14 พ.ค. 2020 เวลา 01:30 • ธุรกิจ
Digital Currency มีบทบาทต่อเศรษฐกิจอย่างไร?
ทำไมจีนถึง สร้าง Digital Yuan ขึ้นมา?
บทความนี้มีคำตอบครับ...
รูปภาพโดย https://toshitimes.com
ตามหลักทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์ที่เราได้เคยเรียนมาตัวชี้วัดที่ว่า เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ที่มักใช้กันก็คือ GDP (gross domestic product) หรือ เรียกภาษาไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นตัววัดว่า ปีนี้หรือไตรมาสนี้เศรษฐกิจจะโตเท่าไหร่? อะไรทำนองนี้ ส่วนเจ้า GDP หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเนี่ยก็จะประกอบไปด้วย
C+I+G+(X-M) แต่ละส่วนประกอบก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ละตัวมีอะไรบ้าง?
C (Consumption) = การบริโภคภาคเอกชน
I  (Investment) = การลงทุน
G (Government Spending ) = การใช้จ่ายของรัฐบาล
X (Export) = การส่งออก
M (Import) = การนำเข้า
ถ้าการประชาชนมีการบริโภคจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น (C) มีการลงทุนเพิ่มขึ้น (I) รัฐบาลใช้จ่ายมากขึ้น (G) ส่งออกมากขึ้น (X) นำเข้าน้อยๆ (M) เศรษฐกิจภายในประเทศนั้นๆก็จะดีขึ้นตามไปด้วย แต่ยังมีตัววัดขนาดเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่ง นั่นก็คือ
การหมุนของเงิน หรือ Money Velocity
ซึ่งสูตรของตัวนี้ก็คือ GDP = M x V
ซึ่ง M ก็คือ Money Supply หรือ ปริมาณเงินที่อยู่ในระบบ
M ที่มักนิยมใช้กันก็คือ M1 หรือ M2 ซึ่ง M1 ประกอบไปด้วย ธนบัตร + เหรียญกษาปณ์ + เงินฝากกระแสรายวัน และ M2 ประกอบไปด้วย M1+ เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำของประชาชน ส่วน V ก็คือ Velocity of  Money หรือ การหมุนของเงิน
หลายคนอาจจะงงการหมุนของเงิน คืออะไร ? คือ การที่เงินถูกสับเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ อย่างเช่น เราไปซื้อของที่ร้านค้า แล้วร้านค้านั้นก็นำเงินไปซื้อวัตถุดิบต่อ ส่วนกิจการที่ขายวัตถุดิบก็นำไปซื้อมาจากเจ้าอื่นต่อ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ..
มาดูสูตรกันต่อ GDP = M x V ถ้าปริมาณเงินมีในระบบเยอะ (M) และ การหมุนของเงินในระบบเยอะ (V) ก็จะทำให้ GDP หรือเศรษฐกิจของเราโตขึ้น ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ ขอยกตัวอย่างร้านอาหาร สมมุติร้านอาหารร้านหนึ่ง มี 4 โต๊ะ สมมุติว่าโต๊ะ คือ M แล้วลูกค้าก็มาทานอาหารเรื่อยๆ สมมุติลูกค้าคือ (V) ถ้าร้านนี้ มีลูกค้าเข้าออกบ่อยๆกินเสร็จเข้า กินเสร็จเข้า รายได้ก็จะมากขึ้น เปรียบเหมือน GDP แต่อีกร้าน มี 4 โต๊ะเท่ากัน แต่ลูกค้ามากินทีนั่ง 2-3 ช.ม. แล้วลูกค้ารายต่อไปถึงจะได้เข้า ก็เปรียบเสมือน V น้อย ก็จะทำให้ รายได้น้อยลงไปด้วย เช่นเดียวกับ GDP หรือ เศรษฐกิจ  เป็นต้น
รูปภาพโดย รายการ คู่หูนักลงทุน กสิกรไทย
เรามาดูภาพต่อไป Money Velocity หรือ (V) ของประเทศ สหรัฐกับจีน จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ปี 2008 ที่เกิดวิตกฤตเนี่ย การหมุนเงินของ 2 ประเทศนี้ลดลงเรื่อยๆ 2 ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า Money Velocity ของประเทศจีนต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 0.4-0.7 เท่า ถ้าเทียบกับสหรัฐ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ทุกครั้งที่จีนใส่เงินเข้าไปในระบบเงินจะหายไปครึ่งหนึ่ง และที่ผ่านมาตั้งแต่ ปี 2008 มาทุกครั้งที่เศรษฐกิจโตขึ้น โตขึ้นมาจากการพิมพ์เงินเข้าไปในระบบทั้งสิ้นในขณะที่การหมุนเวียนของเงิน (V) ลดลงเรื่อยๆ สาเหตุก็เพราะว่า V มันลดลงเรื่อยๆรัฐบาลจึงเพิ่ม M เข้าไปเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจมันโต แต่หารู้ไหม ถ้าโลกเราจะยังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจะเกิดอะไรขึ้น?
แน่นอน เมื่อพิมพ์เงินเข้าไปคูณกับการหมุนของเงิน มันจะทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้น แต่ตอนนี้ V มันต่ำมันจึงทำให้ไม่เกิดเงินเฟ้อถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเรายังทำแบบนี้ต่อไปหล่ะ? แต่หารู้หรือไม่  การพิมพ์เงินนั้นเข้าไปเรื่อยๆนั้นมันทำให้เกิด สิ่งที่เรียกว่า หนี้!! แล้วถ้าอนาคตมันเกิดเงินเฟ้อขึ้นมาบวกกับหนี้มหาศาลที่เราพิมพ์เงินอัดเข้าไปหล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ทางรัฐบาลจีนจึงคิดหาวิธีเพิ่ม V หรือ การหมุนของเงิน แทนที่จะไปเพิ่มในส่วนของ M หรือ การพิมพ์เงินนั่นเอง ซึ่งก็คือ....
รูปภาพโดย รายการ คู่หูนักลงทุน กสิกรไทย
Digital Currency ทางรัฐบาลจีน จึงสร้าง Digital Yuan ขึ้นมา โดยผู้ออกเป็นธนาคารกลางจีนซึ่ง ธนาคารกลางจีนเป็นผู้ดูแลระบบนี้ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจาก Cryptocurrency หรือ เงินสกุลดิจิตอล ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมหรือจัดการโดยหน่วยงานทางการเงินหรือธนาคารใดๆ โดยกลไกลการทำงานหลักๆของเจ้า Digital Yuan เนี่ย  (ตามภาพ)
รูปภาพโดย รายการ คู่หูนักลงทุน กสิกรไทย
จะแลกเปลี่ยนโดยผ่านตัวกลางธนาคารพาณิชย์ของจีน โดยธนาคารพาณิชย์จะนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็น Digital Yuan กับธนาคารกลาง  แล้วนำมาแลกเปลี่ยนผ่านประชาชนอีกทีหนึ่ง แล้วพอประชาชนจับจ่ายใช้สอยเป็น Digital Yuan ให้ภาคธุรกิจ ภาคธุรกิจก็จะนำเงินที่ได้เป็น Digital Yuan เนี่ยก็นำไปฝากหรือคืนหนี้ธนาคารพาณิชย์ อีกที แล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเจ้า Digital Yuan เนี่ยจะช่วยเพิ่ม Money Velocity ยังไง?
เพราะเปลี่ยนจากเงินที่เป็นเงินกระดาษ เปลี่ยนเป็นเงินที่ไม่มีกระดาษ เพราะจะทำให้ความเร็วในการเปลี่ยนมือเนี่ยเร็วกว่าการใช้กระดาษ โดยเวลาเราจะซื้อของ เราก็ไม่ต้องจ่ายเงินผ่านระบบธนาคารแล้ว (Mobile Banking) เป็นการจ่ายเงินโดยตรงให้กับธุรกิจเลย โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางธนาคารพาณิชย์เลย โดยกำหนด 1 Yuan เท่ากับ 1 Digital Yuan ที่ธนาคารกลางกำหนดแบบนี้เพราะว่า ไม่ต้องการให้เกิดการพิมพ์เงินเพิ่ม แต่จะเป็นการเพิ่ม Velocity แทน โดยในตอนนี้ จีน ก็ได้ทดสอบ Digital Yuan ก่อนแล้ว 4 เมือง ได้แก่ สงอัน ซูโจว เฉิงตู และ เชินเจิ้น
1
แล้วนอกจากเหตุผลอื่นๆที่จีนเปลี่ยนมาเป็นระบบ Digital Yuan เพราะว่า ต้องการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย และ ต้องการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนประเทศอเมริกาโดยให้ทั่วโลกหันมาใช้เงินในระบบ Digital Yuan มากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อขายน้ำมัน เป็นเงิน Digital Yuan โดย จีน ได้จับมือกับ รัฐเซีย เพื่อไปโค่น ซาอุ กับ อเมริกา ที่ยอมให้การซื้อขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลลาร์
ถ้าอเมริการู้แบบนี้แล้วคุณคิดว่าอเมริกาจะยอมไหม? แน่นอนไม่ยอม ทางฝั่งอเมริกาจึงสร้างระบบ Digital Currency ที่ชื่อว่า LIBRA 2.0 มาแข่งกับ Digital Yuan และระบบการเงินโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามกันครับ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ ถ้าใครอยากได้ความรู้ดีๆแบบนี้อย่าลืมกดติดตามไว้นะครับ ขอบคุณครับ 🙏
ที่มา: รายการคู่หูนักลงทุน
โฆษณา