13 พ.ค. 2020 เวลา 01:54 • ท่องเที่ยว
St. Francis of Assisi Church

โบสถ์แห่งเทพนิยาย และรักไม่รู้คลายของจอมจักรพรรดิ

โบสถ์แห่งเทพนิยาย และรักไม่รู้คลายของจอมจักรพรรดิ
โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิ (St. Francis of Assisi Church) ที่หลายคนบอกว่า เหมือนปราสาทดิสนีย์
"ไปเที่ยวปราสาทดิสนีย์แลนด์กันไหม"
มีผู้เอ่ยปากชวนขึ้น ตอนที่ผู้เขียนกำลังอยู่ระหว่างการตะลอนๆ ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ทำเอาชะงักไปนิดหน่อย เพราะไม่เห็นจะรู้เลยว่า ในกรุงเวียนนามีดิสนีย์แลนด์กับเขาด้วย
ก็ไม่มีน่ะซิคะ ดินแดนที่อบอวลไปด้วยศิลปะ ดนตรี และความรักนี้ แม้จะมีสถานที่เที่ยวสนุกแบบเด็กๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีสวนสนุกชื่อดังของโลก ทว่า เมื่อมีคนพูดอย่างนี้แล้ว จะไม่ลองไปก็กระไรอยู่ ว่าแล้ว ก็จับรถไฟฟ้าใต้ดินสาย U1 ไปลงที่สถานี Vorgartenstrasse แล้วเดินต่อไปอีกไม่ไกล จนมองเห็นป้าย จัตุรัสเม็กซิโก (Mexico Square, The Mexikoplatz) จากนั้น มองไปรอบๆ ก็จะเห็นแล้วค่ะ ปราสาทสูงเด่นที่จะว่าไป ก็เหมือนปราสาทในเทพนิยายจริงๆ
ด้วยลักษณะสูง ด้านบนมีหอคอยหลัก 3 ยอด ก่อเป็นหลังคาทรงแหลมสีแดง ส่วนที่เตี้ยลงมา ยังมีหอคอยขนาดเล็กอีกหลายหอที่มีหลังคาสีแดงเด่นเช่นกัน ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของตัวอาคาร ก่อด้วยอิฐสีอ่อน มีบานหน้าต่างรับแสงจำนวนมาก
แล้วนี่คือปราสาทราชวังของใครกันล่ะ
ต้องเฉลยแล้วค่ะว่า นี่ไม่ใช่ปราสาท ไม่ใช่วัง แต่เป็นโบสถ์แคทอลิค ด้วยความที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสเม็กซิโก ทำให้ผู้คนมักจะเรียกโบสถ์แห่งนี้ว่า โบสถ์เม็กซิโก (Mexico Church) แต่ชื่ออย่างเป็นทางการของโบสถ์ที่งามสง่าดุจหลุดออกมาจากภาพในจินตนาการนี้ คือ โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิ (St. Francis of Assisi Church)
และยังมีชื่ออีกชื่อหนึ่งที่ถูกใช้เรียกขานมากอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยฮิตเท่าชื่อโบสถ์เม็กซิโก คือ โบสถ์แห่งการเฉลิมฉลองของจักรพรรดิ (Emperor's Jubilee Church) เนื่องจากโบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้น ด้วยวัตถุประสงค์หลักในการเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติยาวนาน 50 ปี ของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ 1 (Franz Joseph I or Francis Joseph I) แห่งออสเตรีย-ฮังการีในปี ค.ศ.1898
โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิ (St. Francis of Assisi Church) ที่หลายคนบอกว่า เหมือนปราสาทดิสนีย์
โบสถ์นี้ตั้งอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำดานูปอันมีชื่อเสียงค่ะ เรียกว่า หากมาเที่ยวที่นี่เพื่อชมสถาปัตยกรรมอันอลังการแล้ว เดินลัดเลาะออกมาอีกนิดเดียวก็จะเจอแม่น้ำที่ว่ากันว่า โรแมนติคที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป นั่นคือมาทีเดียว ได้เที่ยวสองอย่าง
แต่ขอแทรกนิดนึงว่า แม้สถานที่บริเวณนี้จะเรียกว่าจัตุรัสเม็กซิโก แต่ก็ไม่ได้มีชาวเม็กซิกัน หรือร้านอาหารเม็กซิกันมาอยู่แถวนี้หรอกนะคะ เพราะในการตั้งชื่อจัตุรัสนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเป็นถิ่นฐานของชาวเม็กซิกันแต่ประการใด แต่ชื่อนี้ตั้งขึ้นใน ค.ศ.1956 ก็เพื่อให้เกียรติที่เม็กซิโกเป็นเพียงประเทศเดียวที่คัดค้านการผนวกออสเตรียของนาซีเยอรมันใน ค.ศ.1938
ส่วนตัวโบสถ์ที่เรากำลังมาเยี่ยมชมกันนี้ เกิดขึ้นมาก่อนตั้งราว 6 ทศวรรษ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า สร้างโบสถ์นี้ในวาระการฉลองกาญจนาภิเษกขององค์จักรพรรดิ ซึ่งในตอนนั้น ได้มีการเปิดให้เหล่าสถาปนิคต่างๆ ได้มาแข่งขันออกแบบ และผู้ชนะคือ Victor Luntz ที่วาดภาพฝันออกมาได้งดงามอย่างนี้
หลังจากชนะการประกวดแล้ว โบสถ์เพื่อการฉลองครองราชย์ 50 ปีนี้ก็ได้ถูกสร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ.1898-1910 และได้รับอนุญาตให้เป็นศาสนสถานอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 และในปัจจุบันนี้ ชุมชนแคทอลิคที่พูดภาษาอังกฤษ จะมารวมตัวทำพิธีที่โบสถ์นี้ทุกอาทิตย์
โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิ (St. Francis of Assisi Church) ที่หลายคนบอกว่า เหมือนปราสาทดิสนีย์
จากด้านนอกที่เราได้เห็นโบสถ์อันงดงามเหมือนปราสาทในเทพนิยายนั้น ด้านในก็ประดับตกแต่งอย่างหรูหราอลังการไม่แพ้กัน มีภาพวาด และประติมากรรมของพระเยซู พระนางมารีย์ ส่วนที่ผนังมีกรอบรูป ที่รังสรรค์เป็นภาพนูนในช่วงเหตุการณ์พระทรมานของพระเยซู (Passion of Jesus) และในส่วนที่เป็นหอคอยหลักทั้ง 3 หอนั้น หากขึ้นไปด้านบน ก็สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเวียนนาได้ไกลหลายกิโลเมตร
ด้านในโบสถ์
ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในโบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซินี้ คือโบสถ์น้อยอลิซาเบธ (Elizabeth Chapel, Elisabethkapelle) ซึ่งมีความสูง 13.5 เมตร กว้าง 10 เมตร เป็นโบสถ์น้อยทรง 8 เหลี่ยม สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระจักรพรรดินีอลิซาเบธ (Elisabeth of Austria) พระชายาในพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ 1 นั่นเอง ทำให้โบสถ์แห่งนี้ เป็นทั้งที่ระลึกถึงทั้งสองพระองค์
ด้านในโบสถ์
อันว่าพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ 1 นั้น เป็นพระประมุขที่สำคัญมากที่สุดพระองค์หนึ่งของออสเตรีย-ฮังการี พระองค์ครองราชย์ตั้งแต่ ค.ศ.1848 เมื่อพระชนม์เพียง 18 ชันษา และสวรรคตในปี ค.ศ.1916 รวมระยะเวลาครองบัลลังก์นานถึง 68 ปี พระองค์ได้ชื่อว่า โปรดการเป็นทหารอย่างยิ่ง หลังจากเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ 13 ชันษา ก็แทบจะทรงชุดทหารที่เห็นกันจนชินตาเกือบตลอดพระชนม์ชีพ
และสิ่งที่มีสีสันมากที่สุดตลอดรัชสมัยของพระองค์ คือ พระชายาอลิซาเบธ พระจักรพรรดินีผู้โด่งดังในเรื่องพระสิริโฉมที่งามเด่น ถึงกับมีคนพูดว่า เป็นเชื้อพระวงศ์ที่สวยที่สุดของยุโรปในยุคนั้น ทรงเป็นเจ้าที่ทั้งยุโรปจับตามอง แต่ถึงกระนั้น อลิซาเบธผู้เลอโฉม ก็มีพระชนม์ชีพอันน่าเศร้าสลด
จะว่าไปแล้ว จักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ 1 และจักรพรรดินีอลิซาเบธ ทรงเป็นพระญาติที่ถือว่าใกล้ชิดกันมาก เนื่องจากพระราชมารดาของทั้งสองพระองค์เป็นพี่น้องกัน และผู้ที่ชักนำให้เกิดการอภิเษกสมรสนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าหญิงโซฟีแห่งบาวาเรีย (Princess Sophie of Bavaria) ซึ่งก็คือพระราชมารดาของจักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ 1 นั่นเอง ที่มีพระประสงค์ให้โอรสอภิเษกกับลูกพี่ลูกน้อง แบบเรือล่มในหนอง ทองเป็นของทั้งสองฝ่าย
จึงชักนำจัดแจงให้พระโอรสได้พบกับธิดาของเจ้าหญิงลูโดวิกา (Princess Ludovika of Bavaria) พระขนิษฐภคินี (น้องสาว) ของพระองค์
อันว่าพระธิดาของเจ้าหญิงลูโดวิกา ที่เจ้าหญิงโซฟีหมายตาเอาไว้ คือดัชเชสเฮลีน (Helene Caroline Therese, Duchess in Bavaria) แต่ในตอนที่ได้มาพบกับจักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ ๑ นั้น ได้พาน้องสาวอีกคนมาด้วย นั่นก็คือดัชเชสอลิซาเบธ ซึ่งมีพระนามเรียกกันเล่นๆ ว่าซีซี่ (Sisi) และก็เพราะได้มาเจอนางที่งามล้ำนี่เอง ทำเอาฟรานซ์ โจเซฟตะลึงงัน แล้วประกาศก้องว่า จะไม่ยอมอภิเษกสมรสกับใครเด็ดขาด หากไม่ใช่ซีซี่
แหม จะว่าไป ก็เข้าทางพระราชมารดานะคะ เพราะวัตถุประสงค์ที่จัดแจงให้ลูกพี่ลูกน้องได้พบกัน ก็เพราะหวังจะให้มาอภิเษกกันนั่นแหละ แต่เกิดผิดฝาผิดตัวเสียนี่ และเจ้าหญิงโซเฟียโปรดดัชเชสเฮลีนมากกว่า แต่ไม่โปรดดัชเชสอลิซาเบธเอาเสียเลย อาจจะเพราะพระอุปนิสัยไม่ต้องกัน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อพระโอรสประกาศลั่นวังซะอย่างนั้น
ในที่สุด จักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ 1 ก็อภิเษกสมรสกับซีซี่ เมื่อ 24 เมษายน ค.ศ.1854 ที่กรุงเวียนนา พระนางได้เป็นพระจักรพรรดินีด้วยพระชนม์มายุเพียง 17 ชันษา ที่สำคัญคือ เป็นพระชายาที่พระสวามีทรงรักใคร่อย่างสุดซึ้งตลอดพระชนม์ชีพ
ทว่า ท่ามกลางรักอันร้อนแรงนั้น อย่าลืมค่ะว่า พระสัสสุ (แม่สามี) ไม่พอพระทัยอยู่แล้ว เล่าลือกันอื้ออึงไปทั้งสำนักพระราชวังว่า "แม่ผัว-ลูกสะใภ้" มีเรื่องกันไม่เว้นแต่ละวัน ในบันทึกประวัติศาสตร์บอกว่า พระจักรพรรดินีไม่มีความสุขเลยที่เวียนนา เพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสำนักพระราชวังออสเตรียได้ ซึ่งก็คือเข้ากับแม่ผัวไม่ได้นั่นแหละ
แม้กระทั่งเมื่อมีพระราชโอรส-ธิดา ก็มีปัญหาว่าเจ้าหญิงโซเฟียมาจัดการเอาไปเลี้ยงดูทั้งหมด ไม่เปิดโอกาสให้พระจักรพรรดินีอลิซาเบธได้ชื่นชมโอรส-ธิดาของพระองค์เองเลย แต่ถึงกระนั้น ซีซี่ก็รักโอรส-ธิดาของพระองค์ไม่ต่างจากแม่คนอื่นๆ
พระจักรพรรดิ และพระจักรพรรดินี มีราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 4 พระองค์ ในจำนวนนี้ มีพระราชโอรสเพียง 1 พระองค์ คือ อาร์ชดยุกรูดอล์ฟ องค์รัชทายาท (Archduke Rudolf, Crown Prince of Austria-Hungary) ซึ่งแม้พระมารดาจะไม่ได้อุ้มชูมาด้วยพระองค์เอง แต่อาร์ชดยุกรูดอล์ฟก็เป็นความหวังของพระจักรพรรดินีอลิซาเบธ ทว่า เรื่องร้ายก็ถาโถมใส่พระนางอย่างไม่หยุดยั้ง
ในขณะที่พระนางกับพระสวามีอภิเษกสมรสกันด้วยความรัก และรักกันมั่นคงตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แต่องค์มกุฎราชกุมารรูดอล์ฟกลับไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์วิวาห์กับเจ้าหญิงสเตฟานี่แห่งเบลเยียม (Princess Stéphanie of Belgium) ในปี ค.ศ.1881 แต่ต่อมา ในปี ค.ศ.1888 พระองค์ได้พบกับบารอนเนสแมรี่ เว็ทเซร่า (Baroness Marie Vetsera)
สิ่งเดียวที่อาจจะเหมือนพระราชบิดาก็คือ เพียงพบพระสบพักตร์ ก็นึกรักเข้าเสียแล้ว ในตอนนี้ องค์รัชทายาทวัย 30 พรรษา กับสาวน้อยอายุเพียง 17 ปี เกิดตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้ง เกิดเป็นรักลับซ่อนเร้น แต่อย่างว่าแหละค่ะ เรื่องในสำนักพระราชวังนี่ ไม่ว่าจะวังไหนๆ ก็เห็นจะหาคำว่าความลับไม่เจอ รักลับๆ ที่ไม่ลับนี้ ก็เลยถูกเจ้าหญิงสเตฟานี่ พระชายาตัวจริงเสียงจริง "เอาเรื่อง" อย่างหนัก ในที่สุด จุดจบก็เลยลงเอยด้วยความเศร้า เมื่อมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟตัดสินพระทัยยุติปัญหารัก 3 เส้าด้วยเลือด
ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1889 มีรายงานว่า เจ้าชายรูดอล์ฟยิงสนมลับตาย ก่อนที่จะหันปากกระบอกปืนมาปลิดพระชนม์ชีพของพระองค์ไปด้วย แน่นอนว่า เหตุการณ์นี้ นำมาซึ่งความเศร้าโศกอย่างที่สุดของพระจักรพรรดินีอลิซาเบธผู้เป็นพระมารดา หลังจากวันนั้น ซีซี่ผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงที่ทรงพระสิริโฉมที่สุดในยุโรปก็ทรงภูษาสีดำไปตลอด และแทบไม่ปรากฎกายให้ใครได้เห็นอีกเลย
อ่ะ เดี๋ยวก่อน จริงหรือที่องค์รัชทายาทปลงพระชนม์ชีพของพระองค์เอง เพียงเพราะปัญหาความรักหนักอก แม้ว่าจะมีประกาศเช่นนั้นออกมาในตอนแรก แต่ต่อมาก็มีหลักฐานใหม่ๆ ที่ชี้ออกไปอีกด้านว่า น่าจะเป็นการลอบปลงพระชนม์มากกว่า แต่ถึงกระนั้น ความจริงทั้งหมดก็ไม่กระจ่างแจ้ง เป็นอีกคดีหนึ่งในราชวงศ์ยุโรปที่ถือว่ายังดำมืด และมีการถกเถียงกันให้วุ่นวายมาจนปัจจุบัน
แต่ตอนนี้ ขอย้อนไปที่พระจักรพรรดินีอลิซาเบธ หรือซีซี่ของเราก่อนนะคะ ครั้นเมื่อพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวทิวงคตไปแล้ว พระนางก็ออกตระเวณประพาสไปโน่น มานี่ เรียกว่า เที่ยวพักผ่อนคลายเครียดไปเรื่อยๆ แต่เรื่องร้ายก็ยังไม่หมดค่ะ เมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ.1898 ตอนที่พระนางมีพระชนม์ชีพได้ 60 พรรษา ขณะประพาสที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ก็มีกระทาชายนายลุยจิ ลูเชนี (Luigi Lucheni) นักนิยมอนาธิปไตยได้ลอบสังหารสมเด็จพระจักรพรรดินีจนสวรรคตด้วยตะไบเล็กๆ อันหนึ่ง
เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนที่พระนางกำลังขึ้นเรือ และถูกแทงเข้าโดยที่ยังไม่ได้รู้สึกพระองค์มากนัก แต่ต่อมาก็มีพระอาการทรุดหนัก ครั้นเมื่อสวรคตแล้ว มีการพิสูจน์พระศพ จึงได้พบว่า อาวุธสังหารนั้นเล็กมาก จนแทบมองไม่เห็นจากภายนอก กอปรกับไม่มีพระโลหิตไหลออกมาให้เห็น ในช่วงแรกจึงยังไม่ทราบกันว่าพระนางบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากตะไบถูกแทงลึกเข้าไปถึงพระหทัย ในขณะที่อีตาลุยจิ ผู้ก่อการนั้น ก็ให้การแบบน่าโมโหว่า อันที่จริง ตั้งใจจะมาลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ฝรั่งเศส แต่คลาดกัน เลยเปลี่ยนเป้าสังหารซะอย่างนั้น
แล้วพระจักรพรรดิล่ะ เป็นอย่างไร พระองค์สูญเสียทั้งพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว และยังต้องมาสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักดั่งดวงหฤทัยด้วย แม้พระองค์จะมีพระชนม์ชีพต่อมาอีก 18 ปี แต่องค์จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟไม่เคยคลายความโศกเศร้าจากการสวรรคตของพระชายา มีบันทึกว่า พระองค์ตรัสกับผู้คนว่า
“พวกท่านไม่รู้หรอกว่า นาง (พระจักรพรรดินี) สำคัญกับข้าพเจ้าขนาดไหน”
และ
“พวกท่านไม่มีทางรู้หรอกว่า ข้าพเจ้ารักนางมากเพียงไร”
แค่ได้อ่านจากบันทึกยังอดไม่ได้ที่จะเศร้าไปกับพระองค์นะคะ คนที่ได้ฟังพระองค์ตรัสประโยคเหล่านี้ออกมาตรงๆ คงอดน้ำตาร่วงไม่ได้
ด้านข้างโบสถ์
กลับไปที่โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิที่เรากำลังเยี่ยมชมกันนะคะ แหม ออกนอกเรื่องมาซะไกลเลย แต่ทั้งหมดนี้ ก็เพราะเรากำลังกล่าวถึงส่วนสำคัญในโบสถ์ คือ โบสถ์น้อยอลิซาเบธ
อันว่าโบสถ์น้อยนี้ สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคจากประชาชนผ่านสภากาชาดค่ะ เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดินีทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สภากาชาด และมีเงินที่ได้จากการบริจาคจำนวนมาก เนื่องจากปวงพสกนิกรต่างก็รัก “ซีซี่” ของพวกเขา จึงนำเงินมาสร้างโบสถ์น้อยแห่งนี้เป็นอนุสรณ์ถึงพระนาง มีการตกแต่งโบสถ์น้อยนี้ด้วยโมเสคสีทอง แต่งผนังด้วยหินอ่อน และมีโมเสคภาพของนักบุญอลิซาเบธแห่งฮังการีด้วย
โบสถ์น้อยนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1907 ได้รับอนุมัติให้เป็นศาสนสถานเมื่อ ค.ศ.1908 คาดว่า พระสวามีอันเป็นที่รักของพระนางคงจะเคยได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ ก่อนที่พระองค์จะเป็นนิวมอเนีย สวรรคตเมื่อ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1916 ท่ามกลางความวุ่นวายของยุโรปในขณะนั้น แต่รักมั่นของทั้งสองพระองค์ไม่เสื่อมคลาย และเราจะเห็นภาพอันเลือนลางแห่งรักของทั้งสองพระองค์ได้ที่โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิแห่งนี้
ศาสนสถานที่งามประหนึ่งปราสาทในเทพนิยายยืนตระหง่านได้เราได้ชื่นชม และร่วมรำลึกถึงเรื่องราวหนหลังอันเป็นความผูกพันของจักรพรรดิฟรานซ์ โจโซฟที่ ๑ และจักรพรรดินีอลิซาเบธ
ความผูกพันนับจากวันแรกพบประสบพักตร์ จนถึงวันที่สมเด็จพระจักรพรรดิตรัสว่า “พวกท่านไม่มีทางรู้หรอกว่า ข้าพเจ้ารักนางมากเพียงไร”
แต่ความยิ่งใหญ่ของโบสถ์แห่งเทพนิยายนี้ คล้ายจะกระซิบบอกความรักอันล้นเอ่อนั้นให้เราได้ยินเพียงเบาๆ ณ ริมฝั่งแม่น้ำดานูป ที่ทั้งสองพระองค์คงเคยทรงพระเกษมสำราญ
โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิ (St. Francis of Assisi Church) ที่หลายคนบอกว่า เหมือนปราสาทดิสนีย์
หมายเหตุ
ชื่ออย่างเป็นทางการของโบสถ์ที่คล้ายปราสาทในเทพนิยายนี้ คือ โบสถ์นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซิ ได้ชื่อมาจากนักบุญชาวอิตาเลียน ผู้ก่อตั้งคณะสงฆ์นิกายฟรานซิสกันในปี ค.ศ.1209 และได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญในปี ค.ศ.1228

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา