17 พ.ค. 2020 เวลา 04:23 • ไลฟ์สไตล์
“วินัย..จากเวียตนาม สู่ไทย ไปญี่ปุ่น”
เมื่อสองสามวันก่อน
สามล้อ^^_^^ได้อ่านบทความของคุณหมอชำนาญ ภู่เอี่ยม
ซึ่งท่านได้สะท้อน”ความคิดอ่านที่มีคุณภาพ “
ต่อวินัยของคนไทย…
ที่เป็นมาและเป็นไปต่อเนื่องมาจนถึงช่วงโควิดนี้
เมื่อเอาไปเทียบกับประเทศใกล้กันอย่างเวียดนาม
และญี่ปุ่น ให้มาได้อ่านกัน
ผมจะลองให้คำจำกัดความรวม คร่าวๆ
ของคำที่ตรงกันข้ามกับวินัยไว้ว่า
…จับจด …มักง่าย…ฉาบฉวย…เห็นแก่ตัว
…ไม่เอาอะไรซักอย่าง เอาสบายอย่างเดียว…
หรือใครมีคำจำกัดความที่เข้าใจง่ายหรือclearกว่านี้ก้อดีครับ :)
คุณหมอชำนาญ กล่าวไว้ว่า …
…นี่คือเมืองไทยสู้โควิดกันไป ชื่นชมกันไป
ด่ากันไป ฝ่าฝืนกันไป....
ประกาศใช้ พรบ.ฉุกเฉินด้านความมั่นคง...
ผู้ที่มั่นคงดูเหมือนจะกลายเป็นฝ่ายฝ่าฝืน
ฝ่ายด่า ฝ่ายถากถางไปเสียแล้ว
เห็นประเทศเวียตนามเพื่อนบ้านเรา
ไม่ทราบเขายังประกาศใช้ พรบ.ฉุกเฉินหรือไม่
แต่เขามีสมาธิในการทำผลงานดีเหลือเกิน
ประชาชนมีวินัย ให้ความร่วมมือกันดี
ไม่มีเสียงตำหนิ บ่น ด่า มีเอกภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยม
ผลงานยอดเยี่ยมติดอันดับโลก
(ติดเชื้อ288 ตาย0 หาย249)(11/05/63)
ทำให้เราได้เห็นว่าในโลกเรานี้
บางสถานการณ์ เผด็จการถ้าถูกนำมาใช้ให้เหมาะสม
ก็จะมีประโยชน์กว่าประชาธิปไตย
ที่มีเสรีภาพที่เกินขอบเขตมาก
...เวียตนามใช้เผด็จสู้โควิดได้ดี
ขณะที่ประเทศแห่งเสรีภาพ
ประชาธิปไตยเบ่งบาน
ถูกโควิดจัดการซัดหงายหลังไม่เป็นท่าไปตามๆกัน....
ประเทศไทยสู้โควิดได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแล้ว
ที่ต้องสู้ท่ามการแรงต้านรอบทิศ
ถ้าชนะได้ก็ถือว่าเป็น..”ผู้ชนะสิบทิศตัวจริง”
ทำไมประเทศไทยเราจึงไม่ง่ายเหมือนเวียตนาม?? ....
1.เรามีต้นทุนทางวินัยเราน้อยกว่าเวียตนาม
เพราะพวกเราถูกละเลยด้านนี้กันมานมนาน
เราเป็นสังคมที่โอนอ่อนผ่อนตาม และไม่จริงจังอะไรนัก...
“ทำอะไรตามใจ คือ ไทยแท้”
ขณะที่เวียตนามมีความอดทนอดกลั้น
ถูกสร้างให้มีวินัยมาหลายสิบปี”
2.ประเทศไทยไม่คุ้นเคยต่อความยากลำบากที่ผ่านสงครามอันยาวนานมาเท่ากับเวียตนาม..”ไทยนี้รักสงบ..แต่ถึงรบ..ไม่แน่?”
3.ประเทศเวียตนามมีความเป็นชาตินิยมสูงมาก
พวกเขาภูมิใจในชาติมากกว่าพวกเรา
สังเกตง่ายจากการแข่งขันฟุตบอลนานาชาติ
ที่มีทีมชาติเข้าแข่ง พวกเขาจะเชียร์กันอย่างจริงจัง
รวมทั้งมีการฉลองชัยชนะกันอย่างยิ่งใหญ่
พร้อมกันทั้งประเทศ
ขณะที่ความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติของคนไทย
โดยเฉพาะเยาวชนนั้นดูเหมือนเป็นแค่วาทะกรรม
4.ประเทศไทยระยะหลัง
ดูเหมือนว่าจะละเลยกับการปลูกฝังวินัย
หน้าที่พลเมืองดี และศิลธรรมอันดีแก่เยาวชน
ตรงกันข้ามเยาวชนไทยหันไปนิยมความฟุ้งเฟ้อ
วัตถุนิยม ติดกระแสโซเชียลได้ง่าย
มักใช้อารมณ์มากกกว่าเหตุผล
จึงทำให้มีบางส่วนไม่สามารถแยกแยะความผิดชอบชั่วดี
ออกจากกันได้...
5.ประเทศเวียตนามค่อยๆปรับตัวจากเผด็จการ
มาสู่ประชาธิปไตยด้วยความรอบคอบระมัดระวัง
ไม่หลงเสรีภาพเกินขอบเขต
vietnamnews.vn
ขณะที่ประเทศไทย
…เราวิ่งเข้าไปหาประชาธิปไตยอย่างไม่ระวังตัว
จนระยะหลังตกไปอยู่ใต้ระบอบทุนนิยมสามานย์
ระบอบประชานิยม ที่ไม่เอื้อให้คนไทยยืนบนขาตนเองได้
ทำให้คนในชาติติด “โรคเห็นแก่ได้”
“โรคแบมือขอ” “โรคเลี้ยงไม่โต”
”โรคโวยวาย” “โรคประชาธิปตู ตัวกูต้องมาก่อน”
โดยไม่หันไปสนใจการมีจิตสำนึกต่อส่วนรวม
การเสียสละ ความภาคภูมิใจในชาติ
ประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรมอันดีงามกันเลย
7.ประเทศไทยมีความมั่นคงทางการเมืองไทยในระดับต่ำ
ทิศทางการเมืองมักจะสวนทางกับการต่อสู้โควิด
บางครั้งถึงกับรู้สึกว่าการเมืองไม่รู้จักกาลเทศะ
หรือ ไม่มีความจริงใจกับมาตรการฯ
ขณะที่เวียตนามการเมืองมีความมั่นคงมากกว่าเรามาก
8.เยาวชนไทยมีภูมิด้านความเชื่อต่ำ
ดูเหมือนจะเชื่ออะไรง่ายถ้าถูกใจ
ไม่สามารถแยกความถูกใจ ออกไปจากความไม่ถูกต้อง
จึงมีจำนวนไม่น้อยที่แนวคิดถูกครอบงำ
โดยคนบางคนได้โดยง่าย...
…ขณะที่เยาวชนเวียนามเป็นเยาวชนที่รักการเรียน
หาความรู้เท่าทันโลก ทันคน มากกว่าเยาวชนไทย
คุณหมอกล่าวต่อไปว่า…
…ผมเคยได้รับทุนJICA จากรัฐบาลญี่ปุ่น
ไปสัมมนาศึกษาดูงาน ด้านสาธารณสุขของประเทศญี่ปุ่น
..ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมนักเรียนอนุบาล
ที่โรงเรียนในต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง
เราไปกันทั้งหมด15ประเทศจากทุกภูมิภาคของโลก
ผมเป็นตัวแทนประเทศไทย
โดยแต่ละประเทศถูกจัดให้เข้าไปพบปะพูดคุย
และรับประทานอาหารร่วมกับนักเรียนแต่ละชั้น..
ผมเดินเข้าไปในห้อง
…ก็พบกับการโค้งคำนับที่อ้อนน้อม
ของนักเรียนอนุบาลโดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่มีอะไรแสดงถึงความเป็นชนบท หรือต่างจังหวัดเลย
มีธงชาติไทยประดับในห้องอยู่หลายจุด
มีข้อความภาษาไทย
”ยินดีต้อนรับ นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม จากประเทศไทย”
เขียนอยู่บนกระดานดำด้วยลายมือที่สวยงาม..
มองดูแล้วอบอุ่น และเป็นเกียรติ
นักเรียนหลายคนอุ้มช้างไม้ไทย
อุ้มศิลปะวัตถุที่ผู้ปกครองเขาซื้อมาจากเมืองไทย
...หลายคนได้ซักถามโดยผ่านล่ามภาษาอังกฤษอย่างสนใจ
ส่วนมากเป็นเรื่องช้าง เรื่องเชียงใหม่
เรื่องอาหารไทย เรื่องจิตใจคนไทย
และ ประเทศไทยอยู่ไหน เป็นต้น
ผมจำเป็นต้องวาดแผนที่ ประเทศไทย
ประเทศข้างเคียงจนยาวไปจรดญี่ปุ่น
ทุกคำถามต้องให้หัวหน้าชั้นตัวน้อยเป็นผู้อนุญาตให้ถาม …
การซักถามเป็นไปอย่างสนุกเป็นกันเอง
จนถึงเวลาอาหารในห้องเรียน
อาหารเต็มไปด้วยสิ่งที่มีคุณค่า เนื้อ ปลา นม ไข่ ผัก และ ข้าว...
อาหารรสชาดดีมาก …
พอเสร็จจากการรับประทานอาหาร
การเก็บจานอาหารบนโต็ะเรียนก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว
มีการแบ่งหน้าที่ ทั้งฝ่ายเก็บ และ ปัดกวาดเช็ดถู
รวมทั้งมีการสวมใส่เอี้ยมที่ดูเป็นมืออาชีพ
ประเทศญี่ปุ่นปลูกฝังแก่วินัยเยาวชนตั้งแต่ยังเด็ก
เขาสอนให้รัก และภูมิใจในชาติของตน
เขาให้เยาวชนซึมซับประวัติศาสตร์ของชาติ
ปลูกฝังการมีวินัย รักและอนุรักษ์ ธรรมชาติ
ไม่ยิงนกไม่ฆ่าสัตว์ มีวินัยด้านการจราจร
กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เด็กกล้าว่ากล่าวตักเตือนคนที่กระทำผิด
lucky-japan.blogspot.com
มองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยเรา
เราทำการสู้โควิดแค่นี้ก็เกินคาดแล้ว
เพราะเรามีต้นทุนกันแค่นี้ มันจึงได้แค่นี้ ...
…จงอย่าแปลกใจ…
เลยถ้ายังเห็นคนไทยยังออกมาฝ่าฝืน
ไม่ร่วมมือกันอย่างจริง
…ไม่รู้บทบาทหน้าที่ของตนในสังคม
…ถ้าเราอยากให้คนไทยมีวินัยมากกว่านี้
เราต้องมีการลงทุนมากกว่านี้
และ ไม่ต้องพากันหันมาลงกับเด็ก
โดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนร่วมโดยตรงทั้งโรงเรียน
ผู้ปกครอง และกระทรวงศึกษาธิการ
คงมีคุณครู หรือ ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย
ที่หนักใจ ไม่รู้จะพรำ่สอนอบรมเด็กอย่างไร
ให้เป็นเด็กดีมีวินัย
…ขอเรียนว่าคนไทยทุกคนทำได้ไม่ยากเลย ...เพราะ
1.เด็กนั้นพร้อมที่จะซึมซับสิ่งต่างๆจากเราได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว
2.ท่านไม่จำเป็นต้องพรำ่สอนเด็กให้ปากเปียกปากแฉะให้เด็กเบื่อหน่าย
3.การที่ผู้ใหญ่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี คือ การสอนวินัยที่ดีที่สุด
4.ถ้าคำสอน และ การกระทำของผู้ใหญ่สวนทางกัน นั่นคือการล้มเหลวในการสอนวินัย
พี่น้องคนไทยทุกท่าน
ถึงเวลาแล้วหรือเรายัง ที่เราทุกคน ทุกวงการ ทุกฝ่าย
จะเริ่มต้นเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป...
วิธีการปลูกฝังวินัยให้แก่เยาวชนไทยที่ดีที่สุด
… คือ การที่ผู้ใหญ่ในสังคมไทยเป็นแบบอย่างที่ดี....
“เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำของท่าน มากกว่าคำสอนของท่าน”
(Children learn more from what you are than what you teach.)
ด้วยความปรารถนาดี
Chamnan.
Cr:คุณหมอชำนาญ ภู่เอี่ยม
โฆษณา