18 พ.ค. 2020 เวลา 09:26 • ความคิดเห็น
Leaving Las Vegas (1995)
มุมมองและนโยบายด้านสุราในวิกฤตการณ์โควิด
หนังเก่าตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 เรื่อง “Leaving Las Vegas” หรือในชื่อภาษาไทยคือ “ดื่มรักลาสเวกัส” อาจขึ้นทำเนียบเป็นหนึ่งในหนังดีของหลายๆคน
หนังเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของ “เบน” หนุ่มนักเขียนบทในฮอลลีวู้ดที่ติดเหล้าอย่างหนักจนครอบครัวทิ้งแถมยังโดนไล่ออกจากงานอีก ด้วยความผิดหวังบวกกับความที่แกเมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความสูญเสียส่งผลต่อสภาพจิตใจให้ยิ่งตกต่ำจนทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปลาสเวกัสเพื่อจบชีวิตด้วยการ “เมา” จนตายกันไปข้างหนึ่ง
(ไม่ได้ล้อเล่นครับ แกต้องการเมาให้ตายคาเตียงไปจริงๆ)
นิโคลัส เคจ ผู้รับบทหนุ่มเบนในเรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยม ด้วยบทบาทการเมาที่สมจริง เค้นอารมณ์จนพาเรา “ดำดิ่ง” ไปสู่ห้วงแห่งความเศร้าและผิดหวังไปด้วยกัน
หนังเรื่องนี้ให้บรรยากาศอึมครึมตลอดทั้งเรื่อง และอย่าคาดหวังว่าพระเอกจะกลับตัวกลับใจเลิกเหล้าและกลายมาเป็น “คนดี” ของสังคมนะครับ เพราะพี่แกมีแต่จะเมา และเมาหนักขึ้นไปเรื่อยๆ
จะว่าไปแล้วลักษณะของโครงเรื่องแบบนี้เราพบในหนังไทยน้อยมาก ยกเว้นบรรดาหนังสั้นต่างๆที่ส่งเสริมให้คนเลิกเหล้า
การหยิบเอาเรื่องเหล้ามาเขียนในตอนนี้ เนื่องด้วยมีหลายท่านวิจารณ์ถึงภาวะการระบาดของโควิด 19 ว่าได้เผยให้เห็นถึงสถานการณ์ต่างๆที่บ่งชี้ความเปราะบางด้านสังคมและเศรษฐกิจของไทย ทั้งความไม่พร้อมด้านการจัดการวิกฤติของรัฐรวมถึงสวัสดิการรัฐที่ไม่ครอบคลุม ความเหลื่อมล้ำในการปรับตัวเพื่อทำงานที่บ้าน (ไม่ใช่ทุกประเภทงานและทุกธุรกิจที่สามารถทำออนไลน์ที่บ้านได้) ฯลฯ แต่สิ่งที่ไม่ค่อยมีการพูดถึงกันก็คือ ปรากฏการณ์ที่ผู้คนแห่กัน “กักตุน” สุรา อันเนื่องมาจากนโยบาย “ควบคุม” การจำหน่ายสุราในช่วง พรก.ฉุกเฉิน มันสะท้อนอะไรออกมาได้บ้าง
ถ้าหากมองแบบ นักทฤษฎีสังคมผู้ล่วงลับ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) การสร้างอารยธรรมของสังคมสมัยใหม่นั้นถูกขับเคลื่อนไปด้วยกระบวนการสร้างความเป็นเหตุผล (rationalization) ที่เน้นความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเศรษฐศาสตร์จนก่อรูปขึ้นเป็นความมีเหตุผลแบบเป็นทางการ/มีแบบแผน หรือ “formal rationality” ที่ยังผลให้องค์กรและผู้คนยอมรับการกระทำทางสังคมเพื่อประสิทธิภาพ เทคโนโยลี และผลลัพธ์ที่คาดคำนวณได้
ดังนั้นนโยบาย “ควบคุม” การบริโภคแอลกอฮอล์จึงเป็นสิ่งปกติที่รัฐกระทำเพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่กำลังเกิดหรืออาจเกิดขึ้นจากการบริโภคสุรา โดยผ่านกระบวนการสร้างเหตุผลที่มีแบบแผนอย่างวิทยาศาสตร์และเศรษฐศาสตร์
สิ่งเหล่านี้เผยให้เห็นผ่าน mentality ของรัฐ โดยเฉพาะองค์กรสาธารณสุขที่คอยบอกพวกเราตลอดว่า สุราเป็นสิ่งไม่ดีต่อสุขภาพและยิ่งบริโภคเข้าไปก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจด้วย เพราะทำให้ “โง่ จน เจ็บ”
อีกทั้งในสถานการณ์ระบาดของโควิดนี้ มันมีความชอบธรรมมากขึ้นไปอีกในการ “ห้าม” จำหน่ายสุรา
นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่านจึงเห็นด้วยกับการขยายเวลาของนโยบายห้ามจำหน่ายสุรา เพราะการเสพสุราถูกมองว่าเป็น “สื่อกลาง” ให้ผู้คนมารวมตัวกัน อาจทำให้การระบาดควบคุมยาก (และผู้เชี่ยวชาญยังมองอีกว่าการดื่มสุราคนเดียวที่มี social distancing คงเป็นไปได้ยาก เพราะคนดื่มคนเดียวคงมีเฉพาะคนที่ติดแอลกอฮอล์!) หรือการขายสุรานี้ควรเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะถูกปลดล็อคเพราะมัน “ไม่จำเป็น” ต่อการดำรงชีพ
ถึงกระนั้น กระบวนการ rationalization ของสิ่งต่างๆในสังคม ไม่ได้เกิดภายใต้พลังของ formal rationality เพียงอย่างเดียว
กระบวนการสร้างเหตุผลที่เกิดคู่ขนานกันไปด้วยคือ “substantive rationality” อันเป็นกระบวนการสร้างเหตุผลที่ก่อรูปจากคุณค่าและความเชื่อ ความมีเหตุผลลักษณะนี้ช่วยกำหนดบรรทัดฐานทางสังคมและคอยให้คุณค่าต่อการกระทำและสิ่งต่างๆว่าดีหรือไม่ดีในเชิงศีลธรรม
.
.
เมื่อมองเช่นนี้สุราจึงกลายเป็นสิ่งไม่ดีในเชิง “ศีลธรรม” ซึ่งเห็นได้จาก propaganda ต่างๆของรัฐ ประเภท การให้เหล้าเท่ากับ “แช่ง” หรือ เลิกเหล้าเข้าพรรษาเพื่อเป็น “คนดี”
ในความคิดเห็นของผม การมองการกินเหล้าว่าสัมพันธ์กับความดี (หรือไม่ดี) แบบนี้ที่ส่งเสริมให้เกิดกฎทางสถาบันที่ควบคุมโดยสุราแบบตลกๆและดูไม่ค่อยมีรสนิยม ขนาดที่ว่าหนังจีนกำลังภายในยังมีการเซ็นเซอร์ไหเหล้าจนบังฉากวิทยายุทธ หรือบางช่องมีการดูดเสียงคำว่าเหล้าออกไปด้วย ทำให้เสียอรรถรสในการรับชมเป็นอย่างมาก
ประเด็นสำคัญคือกระบวนการ rationalization แบบ substantive rationality ข้างต้น มันไม่ได้มีเอกภาพขนาดนั้น เพราะเหตุผลที่มาจากความเชื่อไม่ว่าจะมาจากศาสนาหรือศีลธรรมโดยธรรมชาติมันเป็นอัตวิสัย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนเชื่อแบบเดียวกันหมด
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างกระบวนการสร้างเหตุผลกับสิ่งที่เป็นจริงของสังคมดูได้จาก ปรากฏการณ์ซื้อสุราเพื่อกักตุนในช่วงเก็บตัวที่เป็นไวรัลตามสื่อโซเชียลต่างๆ นอกจากนี้ พฤติกรรมทางสังคมที่ปะทะกับ rationalization ที่ควบคุมเหล้า ก็ยังพบเห็นได้ทั่วไป เช่น วัฒนธรรมการดื่มเหล้าในงานบุญ งานบวช งานศพ เป็นต้น
ที่เขียนมานี้ไม่ได้ต้องการสร้างความชอบธรรมให้กับการดื่มเหล้า แต่อยากให้ปรากฏการณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการดื่มสุรา มันเป็นสิ่งที่อยู่กับสังคมและมันก็ไม่ใช่ผู้ร้ายตลอดกาล
ไทเลอร์ โคเว่น (Tylor Cowen) ผู้เขียนหนังสือเศรษฐศาสตร์นักกิน ได้วิเคราะห์ว่ามาตรการห้ามขายเหล้าของอเมริกาในช่วง 1920 ถือว่าสร้าง “ยุคมืด” ให้กับวัฒนธรรมอาหารของอเมริกา เพราะอุตสาหกรรมผลิตแต่อาหารประเภท “TV dinner” (อาหารแช่แข็งในกล่อง) ในขณะที่ความหลากหลายของวัฒนธรรมอาหารถูกทำลายเพราะร้านที่ขายอาหารที่กินคู่กับไวน์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างก็เจ็งกันเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นสิ่งที่ควรคิดร่วมกัน คือ เราจะหาทางทำอย่างไรให้เกิดวัฒนธรรมการเสพสุราที่มีความรับผิดชอบและมีอารยะ
ทุกวันนี้นโยบายควบคุมสุราที่มีอยู่มันอาจถูกทำนองคลองธรรมตามหลักความดีในแบบศาสนา (เช่น นโยบายห้ามขายเหล้าในวันสำคัญทางศาสนา) แต่มันอาจไม่สร้างรูปแบบวัฒนธรรมการดื่มที่รับผิดชอบได้
แบบอย่างในบางประเทศก็ทำให้เห็นแล้วว่าสิ่งนี้ไม่เกินความสามารถที่จะทำได้ เช่น ในนิวเซาธ์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย มีร้านขายเหล้าเฉพาะที่เรียกว่า bottle shop ที่กำหนดขายตามเวลาชัดเจนคือสี่ทุ่ม
(ส่วนในบ้านเราที่ช่วงบ่ายก็ห้ามและกลางคืนก็ห้ามแต่สุดท้ายก็ซื้อขายกันนอกเวลาเป็นปกติ) อีกทั้งยังเป็นเรื่องปกติที่ร้านค้าสามารถปฏิเสธการขายได้ ถ้าหากผู้ซื้อดูเมามาก (ไม่เหมือนบ้านเราที่ยิ่งเมายิ่งสั่งมาอีกเพียบ) และก็ไม่มีการเซ็นเซอร์แก้วเหล้าแก้วไวน์ในหนังให้เสียอารมณ์คนดูด้วย
แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นอ่อนไหวที่ต้องพูดคุยกันหลายฝ่าย (ถ้าหากจะมีร้าน bottle shop โดยเฉพาะ ร้านค้ารายย่อยก็อาจเสียผลประโยชน์)
.
แต่การพูดคุยเพื่อหาฉันทามติร่วมกันนี่แหละ เป็นกระบวนการสร้างเหตุผลที่สำคัญมากกว่าการสร้างเหตุแบบสักแต่ว่าห้ามไปเรื่อยแบบเบ็ดเสร็จ เพราะมันบ่งชี้ว่ารัฐเรียนรู้ไปพร้อมกับภาคประชาชน ไม่ใช่เอาแต่ทำหน้าที่สั่งสอนไปเสียทั้งหมด และอีกทางที่ผมว่าทำได้ก็คือขอให้ทุกท่านเสพสุรากันอย่างมีสุนทรียะในช่วงเก็บตัวเพื่อช่วยกันสร้าง new rationalization ให้กับสังคมของเรา
ผู้เขียน : นรชิต จิรสัทธรรม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ : 14 พฤษภาคม 2563
** บทความนี้ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากผู้เขียนเพื่อเผยแพร่บนเพจหนังหลายมิติ **

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา