22 พ.ค. 2020 เวลา 05:54 • กีฬา
นี่คือ Ep.3 ของจอร์จ เบสต์ นักเตะที่มีพรสวรรค์สูงสุดคนหนึ่งของโลก แน่นอนทุกคนยกย่องเขาแบบนั้น แต่รู้หรือไม่ ว่ากว่าที่่จะเห็นแบบนั้น เบสต์ต้องพยายามแค่ไหนกว่าจะได้พรสวรรค์นั้นมาครอง
ในโลกนี้มีนักเตะอยู่ 2 แบบ คือกลุ่มพรสวรรค์ กับ กลุ่มพรแสวง
กลุ่มพรสวรรค์ คือนักเตะที่เกิดมาก็เป็นอัจฉริยะแล้ว การทำทุกอย่างมันง่ายไปหมด แม้ในสนามซ้อมเขาจะเหยาะแหยะแค่ไหน แต่พอลงสนามปั๊บเขาจะทำผลงานสุดยอดออกมาทันที
โรมาริโอ อดีตดาวเตะบาร์เซโลน่า เคยบอกกับโยฮัน ครัฟฟ์ เฮดโค้ชของทีม ในเดือนกุมภาพันธ์ 1994 ว่า ขอเขาไม่ซ้อม 2 วันได้ไหม เพราะจะบินไปบราซิลร่วมงานคาร์นิวัล
ครัฟฟ์ ตอบกลับไปว่า "ถ้าเกมพรุ่งนี้นายยิงได้ 2 ประตู ฉันจะอนุมัติให้เป็นกรณีพิเศษ" ปรากฎว่า ในเกมที่เจอกับโอซาซูน่า วันรุ่งขึ้น โรมาริโอยิงแฮตทริกได้ จากนั้นพอเกมจบเขาก็เดินมาบอกกับครัฟฟ์ว่า "เครื่องบินจะออกใน 1 ชั่วโมงนี้แล้วผมต้องรีบไปแล้ว"
โรมาริโอ จัดการจองตั๋วเครื่องบินไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนเกมจะเริ่มด้วยซ้ำ เขามั่นใจในความสามารถของตัวเองขนาดนั้น
โรมาริโอ ไม่ได้ซ้อม 2 วัน ไปเฮฮาปาร์ตี้ที่บราซิล แต่พอบินกลับมา ในเกมเจอเรอัล บายาโดลิด เขาก็ยิงได้อีก รวมถึงเกมต่อไป ที่เจอกับเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า เขาก็ยิงได้อีก การไม่ได้ซ้อมไม่มีผลอะไรกับเขาเลย
นี่คือนักเตะในสไตล์ที่มีพรสวรรค์
แต่ก็จะมีนักเตะบางคนที่ไม่มีพรสวรรค์ ตั้งแต่เกิด แต่ใช้การทำงานหนักอย่างเต็มที่ เพื่อไต่เต้าขึ้นมา เพื่อให้ทัดเทียมกับกลุ่มที่มีพรสวรรค์
สตีฟ บรูซ กองหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก 1992-93 เป็นนักเตะใจสู้เกินร้อย ทุ่มเทเต็มที่ แต่เขาไม่ใช่นักเตะพรสวรรค์สูงเลย อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยกล่าวถึงบรูซเอาไว้ว่า
"นี่คือหนึ่งในนักเตะที่ทุ่มเทที่สุดที่ผมเคยเห็น แม้จะไม่ใช่นักเตะพรสวรรค์ก็ตาม เขาจับบอลไม่เก่ง เลี้ยงบอลไม่ดี จ่ายบอลก็ไม่คม แต่สิ่งที่เขามีคือความพยายาม และความใจสู้ นั่นทำให้คู่แข่งยากที่จะเอาชนะ"
บรูซ ใช้การซ้อมหนัก เข้ามาทดแทน การไร้พรสวรรค์ของตัวเอง และมันก็ช่วยให้เขาได้เป็นคนสำคัญของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยในซีซั่น 1992-93 เขาเป็นนักเตะเอาต์ฟิลด์ แค่คนเดียวทั้งทีม ที่ออกสตาร์ตตัวจริงครบทั้ง 42 เกม
เราจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสายพรสวรรค์ หรือ สายพรแสวง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม คำถามที่น่าสนใจก็คือ สมมติว่า นักเตะที่เกิดมามีพรสวรรค์อยู่แล้ว แต่ดันฝึกหนักที่สุด และเต็มไปด้วยพรแสวงอีกล่ะ?
2
ระดับฝีเท้ามันจะพุ่งไปไกลได้ขนาดไหน?
2
-------------------------------------
22 พฤษภาคม 1963 เป็นวันเกิดอายุครบ 17 ปีของจอร์จ เบสต์ ตอนนี้เขาได้รับสัญญานักเตะอาชีพ กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเรียบร้อยแล้ว
เส้นทางของนักเตะเยาวชนที่ได้สัญญาอาชีพ คือต้องเล่นในทีมเยาวชน (u-19) จากนั้น ก็กระโดดมาอยู่ทีมสำรอง และก้าวไปสู่ทีมชุดใหญ่ต่อไป เป็นลำดับขั้น
จอร์จ เบสต์ เป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงมาก เขาเลี้ยงบอลคล่องเท้า มีความเร็วเทียบเท่ากับ นักเตะเบอร์ 1 ของทีมอย่างบ๊อบบี้ ชาร์ลตัน แม้จะอายุแค่ 17 แต่เซอร์แม็ตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีม มั่นใจว่าเด็กคนนี้ จะไปไกลได้แน่ๆ
นั่นทำให้ บัสบี้ ตัดสินใจเลื่อนจอร์จ เบสต์ จากทีมเยาวชน กระโดดมาเล่นทีมชุดใหญ่ทันที โดยไม่ผ่านทีมสำรอง เป็นการพาสชั้นขึ้นมาเลย
ก็เหมือนกับที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำกับไรอัน กิ๊กส์ คือเด็กพรสวรรค์ขนาดนี้ ต้องเล่นกับทีมชุดใหญ่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลากับกลุ่มทีมสำรองอีก
14 กันยายน 1963 เกมที่ 7 ของฤดูกาล บัสบี้ ตัดสินใจส่งจอร์จ เบสต์ ลงเล่นเป็นเกมแรกในสีเสื้อแมนฯยูไนเต็ด ด้วยอายุแค่ 17 ปี กับอีก 4 เดือนเท่านั้น
"แม้จะไม่ได้คาดคิด แต่ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นประหม่าอะไรนะ" จอร์จ เบสต์เผย เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะทำผลงานได้ดี เกมนี้เขาออกสตาร์ตในตำแหน่งปีกขวา
แต่ปรากฏว่าเกมแรกของเบสต์นั้น "เละ"
เบสต์ เล่นปีกขวา และต้องเผชิญหน้ากับเกรแฮม วิลเลี่ยมส์ แบ็กซ้ายทีมชาติเวลส์ของเวสต์บรอมฯ ซึ่งเป็นนักเตะฮาร์ดแมน เขาไล่เตะแหลก ใครกล้าแหยมเข้ามาในเขตแดนของเขา เขาหวดเรียบ
2
จอร์จ เบสต์ พยายามใช้ความเร็วเลี้ยงจี้ แต่โดนหวดกลิ้ง พอโดนเตะ เบสต์ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ก็โดนเตะอีก เขาเลี้ยงไม่ผ่านสักครั้ง
นั่นทำให้แมตต์ บัสบี้ ต้องโยกเบสต์ไปเล่นปีกซ้าย เพื่อหนีเกรแฮม วิลเลี่ยมส์ แต่เบสต์ก็ยังเล่นไม่ดีอีก และจบเกมนั้นไปแบบ สร้างประโยชน์อะไรให้ทีมไม่ได้เลย
"ผมอยากจะยิงประตูให้โลกจดจำตั้งแต่เกมแรก แต่กลายเป็นว่า ผมเป็นเหมือนนักเตะตัวประกอบ ที่เล่นพลาดแล้วพลาดอีก" เบสต์รู้สึกไม่แฮปปี้เลย เขาคาดหวังกับฟอร์มตัวเองมากกว่านี้
หลังจบเกม เดลี่ เทเลกราฟ และ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ สองหนังสือพิมพ์หัวใหญ่เขียนถึงเบสต์ว่า "เด็กคนนี้กระดูกไม่แข็งพอสำหรับทีมชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
เบสต์ รู้สึกเจ็บปวดมาก เขาผิดหวังกับฟอร์มตัวเอง ทั้งๆที่โค้ชอุตส่าห์ไว้ใจให้เขาลงเล่นเป็นตัวจริงแท้ๆ
และจากฟอร์มในเกมนั้น เบสต์ ถูกลดชั้นไปเล่นทีมสำรอง ในสัปดาห์ต่อมา ...
-------------------------------------
ตอนนี้ เบสต์ มาเข้าใจอย่างหนึ่งแล้วว่า ในเกมฟุตบอลระดับสูง แค่พรสวรรค์อย่างเดียวไม่พอ
ตอนเป็นเด็ก เขามั่นใจว่าตัวเองเลี้ยงบอลเก่งที่สุด และมีความเร็วมากที่สุด ซึ่งก็น่าจะเอาชนะคู่แข่งได้ง่ายๆ แต่พอได้เล่นกับทีมชุดใหญ่นัดแรก เบสต์รู้เลยว่า เขายังเก่งไม่พอ
เทคนิคของเขายังน้อยอยู่ พละกำลังของเขาก็มีน้อย โหม่งบอลก็ไม่เก่ง เช่นเดียวกับน้ำอดน้ำทน ที่ไม่พร้อมจะลงเล่นตลอด 90 นาที เพราะแป้บๆก็เหนื่อยง่ายแล้ว
1
มีจุดอ่อนอีกเยอะมากให้เขาต้องแก้ไข
ทำไมตอนแรกเขาถึงทะนงตัวนัก ว่าตัวเองมีพรสวรรค์เหนือใคร?
นั่นทำให้เบสต์ กลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ คือ เริ่มฝึกอย่างหนัก เขาต้องคว้าโอกาสเป็นตัวจริงกลับมาให้ได้อีกครั้ง
-------------------------------------
ปัญหาที่ 1 จุดอ่อนเท้าซ้าย
เบสต์ เป็นคนถนัดขวา นั่นทำให้เป็นปัญหา เพราะในสถานการณ์ที่โดนบีบให้เล่นแต่เท้าซ้าย เขาทำไม่ได้เลย คือต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้แต่งบอลเข้าเท้าขวา ดังนั้นเวลาเจอคู่แข่งเก่งๆ ไปปิดเท้าขวาเอาไว้ แบบนี้เบสต์ก็เสร็จแล้ว
1
เบสต์ ฝึกเท้าซ้ายอย่างเดียว หลังจากการฝึกซ้อมที่คนอื่นเลิกไปแล้ว เขาจะเอาลูกบอลมา 7-8 ลูก ซ้อมเงียบๆ ลำพังคนเดียว
1
เขาจะเตะมุมด้านขวาด้วยเท้าซ้าย และ เตะมุมด้านซ้ายด้วยเท้าขวา เป้าหมายคือปั่นบอลให้ไซด์โค้งม้วนเข้าประตูไปเลย ติดต่อกันฝั่งละสิบลูก ถ้าพลาดไม่ครบ 10 เมื่อไหร่ ก็นับหนึ่งใหม่
1
จากนั้นเมื่อทำได้ เขาก็จะเอาบอลมาตั้งที่เส้น 18 หลา และยิงลูกให้ชนคานพอดี ด้วยเท้าซ้ายและขวา เขาต้องยิงชนคานให้ได้ เท้าซ้าย 20 ครั้ง เท้าขวา 20 ครั้ง
1
เบสต์ฝึกจนสามารถใช้เท้าซ้ายได้ดีเท่าเท้าขวา ตอนอายุ 19 ผู้คนไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ ว่าจอร์จ เบสต์ เอาจริงๆแล้ว ถนัดเท้าข้างไหนกันแน่ เพราะมันใช้ได้ดีมากๆทั้งคู่
1
-------------------------------------
1
ปัญหา 2 ความฟิตของร่างกาย
เกมแรกที่เจอเวสต์บรอมฯ เขาอ่อนแรงง่ายกว่าปกติ นั่นทำให้เบสต์รู้ว่า ในเกมระดับสูง คุณต้องใช้พลังมากกว่าเดิม
1
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเกี่ยงเรื่องการซ้อมที่ทำให้ร่างกายฟิตสมบูรณ์ โดยในทีมสำรอง ในหนึ่งสัปดาห์ จะมีโปรแกรมวิ่งระยะ 5 ไมล์ ซึ่งนักเตะในทีมสำรองส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยอยากวิ่ง เพราะมันเป็นการเสียแรงไปแบบเปล่าๆปลี้ๆ โค้ชจะสั่งให้นักเตะวิ่งออกจากสนามซ้อม เดอะ คลิฟฟ์ วนอ้อมรอบเมือง แล้วกลับมาที่เดอะ คลิฟฟ์ อีกครั้ง
1
นักเตะหลายคน พอออกจากเดอะ คลิฟฟ์ แล้ว จะไปแอบหลบไปนอนพักซ่อนตัวตามพุ่มไม้ เพราะขี้เกียจวิ่ง คือรอให้เพื่อนวิ่งมาใกล้ๆจะถึง ก็ค่อยโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ แล้วเข้าสนามซ้อมไปด้วยกัน แต่เบสต์ไม่เคยบ่น เขาวิ่งเต็มระยะ พร้อมๆกับเพื่อนร่วมทีมอีกคน จอห์น ฟิตซ์แพทริค
การทำตามโปรแกรมการซ้อมอย่างเคร่งครัด ทำให้เบสต์มีค่าพลังความฟิตที่มากขึ้นกว่าเดิม
1
-------------------------------------
ปัญหา 3 เทคนิคยังน้อยเกินไป
1
เบสต์อาจเลี้ยงบอลคล่อง และมีความเร็ว แต่เทคนิคแปลกๆ เขายังไม่มีมากพอ และเจ้าตัวเองก็รู้ดี
"ผมเคยเห็น ฟรานซิสโก้ เกนโต้ ของเรอัล มาดริด ทำทริคบางอย่างที่เหลือเชื่อมากในยุคนั้น มันเป็นการวอร์มอัพก่อนลงสนาม" เบสต์เล่า "ผู้รักษาประตูเตะบอลมาให้เกนโต้ เขาใช้ปลายเท้ากดฉึกไปที่ใต้ลูก เขาใส่แบ็กสปินให้ลูกบอล ดังนั้นพอบอลลอยไป 10 หลา มันก็สกรูว์ กลับมา เหมือนลูกบิลเลียด มันเหมือนกับเขาเล่นกลเลย ผมประทับใจมาก"
1
วันรุ่งขึ้นที่สนามฝึก เขาก็ฝึกเตะแบบใส่สปินแบบเอาเป็นเอาตาย ในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จด้วยเท้าขวา และก็เช่นเดิม เขาก็พยายามทำให้ได้ด้วยเท้าซ้ายด้วย
2
"ผมตั้งใจจะฝึกให้มันคล่องพอกัน ถ้าเท้าซ้ายยังไม่เฉียบขาด ผมก็จะฝึกด้วยเท้าซ้ายอยู่อย่างนั้น"
ไม่ใช่แค่ฝึกฝนตามโปรแกรม แต่เบสต์เอาข้อดีเจ๋งๆ ของนักฟุตบอลคนอื่นมาพัฒนาและต่อยอดให้ตัวเองด้วย
1
-------------------------------------
ปัญหา 4 การเล่นลูกโหม่ง
ด้วยความที่เบสต์สูงเพียง 175 เซ็นติเมตร มันย่อมมีปัญหาแน่นอน เวลาต้องกระโดดเทกตัว แย่งโหม่งกับกองหลังตัวใหญ่ๆของคู่แข่ง
ที่โรงยิมเก่า ในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด เบสต์ ร่วมกับโค้ชของทีม แจ๊ค ครอมป์ตัน จะเอาลูกบอลห้อยเชือกเอาไว้ แขวนให้เบสต์หัดโหม่ง
จะมีทั้งการโหม่งแบบลูกห้อยเชือกนิ่งๆ และจะมีการแกว่งบอลให้โหม่ง ในจังหวะบอลเคลื่อนที่
เบสต์รู้ดีว่าเขาตัวเตี้ยกว่านักเตะทั่วๆไป ดังนั้นเขาต้องทดแทนมันด้วยการสปริงตัวในจังหวะที่ถูกต้อง ซึ่งแน่นอน ของเหล่านี้ ไม่ได้มาฟรีๆ แต่เขาต้องฝึกอย่างหนักเพื่อแลกมา
1
"ผมคิดว่าตลอดอาชีพของผม ทำประตูได้ด้วยลูกโหม่งบ่อยอยู่เหมือนกันนะ" เบสต์ย้อนมาเล่าในภายหลัง
ด้วยการฝึกหนักเกินร้อย เพื่อกลบจุดด้อยของตัวเอง นั่นทำให้ จอร์จ เบสต์ ค่อยๆพัฒนาขึ้น จากดาวรุ่งแววดี เป็นนักเตะที่มีความครบเครื่อง
เขาว่องไวอยู่แล้ว แต่คราวนี้ฟิตขึ้น เล่นบอลได้ดีด้วยเท้าสองข้าง เทคนิคแพรวพราวขึ้น และโหม่งบอลถูกจังหวะมากขึ้น
ทุกสิ่งที่ได้มา ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มันได้มาเพราะการฝึกซ้อม
1
ถึงตรงนี้ เบสต์รู้แล้วว่า พรสวรรค์อย่างเดียว อาจโดดเด่นในช่วงแรก แต่ถ้าจะยืนระยะได้จริงๆ มันต้องมีความขยัน และพรแสวง เข้ามาประกอบกันด้วย
1
และในที่สุด 3 เดือนกับอีก 14 วัน แห่งการฝึกฝนอย่างหนัก และพยายามยกระดับตัวเอง ในที่สุด แมตต์ บัสบี้ ก็ให้โอกาสจอร์จ เบสต์อีกครั้ง
เบสต์ได้เลื่อนขึ้นมาจากทีมสำรอง กลับมาสู่แมนฯยูไนเต็ดชุดใหญ่อีกครั้ง และได้ลงเล่นในเกมลีก ที่พบกับเบิร์นลีย์
และทันทีที่ลงสนาม เบสต์สามารถยิงประตูได้ ก่อนช่วยให้ยูไนเต็ดถล่มชนะไป 5 ประตูต่อ 1
หลังจบเกม สื่อต่างๆ คราวนี้ก็หันมาชื่นชมเบสต์เป็นการใหญ่ นสพ.เบลฟาสต์ เทเลกราฟ ลงรูปจอร์จ เบสต์ เต็มหน้า Back Page
ขณะที่นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ที่เคยตำหนิเบสต์เมื่อสามเดือนครึ่งที่แล้ว คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นคำชื่นชม โดยระบุว่า "จอร์จ เบสต์ เป็นอาวุธสำคัญที่แมตต์ บัสบี้ ใช้ได้ผล เขาเล่นริมเส้นได้เยี่ยมมากๆ"
และจากวันนั้น แมตต์ บัสบี้เองก็รู้ว่า เด็กอายุ 17 ที่ชื่อ จอร์จ เบสต์ นั้นพร้อมแล้ว
เบสต์ ก้าวขึ้นมาอยู่ทีมชุดใหญ่ไปตลอด และคราวนี้ ไม่ได้กลับไปเล่นให้ทีมสำรองอีกต่อไป
คำว่าพรสวรรค์ ความหมายของมันคือ ได้ "พร" จาก "สวรรค์"
เป็นโชคดีนะ ที่เกิดมาแล้วมีสิ่งสุดยอดบางอย่างอยู่กับตัว เป็นข้อได้เปรียบเหนือกว่าคนทั่วไป
1
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีพรสวรรค์อยู่กับตัวแล้วแท้ๆ แต่ถ้าหากขาดการต่อยอดที่ดี มันก็เหมือนเอาข้อได้เปรียบนั้นโยนทิ้งไปเลย
2
เหมือนมาริโอ บาโลเตลลี่นั่นแหละ ใครๆก็บอกว่า เป็นสุดยอดนักเตะพรสวรรค์แห่งยุค แต่พอไม่โฟกัสที่การซ้อม มัวแต่สนใจอะไรไร้สาระนอกสนาม เราก็คงจะเห็นว่า บาโลเตลลี่ ลงเอยอย่างไร ทั้งๆที่เขาไปได้ไกลกว่านี้แท้ๆ
2
เพราะการมี พรสวรรค์ อาจทำให้ไปได้ไว
แต่ถ้าอยากไปได้ไกล พรแสวงมันต้องมี
1
#BEST
โฆษณา