14 พ.ค. 2020 เวลา 09:07 • ท่องเที่ยว
แสงสุดท้ายที่ใครๆก็หลงไหล
ภาพจาก เที่ยวที่แล้ว
เที่ยวที่แล้ว ได้มีโอกาสได้ลาพักร้อนยาวๆซึ่งตรงกับช่วงเดือนธันวาคมพอดี
รอบนี้รอนานมากกว่าจะได้หยุดยาวสักที เพราะติดลูกค้าที่เลื่อนการรับของออกไปหลายรอบ
ด้วยกันค่ะ
พอทำงานไม่ได้หยุดพักเลย ความเบื่อหน่ายมันก็เริ่มกลับมา ความเหนื่อยล้าก็เริ่มครอบงำ
ในใจตอนนั้นอยากออกไปหา passion ในการทำงานแล้วค่ะ
หลังเลิกงานวันนั้น6โมงเย็นไม่รอช้าค่ะ อาบน้ำเสร็จก็รีบเก็บเสื้อผ้าสัมภาระต่างๆ
ใส่เป้40ลิตรและก่อนออกจากบ้านก็ไม่ลืมที่จะหยิบตั๋วโดยสารที่ใช้พี่วินไปจองให้
ที่สถานีขนส่งเอกมัย ขึ้นรถตรงไปเกาะช้างที่เดิมอีกเช่นเคยค่ะ
[ ถึงตรงนี้อยากเล่าถึงความรู้สึกส่วนตัวของเราถึงการได้ออกเดินทางสักหน่อยค่ะ ]
ถึงแม้ว่าการเดินทางไปที่ไหนสักแห่งเรามักจะไปแต่ที่เดิมๆมุมเดิมๆ
แต่มุมมองต่างรวมถึงประสบการณ์ข้างทางที่เราได้รับนั้นจะแตกต่างกันออกไปทุกครั้ง
และไม่เคยเบื่อเลยจริงๆค่ะ
ฉะนั้นการได้ออกเดินทางมันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้รับอิสระภาพจากพันธนาการต่างอย่าง
แท้จริงเลยละค่ะ
หลังจากที่ลงจากเรือโดยสารเฟอรี่ เราก็ต่อโดยสารสาธารณะ ชื่อว่า2 แถวค่ะ ด้วยค่ารถ
คนละ80บาทค่ะ เพราะบนรถมีหลายคนก็ร่วมกันหารค่าโดยสารค่ะ
ว่าด้วยของการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะแบบนี้มันมีข้อดีอีกด้านก็คือ มันสามารถ
เปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางของคุณที่แตกต่างไปจากเดิมกว่าทุกครั้งค่ะ
[โดยเฉพาะรถไฟค่ะ เดี่ยวรอบหน้ามาเล่าให้ฟังกันนะคะ]
การเดินทางด้วยรถ 2 แถวที่ว่านี่นะคะ คุณจะได้รับประสบการณ์ที่ต่างจากการเดินทางด้วยรถ
ส่วนตัวไปอย่างสิ้นเชิงเลยละค่ะ นั่นก็คือการชมทัศนียภาพบรรยากาศต่างๆจาก 2 ข้างทาง
และยังได้เจอเพื่อนร่วมเดินทางใหม่ๆเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ดีต่อกันอีกด้วยละค่ะ
หลังจากที่เราร่วมกันเดินทางนั่ง 2 แถวผ่านหนทางอันคดเคี้ยวลาดชันสุดๆ มาสักพักก็มาถึงที่
หมายของเรากันแล้วค่ะ[ เรียกได้ว่า ร้องOh My God! กันตลอดทางเลยทีเดียวค่ะ😂😬]
เรานั่งรอเช็คอินเข้าห้องสักพักที่หน้าฟร้อนท์พร้อมกับดื่ม Well come drink เย็นๆ
ที่ทำมาจากน้ำตะใคร้หอมๆ ช่วยให้เราสดชื่นจากความเหนื่อยล้าหลังจากการเดินทาง
มาทั้งคืน ช่วง11โมงกว่าๆเราก็ได้เข้าที่พักค่ะ
พอตื่นจากที่เอนหลังหลับไปสักพัก ราวๆ5โมงเย็นก็ลุกออกมาเดินรับลมชมวิวพื้นที่แถว
รีสอร์ตรอบๆเพื่อแวะอะไรทานสักหน่อยค่ะ
บรรยากาศที่นี่นั้นเงียบสงบมากๆค่ะ สายลมเย็นๆพัดมาเอื่อยๆปะทะที่ใบหน้า เสียงนกร้อง
บวกกับเสียงคลื่นทะเลที่ซัดฝั่งเบาๆเป็นระรอก มองตามพื้นหญ้าสีเขียวมีผีเสื้อตระกูลสีน้ำเงิน
ตัวเล็กๆขนาดลำตัวประมาณ1 เซ็นติเมตร บินตอมดอกหญ้าไปมาราวกับว่าตัวมันเองกำลังเริง
ระบำ การมองพื้นที่สีเขียวนานๆก็ช่วยให้สบายตาไม่น้อยเลยละค่ะ
ถัดจากมุมสนามหญ้านั้นก็จะเป็นส่วนของร้านอาหารของที่นี่ค่ะ ลักษณะเป็นแบบเปิดค่ะ
มีมุมน่านั่งเป็นบาร์เล็กๆติดกับชายหาดเลยค่ะ นั่งรับกลิ่นไอของทะเลสายลมพัดเย็นสบาย
[ รอบนี้เรากะว่าจะมานั่งดูบรรยากาศพระอาทิตย์ทิตย์ริมหาดกันหน่อยค่ะ ]
 
ได้ยินมาว่าช่วงปลายปีนั้นคลื่นลมจะดูสงบแล้วท้องฟ้าจะสวยงามเป็นพิเศษค่ะ
หลังจากเลือกที่นั่งสักพัก เราก็เริ่มสั่งอาหารเย็นกันค่ะ แหมมาทะเลทั้งทีเราก็ไม่พลาดที่จะสั่ง
อาหารทะเลกันละค่ะซึ่งเมนูที่นั้นก็จะเหมือนกับร้านอาหารอื่นๆทั่วไปค่ะ จะแตกต่างกันไป
ก็ตามฝีมือการทำอาหารของแต่ละร้านค่ะ
หลังจากดื่มด่ำไปกับอาหารเย็นไปสักค่ะพักราวๆ17.40 ทางด้านขวามือที่นั่งของเราก็คือ
ชายหาด ทุกคนต่างก็มองไปในทางเดียวกันเหมือนมีพลังงานบางอย่างดึงดูดสายตาเหล่านั้น
ให้หันไปในทางเดียวกัน นั่นคือแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่เลื่อนต่ำลงทำมุมขนานกับพื้นโลก
จนกระทบกับท้องทะเลภูเขาและสิ่งต่างๆในมุมนี้จนเกิดแสงเงาที่สวยงามอย่างที่เห็นนี่ละค่ะ
หลายคนมองว่า นี่เป็นมุมที่ดวงอาทิตย์ดูอ่อนโยนมากที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ
เพราะโลกจะได้เย็นตัวลงแล้วเข้าสู่ช่วงราตรีที่ยาวนานเช่นเดียวกับช่วงกลางวัน
ให้เราได้พักผ่อน เพื่อพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่ในวันที่สดใสค่ะ
☕️ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ค่ะ
ลาทุกท่านไปด้วยภาพบรรยากาศฟ้ายามเย็นค่ะ....
✍🏼ฝากติชมติดตามเรื่องเล่าจาก เพจเที่ยวที่แล้ว ด้วยนะคะ
โฆษณา