11 พ.ค. 2020 เวลา 08:05 • ปรัชญา
ตอนที่ 1
ก่อนรักษามะเร็ง คือรักษาใจ♥️
ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ ก่อนที่จะได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดของผม ผมชื่อ นพรุจ ประภาศิริ ชื่อเล่น ชื่อเหมา อายุ 34 ปี บทความต่อไปนี้เป็นบทความที่ผมตั้งใจเรียบเรียงไว้เพื่อให้เกิดกุศลและเป็นประโยชน์ต่อผู้คนที่ต้องทนทุกข์กับ ข่าวร้ายที่สุดในชีวิตด้วยการเผชิญหน้าและรับมือกับโรคร้ายที่ชื่อว่า มะเร็ง ครับ
ทำไมถึงรู้ว่าป่วย?
ในช่วงของต้นปี 62 ผมเกิดอาการท้องผูก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ขับถ่ายดี ก็กินยาระบาย พอหายจากท้องผูก ก็ท้องเสีย ทั้งๆที่กินอาหารปกติดี แต่รู้สึกว่าร่างกายเพลียง่าย จนกระทั่งช่วงปลายๆเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2562 ผมเข้าห้องน้ำตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือ ผมพบว่าผมถ่ายออกมาเป็นเลือด เป็นน้ำเลยครับ แทบเป็นลม ตอนนั้นยังแอบคิดว่าน่าจะเป็นแค่ริดสีดวง ...
ความรู้สึกแรกคือ อาย
จะบอกกับใครดี ต้องโดนล้อแน่เลย ว่าเป็นริดซี่!! ก็เลยค้นหาข้อมูลในอินเทอเน็ต สั่งซื้อยาสมุนไพรมากินเองบ้างแต่อาการก็ยัง ไม่ค่อยปกติ เวลาขับถ่ายบางวันปวดมาก ปวดร้าวถึงท้องน้อยเลยครับ เริ่มกังวลมากขึ้น ยิ่งกังวลก็ยิ่งหาข้อมูล จนกระทั่ง ไปเจอบทความนึงที่อ่านแล้วมันทำให้ผมกลัวที่สุดคือ อาการดังกล่าวมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ได้
ความรู้สึก ปฏิเสธ
ผมเริ่มจากการปฏิเสธ!! ไม่ยอมรับ ยังคงหายามากินเองจนผ่านไปเป็นเดือน อาการของคนป่วยมันเริ่มชัด หน้าตาคล้ำลง น้ำหนักลดไป 10% จนครอบครัวผมบอกให้ไปหาหมอเถอะ แบบนี้น่าจะป่วย แล้วจะทนทรมานไปอีกนานแค่ไหน ?
ความรู้สึก กลัว
โอ๊ยไปหาหมอ ผมก็กลัวอีก กลัวต้องผ่าตัดต้องเจ็บแน่ๆ การไปหาหมอของผมถูกบังคับโดยคุณลุงของผม ท่านบอกกับผมว่า ถ้าป่วยก็ต้องรักษา แค่ริดสีดวงจะอะไรหนักหนา... ผมเลยโล่งใจ ผมตัดสินใจไปหาหมอด้วยคำว่า แค่!! มันรู้สึกสบายใจดีครับ
ช่วงพบแพทย์ (เริ่มต้น)
ผมได้ไปหมอที่โรงพยาบาลเวชธานีครับ พอผมเล่าอาการต่างๆให้หมอฟัง รวมถึงการตรวจเรียบร้อย หมอถามผมว่าที่บ้านมีใคร ป่วยเป็นมะเร็งมั้ย ? ตอนนั้นยังรู้สึกเฉยๆแล้วตอบไปว่า ไม่มีนะครับ หมอขอนัดผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจหน่อยนะ !!!! หึหึ ผ่าตัดใจผมนี่ตกลงดินเลย
ช่วงเริ่มต้นการรักษา
เอาว่ะผมเป็นคนสู้อยู่แล้วมาขนาดนี้แล้วให้มันรู้ไปเลย จนกระทั่งถึงวันผ่าตัดผมไปตามนัดด้วยความไร้กังวลจนกระทั่งผ่าตัดเสร็จ เอ๊ะไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ ยังชิวๆ ช่วงรอผลตรวจน่าจะ3 วันได้มั้งครับ ผมก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นแค่ริดสีดวงอยู่ เพราะผ่าหลังไปแล้วมันหายปวด ขับถ่ายปกติ จนกระทั่งถึงวันที่หมอนัด ไปฟังผล หมอบอกว่าสงสัยว่าจะเป็นเนื้อร้ายมันกินเข้าไปในลำไส้ นั่นก็คือ มะเร็ง นั่นแหละครับ หมอให้พักสัก 2 สัปดาห์แล้วหมอจะนัดผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออก ถ้าหมดคือจบกัน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ภาวนาเหลือเกินว่าขอให้การผ่าตัดครั้งที่ 2 ของผมมันสามารถขจัดเนื้อร้ายที่ว่านี้ออกไปได้เถอะ
เมื่อรู้ว่าป่วย เป็นมะเร็ง
ทีนี้เรื่องยาวเลยครับ เพราะ การผ่าตัดรอบที่2 มันไม่สามารถจะตัดเนื้อร้ายนี้ออกไปได้หมด คุณหมอจึงวินิจฉัยว่าผมควรจะได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด และฉายแสงร่วมด้วย ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงพอสมควร ผมต้องทำเรื่องส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลนครพนม เพื่อทำการ CTSCAN MRI ดูระยะลุกลามของเชื้อมะเร็ง ก่อนที่โรงพยาบาลนครพนมจะส่งตัวต่อมารักษาที่ ศูนย์มะเร็งอุดรธานี ครับ
ระยะทำใจ
การรักษาของผมข้ามผ่านปีใหม่ในปี 2562 ไปด้วยความทุกข์ เพราะรู้ว่า อีกไม่กี่เดือนในต้นปี 2563 ผมจะต้องเข้ารับการรักษาอาการป่วยด้วยโรค มะเร็ง ภาพของความน่ากลัว มันช่างชัดเหลือเกินในใจผมตอนนั้น
#มะเร็งกลัวความสุข
ระยะเตรียมใจ
มีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำและสำคัญมากคือ การรักษาใจ เพราะผมไม่รู้เลยว่าจะต้องเผชิญกับการรักษาแบบไหน ความเจ็บปวดขนาดไหน รู้แต่เพียงว่าทุกอย่างที่จะพบเจอนั้นจะเข้ามาเพียงลองใจ ให้เรารู้จักคำว่า อดทน มากขึ้น
ระยะการรักษาใจ
“เมื่อป่วยก็รักษา จะเป็นอะไรก็รักษาอันนั้น” คำนี้ จำขึ้นใจเลยครับจากครอบครัวผมได้บอกไว้ ทั้งที่ผมเองก็พยายามหาข้อมูลต่างๆในอินเทอเน็ตเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคนี้บ้าง คนใกล้ชิดที่รู้จักบ้าง แต่ความคิดเห็นส่วนใหญ่ มีแต่บอกผมถึงความน่ากลัวของมะเร็ง สิ่งแรกที่ผมทำในการรักษาใจคือ “ขจัดความกลัว” เพราะความกลัวมัน อาจจะทำให้ผมปฏิเสธการรักษาได้ เมื่อผมพร้อมที่จะรับมือกับโรคร้ายนี้แล้ว ผมบอกกับตัวเองว่าจะมีชีวิตที่เหลืออยู่อีกนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจไว้แล้วคือ “จะเป็นอะไรเป็นเถอะแต่สิ่งที่เป็นนี้ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น” มันอาจจะเป็นกุศลที่คลายความทุกข์ใจของหลายคนที่ต้องเผชิญกับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตแบบผมก็ได้
#มะเร็งกลัวความสุข
จนกระทั่งถึงวันนัดแรกที่มาพบคุณหมอ ผมถือซีดีผลการตรวจ CTSCAN MRI ผลการตรวจคลื่นหัวใจ และใบส่งตัวจาก โรงพยาบาลนครพนมมาพบคุณหมอ คุณหมอได้อธิบายกระบวนการรักษาต่างๆให้ผมฟังจนเข้าใจ... ว่าผม ต้องให้คีโมกี่ครั้ง ต้องฉายแสงกี่ครั้ง และคีโมที่จะให้ค่อนข้างแรงแต่หมอจะให้เท่าที่ร่างกายคนไข้รับไหว แล้วคุณหมอก็จบด้วยคำถามว่า คนไข้เครียดมั้ย? ผมมองหน้าคุณหมอด้วยรอยยิ้มและบอกคุณหมอว่า ผมพร้อมแล้วครับ! คุณหมอยิ้มและบอกกับผมว่า สู้ๆนะ หมอจะดูแลให้อย่างเต็มที่
นี่คือจุดเริ่มต้นของ “การรักษาใจ” ของผม ด้วยการเก็บเอาความสุขเล็กๆน้อยมาเป็นพลังให้ตัวเองอดทนและสู้ต่อไปผมจะผ่านวันที่หมดหวังนี้ไปได้อย่างไร?
ทุกท่านรู้มั้ยครับ ภายนอกที่ดูอดทนยิ้มแย้ม เพื่อรักษาความรู้สึกของคนรอบข้างที่รักเรา ครอบครัว แต่ความรู้สึกลึกๆภายในใจผมโคตรกลัวเลยครับ....
#มะเร็งกลัวความสุข
มาถึงตรงนี้ ท่านคงอยากจะทราบแล้วใช่มั้ยครับว่าผมเริ่มเตรียมตัวเองอย่างไร เมื่อต้องเข้ารับการรักษามะเร็งที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งอุดรธานี และผมจะรับมือกับผลการรักษาอย่างไร? ไว้ผมมาเขียนต่อในตอนต่อไปนะครับ
ท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้ผม ผมอยากให้เรื่องราวที่ผมเขียนนี้เป็นกุศลต่อใครหลายคนที่อาจจะต้องพบเจอกับข่าวร้ายแบบผมครับได้มีกำลังใจและอดทนครับ เพราะ “เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ เรามีคนที่รักเราอยู่รอบๆเสมอครับ”
ตอนที่ 2 ยิ้มเยอะๆ ให้อภัย กำลังใจมาเอง
ตอนที่ 3 เปลี่ยนมะเร็งให้กลายเป็นสเต็มเซลล์
“น้ำตาเม็ดใหญ่ที่สุดที่ผมเคยร้องไห้ ความเจ็บปวดที่ทำให้ทุกเซลล์ของผมสั่นไม่เป็นจังหวะ” ผมมีสองทาง คือ เดินหน้าหรือถอยหลัง และผมเลือกที่จะเดินหน้า ฝ่าฝันความเจ็บปวดนี้ ผมทำได้อย่างไร ติดตามตอนหน้านะครับ
1
#มะเร็งกลัวความสุข
โฆษณา