24 พ.ค. 2020 เวลา 12:11
เรื่องสั้นย้อนยุค (ตอนที่ 4)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
ขอส่งเรื่องสั้นย้อนยุค ตอนที่ 4 และ รูปวาด: ซ้ายมือ คือ พี่หนูพิม คนกลาง-หนูพา, คนขวา-พี่หนูพลอย,
พี่หนูพิม, คุณหนูพา, พี่หนูพลอย
สำหรับเพลงระนาด ลาวแพน ที่ผมได้ฟังแล้วรู้สึกว่าไพเราะที่สุด เท่าที่เคยฟังมา จะเป็นของครูประสงค์ พิณพาทย์ ความยาวประมาณ 11 นาทีเศษ ครับ(ถ้าเพื่อนๆที่สนใจฟังเพิ่มเติม ..ขอแนะนำเลยนะครับ )
ความเดิมตอนที่แล้ว:คุณหลวงได้อุ้มคุณหนูพาจากตำหนักของหม่อมท่าน มาส่งที่เรือนคัดสรร ..เมื่อคุณหนูพา เห็นครูช้อย คุณหนูพิม คุณหนูพลอย ที่กำลังออกตามหากัน..จึงเป็นลมล้มพับหลับไป...
บทที่ 1 อรุณรุ่ง
ตอนที่ 4 ทิพยสถาน
หนูพา ค่อยๆรู้สึกตัว …และ ลืมตาขึ้นมองรอบๆ อย่างช้าๆ ก็พบว่า..
ขณะนี้ หนูพากำลังนอนหนุนตัก พี่หนูพิม พี่สาวคนโต ที่กำลังเช็ดหน้าเช็ดตา หนูพา อย่างประณีตบรรจง ด้วยผ้าเนื้อดี นุ่ม ฟุ้งกลิ่นหอมดอกไม้ อยู่จางๆ…
และมี พี่หนูพลอย พี่สาวคนรอง กำลังบีบนวดหนูพาอยู่
ดวงตากลมโตที่แดงระเรื่อของพี่หนูพลอยนั้น มีน้ำตา ที่กำลังร่วงหยดเผาะๆ ไม่ขาดสาย
“..พี่หนูพลอย สอนหนูพาก็หลายครั้งแล้วว่า อย่าปล่อยให้ท้องหิว จนเป็นลมเป็นแล้งแบบนี้ได้..
จะอายเขา ใช่มั้ยเจ้าคะ..”
“เป็นลมครานี้ ก็ใช่จะเป็นลมธรรมดา…เป็นลมที่หอบหิ้วอุ้มกลับมาด้วยพ่อเทพบุตรจากพระนคร เสียอีกนะ หนูพา”
“…ถ้าเจ้าคุณพ่อรู้ ..เรื่องนี้คงจะพาลกลายเป็นลมพิษ …ให้ชาววังคนอื่นคันคะเยอขึ้นอีก…พี่หนูพลอยละ ไม่อยากจะนึกถึงจริงๆ”
หนูพามองหน้าหนูพลอยนิ่งอย่างขัดใจ ก่อนจะดันตัวขึ้น อ้าปากเถียง…
แต่ก็ในทันทีทันใด พี่หนูพิม กดตัวหนูพาให้นอนกลับลงไป และเอาผ้าที่กำลังเช็ดที่บริเวณหัวไหล่อยู่นั้น มาปิดปากหนูพา พร้อมกับพูดปรามว่า
“…ระมัดระวังกิริยา ให้สงบเสงี่ยม ขึ้นเลยนะทั้งสองคน ..มีคนอื่นๆ เค้าอยู่กันเต็มเรือน…”
“หนูพาก็ต้องนอนพัก ให้ฟื้นคืนกำลังเสียก่อน รู้มั้ย”
“เจ้าค่ะ คุณพี่”
หนูพลอย หนูพา ตอบพลางพยักหน้ารับ และเหลียวมองดูรอบๆตัวอีกครั้ง พบว่า...
บริเวณที่หนูพา และพี่ๆนั่งกันอยู่นี้ คือ ตรงมุมหนึ่งของชานเรือนที่มีเงาไม้พาดบังแดด อยู่ …
ชานเรือน
ผู้คนในเรือนต่างก็เดินกันไปมาขวักไขว่ เหมือนกำลังจัดเตรียมงานอะไรบางอย่าง
.
.
ขณะที่ครูช้อยเอง ก็กำลังทักทาย แขกสองท่าน คือ ชายหนุ่มแปลกหน้า คนที่อุ้มหนูพามาส่งที่เรือนคัดสรร และชายสูงวัยอีกคนหนึ่ง ด้วยท่าทางที่นอบน้อมผิดปกติ อยู่บริเวณในเรือน
.
.
เมื่อหันกลับมา สังเกตโดยรอบอีกครั้ง ก็รู้สึกได้ทันทีว่า ทุกคนในเรือนต่างก็สนใจ แขกทั้งสอง
ทั้งยังมีลักษณะคอยเงี่ยหูฟัง แบบที่เรียกกันว่า สอดรู้ อยู่ตลอด …
และด้วยท่าทางของทุกคนที่ ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับแขกทั้งสอง อย่างนอบน้อมยิ่งนี้ แสดงให้เห็นได้ชัดว่า ...
แขกทั้งสองท่านนี้ จะต้องเป็นผู้มีเกียรติที่สำคัญ อย่างเป็นแน่
.
.
นอกจากนี้ บ่าวทั้งหลายยัง กุลีกุจอ เอาพรมผืนเล็กมาปูเป็นพิเศษทับอีกผืน เป็นทางลาดปูมาจากในเรือนมายังชานเรือนตรงนี้ และทอดยาว จนถึงประตู ขณะที่คณะปี่พาทย์เองก็กำลังวางตั้ง เครื่องดนตรี อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นด้วย เช่นกัน
.
.
“ คุณหนูพา เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย คะ? “
คุณพีระยิ้มอย่างอ่อนโยน เอ่ยทักทายหนูพา และขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ พร้อมกับเพื่อนของคุณพีระ อีกสองคน
.
.
คุณหนูพา ยิ้มกว้างให้คุณพีระ และกำลังจะชันตัวลุกขึ้นตอบ..
แต่ทันทีทันใดนั้น พี่หนูพิมก็กดตัวหนูพาให้นอนกลับลงไปอีกครั้ง และเอาผ้าที่กำลังเช็ดที่บริเวณแขนอยู่นั้น มาปิดปากหนูพา และตอบแทนว่า
“…You must be Khun Peera whom our youngest sister has mentioned so many times about…how great thou are…”
คุณพีระ สีหน้าเจื่อนลงสักนิด แล้วจึงยกมือพร้อมกล่าวสวัสดี อีกครั้งว่า
“…สวัสดี คุณพี่พิม คุณพี่พลอย นะขอรับ…”
คุณหนูพิม ยกมือรับไหว้อย่างงดงาม ขณะที่คุณหนูพลอยกำลังสาละวนหาขนมที่เหน็บชายเสื้อ เพื่อเอามาให้หนูพา…
“ นี่เพื่อนกระผม ขอรับ คุณพี่พิม คุณพี่พลอย…”
“คนตัวสูง ชื่อ คุณพี่ไกรสร และคนผิวเข้มทองแดงนั้น ชื่อ ทองดี ขอรับ” คุณพีระเอ่ยแนะนำ
.
.
“ สวัสดี ข้อ รับ คุณพี่ยิ้ง ทั่ง ซ้อง“ เพื่อนของคุณพีระ ยกมือสวัสดี และตั้งใจ กล่าวทักด้วย สำเนียงมอญรามัญโบราณ ..
ที่ฟังคล้ายสำเนียงคนฝรั่งเศส ..พร้อมยิ้มตาหยี โชว์ฟันขาวให้…
ทั้งสามศรีพี่น้อง นิ่งอึ้งไปสักครู่ กับสำเนียงแปลกๆ นั้น …
พลางมองดูหน้ากัน แล้วก็ส่ายหน้า กลั้นหัวเราะกับเพื่อนจอมทะโมนแต่ละคนของคุณหนูพา …
จนที่สุดถึงกับทนกันไม่ไหว…
เปลี่ยนกลายเป็นเสียงหัวเราะคิกคัก ดังตัวโยน อยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานพอดู
.
.
“ อยู่กันที่นี่เอง นะเจ้าคะ คุณหนูทั้งหลาย “ แม่แช่มเดินโผล่เข้ามาทักกลางวง หน้าตามัน มาจากครัว. ..“ สำรับจัดเรียบร้อย แล้วนะเจ้าคะ …ไปกันเถอะเจ้าค่ะ “
1
แม่แช่มพูดพลาง ก็เข้ามาจัดแจงลูบหน้าลูบหลัง และพูดคำพร
เพราะๆ ชมเชย ผีสาง เทวดาที่ฟื้นอาการคุณหนูพา ..พูดไป พลางก็อุ้มคุณหนูพาขึ้นขี่หลัง แล้วจึงเดินนำหน้าพา เด็กเข้าเรือนไป…
เมื่อเหล่าเด็กๆ กินข้าวกินปลาเสร็จแล้ว … ครูช้อย ก็ให้คนมาตามออกไป ทางด้านหน้าของเรือน อันเป็นบริเวณที่มีงานต้อนรับ ซึ่งตอนนี้ ประดับประดาสารพัดสิ่ง เสร็จเรียบร้อยแล้ว…
โดยแขกทั้งสอง และครูช้อย ท่านยังนั่งอยู่ในเรือน ที่เรียกกันว่า “หอนั่ง” …
บ่าวไพร่ คอยทยอยกัน ยกสำรับกับข้าว กระโถนขันน้ำ เข้าไปตั้ง… กันจนครบสำรับตำหรับชาววังเรียบร้อย …ทั้งสามจึงเริ่มกินข้าวจากสำรับนั้น…
จะเป็นเพราะเสียงปี่พาทย์ หรือด้วยบรรยากาศ สนุกสนาน คุยกันสนุกจอแจ ของคนบนเรือน
หนูพาจึงสังเกตเห็นได้ชัดว่า ครูช้อย และ แขกทั้งสองจะสนทนาออกรสเป็นพิเศษ …
เมื่อได้เห็นกันใกล้ๆ…แขกอาวุโสท่านนี้ ก็คือ “เจ้าคุณสันติ” ที่หนูพาชอบฟังเรื่องเล่าของท่านนั่นเอง…
ท่านเจ้าคุณสันติ พูดคุยอย่างอารมณ์ดี และหัวเราะด้วยเสียงดังกังวาล เป็นระยะๆ…
เนื้อหาบางตอนของการสนทนานั้น เล่าถึง การเปลี่ยนแปลงในราชการบ้านเมือง หลายประการ ทั้งเรื่องความมากความของกงสุลอังกฤษ หรือความน่ากังวลของเจ้าชายชาวฝรั่งเศสท่านนั้น ที่วนเวียนวุ่นวาย อยู่ในสยาม,
ตลอดจนถึง พระราชดำริ ของพระเจ้าอยู่พระองค์ใหม่ ในพระราชกรณียกิจ นับจากนี้ ด้วยประกายตาแห่งความหวังและความภาคภูมิใจ ในสยามประเทศ
หรือ บางที ก็มีเปลี่ยนเรื่องพูดถึง ร้านค้า ห้างร้านจากต่างประเทศที่เพิ่งมาเปิด และสินค้าแปลกๆ ที่เรียกว่า “หลอดเสียง” หรือ “กล้องถ่ายรูป” จนเด็กๆสอดรู้ที่นั่งฟังอยู่นั้น ต้องอ้าปากค้าง กันตามๆกัน
.
.
“น่ากินจัง เลยนะเจ้าคะ พี่หนูพิม“
หนูพลอยพูด ด้วยสายตาลอยๆ มองไปยัง ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น
“ ระมัดระวัง กิริยาท่าทาง คำพูดคำจา ให้มากกว่านี้หน่อยนะจ้ะ หนูพลอย” พี่หนูพิมพูดปราม …
ด้วยสายตาลอยๆ ที่มองไปยัง ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น เช่นกัน
“ หนูพลอย มิได้หมายถึง ชายแปลกหน้าคนนั้น นะเจ้าคะ พี่หนูพิม “
“ หนูพลอย หมายถึง น่องไก่ย่างในมือของเค้า ต่างหากนะเจ้าคะ “ หนูพลอยกระซิบตอบ พลางเอนศีรษะพิงไหล่พี่หนูพิม และหัวเราะเบาๆ หยอกล้อ…
ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มแปลกหน้า ก็หันมองมาทาง สามศรีพี่น้อง...
จากนั้นจึงเพ่งมอง และพยักหน้ายิ้มทักทายมาที่หนูพา
“ ยิ้มอย่างนี้ …ก็ละลาย …กันพอดี…นะเจ้าคะ ” หนูพลอยพูดพลางเอามือสะกิด พี่หนูพิมที่กำลังหลบตาชายหนุ่ม และหันกลับมามองน้องสาวทั้งสอง ด้วยใบหน้าอมชมพูระเรื่อ…
“ เราจะหลบตาอย่างนี้ ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณพี่ “
หนูพา กระซิบบอกพี่ๆ
“ เรามีกันตั้งสามคน นะเจ้าคะ… เราต้องสู้ตาเค้า เจ้าค่ะ “
“ เหมือน ตอนที่เราเคยเล่นจ้องตา ใครกระพริบก่อนแพ้ น่ะเจ้าค่ะ “
หนูพาพูดปลุกใจให้พี่สาวทั้งสอง เงยหน้ากลับขึ้นจ้องสู้ตา ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น…
พี่หนูพิม จึงกลับมา ยืนตรงสำรวม กุมมือนิ่ง สูดลมหายใจเข้า-ลึก-ออก-ยาว จ้องตากลับไป คล้ายกสิณ หรืออสุภกรรมฐาน..(การพิจารณาซากศพ)
ขณะที่หนูพลอย ยืนเกาะแขนพี่หนูพิม สูดกลิ่นอาหาร เข้า-ลึก-กลั้นไว้-ออก-ยาว จ้องตากลับไป คล้ายจะกลืนกิน ชายหนุ่มเหมือน น่องไก่ย่างในจานนั้น
ท้ายที่สุด น้องเล็กหนูพา ยืนเท้าสะเอว เอียงคอนิดๆ และ เบิ่งตากว้างโต ค้างไว้ จ้องชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น…
ด้วยตบะ แห่ง นักเลงโต…
สามดรุณี ยืนสู้ตา คุณหลวง :)
แว่บอาการแรกของชายหนุ่ม คือผงะตกใจอย่างเล็กน้อย …ก่อนที่จะเอามือปิดปาก …
พยายามกลั้นหัวเราะกับท่าทางอันแปลกประหลาด และสายตาที่จ้องมาอย่างไม่กระพริบตา ของดรุณีน้อยทั้งสามคน…
จนเจ้าคุณสันติเห็นท่าทางนั้นของชายหนุ่ม จึงเอ่ยว่า
“ขอเชิญคุณหลวง ตีระนาดให้เด็กๆในเรือนคัดสรร ได้ฟังกันสักเพลง…ท่าจะดี ”
 
ชายหนุ่ม ได้ยินเจ้าคุณสันติ ท่านเรียกขอให้ช่วยตีระนาด จึงโค้งศีรษะลงเล็กน้อย และตอบว่า
“ กระผม ทิ้งทางระนาด มานานแล้วขอรับ “
“ เกรงว่าจะตามไม่ทันวงปี่พาทย์ของครูช้อย นะขอรับ “
ท่านเจ้าคุณสันติ ยิ้มตาเป็นประกาย แล้วจึงพูดว่า...
“ อย่าเกรงใจ ถ่อมตัว เลยคุณหลวง “
“ คนกันเองทั้งนั้น …ผมเคยได้ฟังคุณหลวงเล่นครั้งสองครั้ง ที่วังบูรพา ยังติดใจ จนอยากจะฟังอีก “
ท่านเจ้าคุณพูดพลางก็จูงมือ คุณหลวง เดินไปที่วงปี่พาทย์ …
แล้วยืนรอฟังอยู่ …จนวงทำเพลงจบลง จึงเข้าไปคุยกับนายวง ขอให้มือระนาดเอกลุกจากที่ ให้คุณหลวงเข้าไปนั่งแทน …
ขณะนั้นทุกคนในงานก็พร้อมใจกัน หยุดรับประทาน หันไปมองอย่างสนใจ… พร้อมเสียงซุบซิบ
โดยเฉพาะสามดรุนี ที่ยังคงยืนนิ่ง…ท่าเดิม เบิ่งตาค้างไม่กระพริบ …
จ้องคุณหลวงที่กำลังจับไม้ระนาดขึ้นลองไล่ลูก ก่อนจะขยับจัดท่าทางให้ผ่อนคลาย และยกไม้ระนาดชูขึ้นจรดหน้าผาก พนมมือระลึกถึงเทวาอารักษ์ แลครูบาอาจารย์ทางดนตรี…
จากนั้น คุณหลวงเริ่มตีทางหวาน เบาๆ ตามทำนองช้าๆ สอดรับกับ เสียงดังเป็นจังหวะของตะโพน และฉิ่ง…
สายตาของคุณหลวงทอดยาวไกลออกไป ในภวังค์ …คล้ายอยู่ในทิพย์วิมาน…
กระแสทางระนาดของคุณหลวง ในช่วงแรกถึงจะฟังหวาน แต่ก็แฝงด้วยความเศร้า คล้ายคำพร่ำพรรณาถึงความห่างไกลและการสูญเสีย อันไม่อาจหวนคืนมา…
ถ้อยคำทางดนตรี ที่พรั่งพรูออกมาจากผืนระนาด ช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้น อันยากจะอธิบาย เต็มไปด้วยข้อสงสัย ความคิดถึงและเพ้อรำพึง…
จนคุณหนูพา รู้สึกว่า มีน้ำตาอุ่นๆ ค่อยๆเอ่อล้น ขอบตาทั้งสองข้าง …เมื่อนึกถึง ถ้อยคำของหม่อมทินกรท่านบอก กับหนูพาว่า
“ วันนี้ เจ้าคุณสันติจะรับ คุณพี่พิม คุณพี่พลอย และคุณเจ้าขา ไปฝากตัวกับเสด็จท่าน…”
มันช่างเป็นความรู้สึกสูญเสีย ที่ยากจะเกินรับของหนูพา เสียนี่กระไร…
จากนั้นคุณหลวงก็เปลี่ยนจังหวะ เป็นตีเร็วขึ้น… ขับไล่ความทุกข์โศกนั้น ด้วยความเข้มแข็งหนักแน่นของน้ำหนักข้อมือ จนกลาย เป็นความรื่นเริงเข้ามาแทนที่ …
จังหวะนั้นยิ่งเร้งเร้าขึ้นอีก คล้ายเสียงคนวิ่งเล่น หยอกล้อ บางทีก็คล้ายเสียงหัวเราะ บางทีก็เปลี่ยนเป็น เสียงสกุณาร้องรับกัน คราเมื่ออรุณรุ่งมาเยือนอีกครา… เป็นถ้อยคำคล้ายดั่งความหวัง…
ว่า ที่สุดแล้ว วันหนึ่ง…
เราจะได้พบกันใหม่…
ไม้ระนาดที่สะบัดเหวี่ยง รัวเร็ว เร่งกระชั้น…ทำให้ผู้ฟัง ทุกคน ณ ที่นั่น คล้ายจะถูกสะกด หยุดหายใจ… เงียบเสียงลงฟัง และ คล้ายจะโบยบิน ตามแสงสว่าง แห่งท่วงทำนอง แห่งความหวังนั้น…
เสียงฉิ่ง เสียงตะโพนเร่งดังเร้าใจตาม… ย้ำให้เห็น ท่วงทำนองของความสนุกและความชื่นชมยินดี ในลูกระนาดที่เปล่งเสียง…ว่า ยามเมื่อเรามาพบกันอีกครั้ง ด้วยความรื่นเริง
“ ภาพรอยยิ้ม พริ้มพราว…นั้นราว มีมนต์ขลัง”
“ ตกอยู่ในภวังค์ เพ้อครวญ…ใจเฝ้าเรียกหา ”
“ อธิษฐานถึงจันทร์… และดวงดาว บนฟ้า “
“ เพียงหลับตา… แล้วฝัน ถึงจันทร์ได้ไหม…”
1
เสียงแว่ว คล้ายดังคำร้อง ตามทำนองนั้น แว่วมาจากด้านหลังคุณหนูพา…
จนคุณหนูพา ต้องรีบหันกลับไปมองต้นเสียงนั้น…ทันที…
ก็ปรากฏ เป็น ภาพคุณพีระ ยืนนิ่ง …ส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นชินตา …ให้หนูพา
และ กำลังยื่นส่งผ้าเช็ดหน้าขาว มาให้…
พร้อมกล่าวว่า “ เช็ดน้ำตา เสียก่อนเถิด คุณหนูพา… อย่าได้ยกแขนเสื้อข้างขวาเช็ด เช่นทุกครั้งนะ… เดี๋ยวคุณพี่ ท่านจะเอ็ดเอาได้…”
“อื้อ…เจ้าค่ะ” หนูพา ยิ้มตาหยี ชื่นใจ ก่อนจะรับผ้าเช็ดนั้นมาซับปาดน้ำตา พลางเอ่ยถามว่า
“ คุณเจ้าขา ขับเพลงเมื่อกี้ ไพเราะมากเลยนะเจ้าคะ…เอาเนื้อร้องนี้มา จากไหน นะเจ้าคะ…”
คุณพีระ ยิ้มและกล่าวตอบว่า
“พีระ ไม่ได้ร้องเพลง อะไรเลยนะ… คุณหนูพา”
“พีระได้ยินแต่เสียงคุณหนูพา ร้องเพลงและเห็นหนูพา ยืนน้ำตาไหลอยู่…พีระเลยเรียกและยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ นี่แหละ “
“ ไว้คุณหนูพา มาร้องให้ พีระฟัง มั่งสิ…”
หนูพาซับน้ำตาพลาง แล้วจึงเงยหน้า มองตาคุณพีระ ด้วยตาแดงๆ และ เอ่ยว่า
“ ไว้หนูพาโตกว่านี้ก่อนนะเจ้าคะ… หนูพาจะตามหาคุณพีระ และจะร้องเพลงนี้ให้ฟังอีก นะเจ้าคะ…”
“ คุณพีระ อย่าเพิ่งขอให้ใครร้องเพลง ให้ฟังก่อนหนูพา นะเจ้าคะ…”
หนูพายิ้มกว้างตอบคุณพีระทั้งน้ำตา
1
คุณพีระ ยิ้มพยักหน้า พลางเอามือมาลูบ และขยี้ผมของหนูพาเบาๆ …ก่อนบอกว่า
“ ได้สิ… แต่หนูพา ต้องหยุดร้องก่อนนะ… พีระชอบเห็นคุณหนูพา ยิ้มรู้มั้ย…”
คุณหนูพาสูดลมหายใจเข้าลึกไป และยิ้มตาหยีแก้มแดงให้คุณพีระ… ก่อนจะหันไปมองทางวงปี่พาทย์ ที่กำลังตีเพลงประโยคสุดท้าย…
คุณหลวงท่านค่อยๆวางไม้ระนาดนั้นลง และยกมือไหว้ครูอีกครั้งหนึ่ง อย่างนิ่งสงบ…
ก่อนจะลุกขึ้นยืน…
ทุกคนในวงปี่พาทย์ ก็ก้มลงกราบพร้อมกัน ด้วยความเคารพนับถือในฝีมือชั้นครูของคุณหลวงท่านอย่างหมดหัวใจ… และเข้ามาใกล้คุณหลวง เพื่อจะพูดคุยถามไถ่ ขอเคล็ดที่สงสัยบางประการของระนาดเอก… เจ้าคุณสันติ หัวเราะอย่างถูกใจ และตบหลังกล่าวชื่นชมคุณหลวงท่านและวงปี่พาทย์ของครูช้อย…สักพักหนึ่ง… ก่อนจะพาคุณหลวงกลับไปยังหอนั่ง อีกครั้ง…
“ นี่กระมัง คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า บุญญาธิการและฌาณบารมี ในลักษณะ “เมตตาคุณ” ที่มักถูกกล่าวถึง ในเหล่าข้าหลวงของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง …ช่างน่าสนใจ อะไรเช่นนี้“
คุณไกรสรเอ่ย กล่าวกับเจ้าทองดี ก่อนที่จะเดินไปสมทบที่บริเวณหน้า หอนั่ง…
จบตอนที่ 4,
#เกร็ดเพิ่มเติม
#หอนั่งและชานเรือน
-หอนั่ง  
เป็นเรือนขวางกับเรือนนอนใช้เป็นหอนั่ง นิยมให้อยู่ด้านหน้าของบ้านใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อนรับแขกและรับประทานอาหาร, นอกจากนี้ยังเป็นที่สำหรับทำบุญเลี้ยงพระในเวลาที่บ้านมีงานเลี้ยงได้ด้วย
-ชาน
เป็นส่วนเชื่อมเรือนทุกหลัง มีขนาดกว้างมากเปิดโล่งไม่มีหลังคา
#จางวางทองดี
ครูทองดี  ชูสัตย์ นักดนตรีอาวุโสแห่งสำนักดนตรีวัดกัลยาณมิตร โดยมีศักดิ์เป็นน้าชายของหลวงกัลยาณมิตตาวาส เป็นนักดนตรีที่มีความสามารถรอบตัว ยกเว้นปี่ และจะชำนาญมากในเพลงหน้าพาทย์ที่สำคัญ
-ตลอดชีวิตครูทองดีจะเป็นครูผู้ถ่ายทอดที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันดีให้กับวงดนตรีต่าง ๆ ของฝั่งธนบุรี
#คณะนักดนตรีไทยไปอังกฤษ,
-ประเทศสยามให้ส่งดนตรีไปแสดงที่อังกฤษครั้งนั้น
ได้ส่งนักดนตรีไทยที่เป็นดนตรีของวังบูรพาภิรมย์แทบทั้งหมดซึ่งในการแสดงครั้งนั้นนำซอสามสายไปด้วยและเป็นเคราะห์นี้ที่มีมือดีได้บันทึกเรื่องราวคือนายคร้ามเป็นคนซอสามสายโดยนักดนตรีทั้ง 19 คนคือ
* จางวางทองดี (ครูทองดี)
* นายตาด
* นายยิ้ม
* นายเปีย
* นายนวล
* นายเนตร
* นายต่อง
* นายฉ่าง
* นายคร้าม
* นายชุ่ม
* นายสิน
* นายสาย
* นายแปลก
* นายเหม
* นายเปลี่ยน
* นายอ๋อย
* นายเผื่อน
* นายปลั่ง
* นายสังจีน
แต่เมื่อถึงอังกฤษมีคนเสียชีวิตคนหนึ่งคือนายสังจีนบรรเลงครั้งแรกเมื่อ 8 มิถุนายน 2428 เป็นเวลาสามเดือน,
-พระนางวิคตอเรีย พระราชินีแห่งอังกฤษ ทรงรับสั่งให้คณะนักดนตรีไทยมาแสดงต่อหน้าพระพักตร์ ในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 ณ พระราชวังชายทะเลแห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าพระราชวังแก้ว คณะนักดนตรีไทยเล่นเพลง ก๊อต เซฟควีน เป็นเพลงแรกแล้วจึงเล่นเพลงอื่นตามโปรแกรม หลังจบการแสดงพระองค์รับสั่งขอบใจและเมื่อส่งเสด็จเรียบร้อย พนักงานเอาบุหรี่ซิกาแรตมาให้แจ้งว่า พระราชทานเป็นรางวัลแก่นักดนตรีทุกคน นอกจากนี้ยังพระราชทานของที่ระลึก คือ เหรียญรูปพระนางวิคตอเรีย, พระฉายาลักษณ์ลายเซ็นพระหัตถ์ และพระฉายาลักษณ์ปริ๊นส์อัลเบิร์ต ฯลฯ
#ลาวแพน,
-เพลงลาวแพนเป็นเพลงที่นิยมนำมาบรรเลงเป็นเพลงเดี่ยวอวดฝีมือกันมากเพลงหนึ่ง, เพลงนี้มีต้นเค้ามาจากเพลงที่นิยมร้องเล่นกันในหมู่เชลยชาวลาวที่ไทยกวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทร์ในสมัยตอนต้นๆของยุครัตนโกสินทร์ ท่วงทำนองเพลงนี้มีทั้งความอ่อนหวานรำพึงรำพันและโศกเศร้าระคนกัน..
สวัสดี และขอจบเพียงเท่านี้
ขอบคุณครับ
ร้อยเรียงข้อมูล (T.Mon)
24/5/2020
ภาพและข้อมูลสนับสนุนส่วนหนึ่ง: วิเชียร กุลตัณฑ์.“เมื่อประเทศสยามส่งคณะปี่พาทย์ไปแสดงที่ประเทศอังกฤษ ในรัชสมัยพระนางวิคตอเรีย”, ศิลปวัฒนรรม พฤษภาคม 2526, ขอบคุณเพลงลาวแพน จาก youtube คุณเติ้ลขลุ่ยไทย ด้วยนะครับ :)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา