10 พ.ค. 2020 เวลา 01:30 • การศึกษา
เรียนภาษาอย่างไรให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัด
สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ครับทุกคน
1
ช่วงนี้ก็ยังเป็นคงเป็นช่วงเวลาที่เราต้องจำเป็นที่จะต้องออกจากบ้านให้น้อยที่สุดใช่ไหมครับ
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องอยู่บ้านมากขึ้น จากคนที่ไม่เคยอยู่บ้านเลย ชอบออกไปข้างนอกก็ต้องหาอะไรทำตอนอยู่บ้านแล้วล่ะทีนี้
การเรียนภาษาที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นตัวแรกๆในกรณีของผมเลยล่ะครับ
ตอนนี้ผมเรียนภาษที่ 2 แน่นอนครับต้องเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาพื้นฐานทั่วไที่หลักสุตรแกนกลางพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียนกันตั้งแต่ a ant , b bat , c cat
โดยการที่จะทำให้ภาษาที่ 2 ที่เราเรียนนั้น สามารถนำมาถูกใช้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไวว อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราอาจจะต้องเลือกที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เรียกว่า "สภาพแวดล้อม" ของเราก่อนเป็นอย่างแรกครับ
สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้เราสามารถบังคับให้ตัวเอง นำภาษาที่เราเรียนนั้นถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงแรกนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์แรก ผมเลือกที่จะเปลี่ยนการรีบรู้ทางการฟังของผมก่อนเป็นอันดับแรก ยกตัวอย่างเช่น ปกติตอนที่ตื่นเช้ามาผมจะฟังเพลงขณะออกกำลังกาย ผมจะเปลี่ยนเป็นฟังอย่างอื่นที่เป็นภาษาอังกฤษ เช่นข่าวในช่อง bbc หรือรายการ podcast ที่จะมีคนพูดเป็นภาษาอังกฤษ
ผลลัพธ์ที่ได้เหนือความคิดมากครับ
"ไม่รู้เรื่องเลย จับใจความไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมฟังนั้น เขาต้องการที่จะสื่อสารหรือพูดอะไรกัน ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว 55555555555" ขำแห้งเลยครับ
แต่ต้องขอบอกก่อน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วงแรกเท่านั้นครับ
ผมพยายามจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่บังคับไม่ได้ที่ยากที่สุดเป็นอันดับแรกนั่นก็คือ หู ของเราครับ หูเราถูกเปิดอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องรับรู้เสียงที่ได้ยินอยู่ตลอดเวลา การที่เราเอาภาษาอะไรก็ไม่รู้ในช่วงแรกไปกรอกหูเราเนี่ย อาจจะเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติไปนิดนึง เพราะปกติเราใช้ภาษาแม่ของเรามาแทบจะช่วงชีวิตทั้งหมดจนถึงปัจจุบันของเราเลย
ผมว่าการฟังนี่ล่ะคือ หัวใจหลักของการเรียนรู้ภาษาเกือบทั้งหมดบนโลก!
การคิดให้เป็นภาษานั้นๆแบบอัติโนมัติ
ผมว่าข้อนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลึกลับและออกจะเพี้ยนๆนิดหน่อยน่ะครับ 555555 บางครั้งมันก็แปลกที่ว่าอยู่ดีๆสมองเราจะคิดคำๆนึงขึ้นมาแล้วปรากฎว่า "นั่นมันไม่ใช่ภาษาที่เราใช้ปกตินี่!"
หลังจากที่ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมด้านการรับรู้จากเสียงในช่วงแรกนั้น มันจะเกิดความอยากที่จะ "เลียนแบบ" ของมนุษย์เราขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดครับ
"ผมอยากเลียนแบบเสียงที่เขาพูด" สิ่งที่สื่อสารและแสดงออกมาจากสื่อที่ผมรับมาจากการฟังนั้นเขาพูดว่ายังไงนะ แต่จะให้ถามความหมายว่าสิ่งที่เขา
พูด มันหมายความว่ายังไงผมตอบอย่างไม่ลังเลยเลยครับ "ไม่รู้จ้ะพี่ ค่อยหาทีหลัง"
หลังจากที่ผมลองฝึกพูดนั้น สมองก็จะจดจำอัติโนมัติว่าอ๋อในสถานการณ์แบบนั้นนะ เราควรจะใช้คำนี้ ประโยคนี้ รูปแบบการพูดแบบนี้ไปก่อน ยิ่งพอถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับแบบนั้น สมองก็จะบังคับตัวเองไปด้วยเช่นกันว่า "นายต้องใช้คำพูดแบบนี้สิ ถึงจะเหมาะสม!"
เราจะเริ่มงัดคำศัพท์หรือรูปแบบประโยคนั้นมาใช้ก่อน ก่อนที่จะเอาไปคิดว่า
"มันถูกหรือว่ามันผิดนะ พูดไปก่อนละกันเอาเถอะ"
นั่นเป็นสิ่งที่ถูกพิสูจน์มาหลายต่อหลายคนแล้วว่า คนที่ไปอยู่ต่างประเทศมานั้นหรือไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆทำไมถึงพูดภาษานั้นๆเก่งจัง
"เพราะว่าสภาพแวดล้อม ณ ช่วงเวลานั้น มันถูกบังคับให้ใช้นั่นเองครับ"
ไม่ใช่เพราะว่าไปเรียนภาษาเพิ่มเติม เพราะส่วนมากการเรียนภาษาเพิ่มเติมนั้นจะเป็นการเรียนเพิ่มในส่วนของเกร็ดเล็กน้อยหรือก็เป็นเรื่องเฉพาะทางซะมากกว่า
บทความนี้น่าเป็นบทความเชิงทฏษฎีที่ผมย่าจะเขียนยาวที่สุดเลยนะครับ
เพราะผมมองว่าการเรียนรู้ภาษาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องเฉพาะมาก การเรียนภาษาจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมของประเทศต่างๆได้ง่ายและเข้าใจมากขึ้น
ในอนาคตในความคิดของผมเทคโนโลยีสามารถเข้ามาแทนที่การแปลภาษาได้อยู่แล้วครับ แต่การสื่อสารภาษาแต่ละภาษาของมนุษย์ในแบบที่ใช้คำพูดเดียวกัน ลักษณะ น้ำเสียง การขึ้นลงของภาษาขณะพูด นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่ได้ยาก
แนะนำให้ทุกคนมีภาษาที่ 2 และ 3 ของตัวเองเอาไว้ครับ 4 5 6 เลยก็ได้นะ
ถ้าชื่นชอบบทความอย่าลืม! "กดไลก์ กดแชร์ และกดติดตามเพจ เอาไว้เลยนะครับ บทความก็จะมาใหม่เรื่อยๆเลย สัปดาห์ละ สองถึงสามบทความต่อสัปดาห์ครับ(อยากจะเขียนให้ทุกวันแต่คิดไม่ทัน!)
ไว้เจอกันบทความต่อนะครับ
ติดตามได้ที่นี่เลย
โฆษณา