในศึกทะเลทรายชิงคูเวต เมื่อปี พ.ศ.2533 โดยสูญเสียทหารแค่ 100-200 คน ซึ่งส่วนมากตายเพราะอุบัติเหตุ
บริษัทอุตสาหกรรมอเมริกาสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ก็เปลี่ยนโฉมยุคอุตสาหกรรม สู่ยุคข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยีดิจิตัลและบริษัทอย่าง Microsoft, Google, Apple, Amazon, Facebook ก็กลายมาเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในโลก
2. ระบบที่เอื้อให้คนเก่งทำงานง่าย
อเมริกาเห็นคุณค่าของคนเก่ง วันสำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยดังๆ บริษัทอย่าง Google, Microsoft, Facebook ฯลฯ ไปตั้งโต๊ะรับผู้สำเร็จการศึกษากันถึงมหาวิทยาลัยเลย ยิ่งใครมี profile ดีๆ เรียนได้คะแนนสูงๆ เคยมีผลงานในด้านต่างๆ จะได้รับเงื่อนไขผลตอบแทนที่ดีมาก บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้แย่งตัวคนเก่งกัน สิ่งที่คนมีความสามารถเขาเลือก ไม่ใช่ตัวเงินอย่างเดียว แต่เป็นบรรยากาศในการทำงาน โอกาสในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ โอกาสในความก้าวหน้า คือเงื่อนไขสำคัญ
คนที่เก่งจริงๆ ไปทำงานเพียงไม่กี่ปี สะสมวิทยายุทธ์ ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์เพียงพอ มีคอนเนคชั่นในวงการพอควร บางคนมีไอเดียดีๆ เสนอบริษัท เมื่อบริษัทเห็นด้วย ก็ตั้งเป็นโครงการให้ผู้เสนอรับผิดชอบโครงการ บริษัทสนับสนุนงบประมาณ ทีมงาน อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ พอไปได้ดีบางทีก็ตั้งเป็นบริษัทลูก ผู้เสนอโครงการกลายเป็นผู้บริหารบริษัท มี stock option ถือหุ้นในราคาพิเศษ ทำงานไม่ถึง 10 ปี ผู้ที่มีรายได้เป็นหลักหลายร้อยหรือ หลายพันล้านบาทก็มีมากมาย
บางคนทำงานไปสักพักก็รวมกลุ่มเพื่อนๆ ที่เก่งและทำงานเข้าขากัน ลาออกมาตั้งบริษัท startup ที่เติบโตจนกลายเป็นบริษัทยูนิคอร์น (บริษัท startup ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์มากกว่า 1,000ล้านดอลลาร์) ก็มีมากมาย
เงินสนับสนุนการลงทุนของบริษัทใหม่ๆ เหล่านี้หาไม่ยาก ขอให้เก่งจริง มีแนวคิดที่ดีเท่านั้น มีบริษัทเพื่อการลงทุน (venture capital) ที่พร้อมให้ทุนสนับสนุนธุรกิจใหม่ๆ มากมาย ถ้าโครงการคุณดีจริง บริษัทเพื่อการลงทุนเหล่านี้ จะมาขอนัดพบขอร้องขอให้ช่วยรับเงินลงทุนของเขาด้วยซ้ำไป เพราะถ้าหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไหร่ราคาจะขึ้นสูง เขาก็จะได้กำไรมาก
คนต่างชาติที่มาจบปริญญาเอกที่อเมริกา การขอวีซ่าทำงานทำได้ง่าย เมื่อคุณเก่งจริง มีรายได้มาก ทางอเมริกาพร้อมให้วีซ่าทำงานระยะยาว ทำไปไม่กี่ปีก็ได้วีซ่าถาวร (Green Card) อีกไม่กี่ปีก็ขอสัญชาติอเมริกาได้ กลายเป็นชาวอเมริกัน ปักหลักอยู่อเมริกาถาวร นักศึกษาต่างชาติที่เรียนจบปริญญาเอกแล้ว ส่วนใหญ่ก็เลือกอยู่ทำงานในอเมริกาต่อ เพราะรายได้ดีกว่ากลับประเทศตัวเอง มีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า เสถียรภาพทางการเมืองของอเมริกาดีกว่า เท่ากับอเมริกาเด็ดยอดได้บุคลากรชั้นหัวกะทิจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มาเรียนที่อเมริกาไปใช้ ตอนเรียนทางบ้านเขาก็รับผิดชอบ ส่งเงินมาให้ใช้เป็นค่าใช้จ่าย ค่าเล่าเรียน เรียนจบ อเมริกาก็ได้คนเหล่านี้ไปใช้ฟรีๆ โดยแทบไม่ต้องลงทุนสร้างคน
มีนักศึกษาต่างชาติเรียนอยู่ในอเมริกามากกว่าล้านคน นำเงินทองมาใช้จ่ายในอเมริกาปีละมากกว่า 2.5 ล้านล้านบาท มากกว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทยทั้งปีเสียอีก เท่ากับอเมริกาได้ทั้งเงินได้ทั้งคนเก่งไว้ใช้ จากระบบการศึกษาที่ดี
ในระหว่างปี พ.ศ. 2548-2558 87% ของนักศึกษาปริญญาเอกชาวจีนในอเมริกา ตั้งใจจะหางานทำที่อเมริกาหลังเรียนจบ แต่แนวโน้มนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากการที่ทรัมป์มีนโยบายกีดกันคนจีนและธุรกิจจีน ในปี พ.ศ.2562 นักศึกษาจีนที่เรียนจบเดินทางกลับจีน 80%
ก็ต้องดูต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับข้อได้เปรียบของอเมริกาด้านการศึกษานี้ในอนาคต
3. บริษัทอเมริกาที่แข็งแกร่งมีเป็นจำนวนมาก
ตลาดหลักทรัพย์อเมริกามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขายสูง ระบบเศรษฐกิจของอเมริกามีความยืดหยุ่นตัวสูง เอื้อให้บริษัทเกิดใหม่ที่มีศักยภาพเติบโตได้เร็ว บริษัทที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียง 10-20 ปี อย่าง Facebook, Google กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market cap.) สูงติด 1 ใน 5 ของโลก บริษัทใดดูมีแนวโน้มอนาคตดี นักลงทุนก็จะกรูกันเข้าไปลงทุน ทำให้หุ้นขึ้น บริษัทสามารถระดมทุนมาขยายกิจการได้ง่าย ตัวอย่างเช่น บริษัท Tesla ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งที่ยังผลิตรถยนต์ได้เพียงปีละไม่กี่แสนคัน เพิ่งจะพ้นภาวะขาดทุนมาได้ปี 2 ปี ก็มีมาร์เก็ตแคป สูงแซงบริษัทรถยนต์ GM ไปแล้ว เพราะนักลงทุนดูว่ามีอนาคตดี
บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคบใหญ่ที่สุดในโลก 10 บริษัทเป็นบริษัทของอเมริกาถึง 8 บริษัท ของจีน 2 บริษัท
Microsoft, Apple, Google, Amazon และ Facebook มีเงินหน้าตักมหาศาล จน R&D ของ 5 บริษัทนี้มีมูลค่าราวปีละ 5 ล้านล้านบาท พอๆ กับงบ R&D ของญี่ปุ่นทั้งประเทศ สูงกว่างบ R&D ของทุกประเทศอื่นในโลก ยกเว้นจีน ซึ่งก็ทุ่มงบ R&D มาก กวดไล่หลังอเมริกามา
1
Quantum Computer ก็คือระบบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนจากการทำงานบนแผงวงจร มาใช้คุณสมบัติพิเศษของอะตอมแทน
บริษัทที่แข็งแกร่งมีพนักงานเก่งๆ จำนวนมาก มีเงินลงทุนมหาศาลเหล่านี้ได้ทุ่มเทการค้นคว้าวิจัยในด้านต่างๆ มากมาย ทั้ง AI, Quantum Computer, หุ่นยนต์ ฯลฯ เกิดการแข่งขันข้ามวงการมากมาย อาทิ บริษัทเสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Google กลายเป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ เป็นคู่แข่งที่บริษัทรถยนต์ทั่วโลกกลัวเกรง
เมื่อมีคนเก่งมากๆ จำนวนหลายล้านคน มีระบบที่เอื้อให้คนเก่งทำงานง่าย แสดงฝีมือได้ บริษัทใหม่ๆ เกิดง่าย โตเป็นยักษ์ใหญ่ได้เร็วมากถ้าเก่งจริง และมีบริษัทที่แข็งแกร่ง เปี่ยมล้นด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ภาคเศรษฐกิจของอเมริกามีพลวัต ในขณะที่ธุรกิจเก่าบางอย่างที่แข่งขันสู้ไม่ได้ ต้องย้ายฐานไปต่างประเทศหรือล้มหายตายจากไป ก็มีธุรกิจใหม่ๆ เติบโตขึ้นมาแทนที่ ทำให้เศรษฐกิจและเทคโนโลยีของอเมริกาแข็งแกร่ง เป็นฐานรองรับความเป็นอภิมหาอำนาจโลก
ประเทศเดียวที่มีศักยภาพแข่งขันกับอเมริกาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้คือ จีน ทำให้อเมริกาต้องรีบสกัดดาวรุ่ง จึงเป็นที่มาของสงครามการค้า ลุกลามสู่การชิงความเป็นเจ้าด้านเทคโนโลยี เพราะอเมริการู้ดีว่า ใครครองเทคโนโลยี คนนั้นก็จะครองโลก
2
ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองรักษาประเทศไทยและชาวโลก
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
โฆษณา