24 พ.ค. 2020 เวลา 14:27 • ปรัชญา
# เกรดแปดตอนอายุ 46 ปี
เพราะจริง ๆ แล้วคำว่าไว้ที่หลังอาจมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ไม่มีวัน อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
งานที่แสนหนัก
ในวันที่แสนยุ่งเหยิงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง Susan พยาบาลสาวที่เพิ่งเสร็จงานจากการดูแลผู้ป่วย ตลอดทั้งช่วงเช้า จนเมื่อถึงเวลาพัก Susan จึงรีบเดินไปที่โรงอาหาร
ซึ่งในขณะนั้นเอง เธอก็ได้สังเกตเห็น
Sharron เพื่อนรักของเธอ ที่ทำงานเป็นผู้ช่วยแผนกทำความสะอาดห้องผู้ป่วย เธอกำลังนั่งเหมอลอย พร้อมทั้งทานอาหารอยู่บริเวณโต๊ะแถวแรกของโรงอาหาร
เหมอลอย
ด้วยใบหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและเศร้าใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นแบบนั้น Susan จึงเดินเข้าไปทักทายว่า “ Sharron เธอเป็นอะไรรึเปล่า ดูเศร้ามากไปนะวันนี้” เธอถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
เมื่อ Sharron ได้ฟังเช่นนั้น เธอก็เริ่มแสดงท่าทางกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วจึงเล่าว่า “ ฉันคิดว่าฉันคงทำงานนี้ตลอดชีวิตของไม่ได้แน่ ๆ Susan ฉันต้องหางานที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่านี้
เพื่อที่จะได้แบกรับภาระของครอบครัวได้ ถ้าในตอนนี้ฉันไม่ได้พ่อแม่คอยดูแลฉันคงแย่แน่ ๆ เลย”
ความในใจ
ซึ่งในระหว่างที่ Sharron กำลังพูดอยู่นั้นเอง Susan ก็ได้สังเกตเห็น รอยฟกช้ำที่ข้อมือของเพื่อนเธอ โผล่ออกมาจากเสื้อแจ็กเก็ตที่ Sharron สวมใส่
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น เธอจึงแอบคิ้วขมวดเล็กน้อย แล้วกลับมาตั้งใจฟังเพื่อนของเธอพูดต่อไปว่า “อีกอย่าง สามีของฉันก็ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระอะไรเลย เขาดีแต่สร้างปัญหาไม่รู้จบ” เมื่อได้ฟังเช่นนั้น Susan จึงพูดกับเพื่อนของเธอไปว่า
“ โถ่ว Sharron ไม่เป็นไรนะ เธอเก่งในเรื่องการดูแลคนไข้มาก ๆ เลย ฉันยังจำที่เธอเคยบอกฉันไว้ได้นะ ว่าเธอชอบทำงานนี้และอยากที่จะเป็นพยาบาลจริง ๆ เสียทีแล้วทำไม เธอลองเข้าเรียนในโรงเรียนพยาบาลล่ะ เพราะฉันคิดว่าถ้าเป็นงานนี้ เธอต้องทำได้ดีอย่างแน่นอนเลย”
คำแนะนำ
Sharron ที่กำลังนึงคิดตามอย่างตั้งใจ จึงได้พูดขึ้นมาว่า “มันสายเกินไปสำหรับฉันแล้วแหล่ะ Susan ฉันแก่เกินไปสำหรับการกลับไปเรียนแล้ว
แม้ฉันจะรู้ดีว่าถ้าจบออกมาแล้วได้ทำงานเป็นพยาบาลจริง ๆ คงจะเหนื่อยมากแน่ ๆ แต่อย่างน้อยการได้เห็นรอยยิ้มของผู้ป่วยก็ทำให้ฉันมีความสุข คลายความเหนื่อยไปได้บ้าง”
“เธออายุเท่าไหร่กันเชียว” Susan ถามเสียงแข็ง พร้อมชี้ไปที่รอยฟกช้ำ ของ Sharron
จี้ใจดำ
แล้วก็พูดต่อไปว่า “ฉันเข้าใจนะว่าเธอคงผ่านเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดมา แต่เธอเชื่อฉันเถอะ มันไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอกนะ ถ้าหากเธอยังคงมีความฝัน แล้วเธออยากรู้ไหมว่าฉันรู้ได้ยังกัน”
Sharron ที่ได้เห็นแบบนั้น ก็ทำท่าทางตกใจเล็กน้อย พร้อมทั้งพยักหน้าตอบรับ แล้วก็เริ่มตั้งใจฟังสิ่งที่ Susan กำลังจะบอกเธอต่อไปว่า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนเลย แต่หากมันจะช่วยเธอได้ฉันก็ยินดีนะ จริง ๆ แล้ว ฉันแต่งงานตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปี ซึ่งตอนนี้ฉันเพิ่งเรียนอยู่เกรดแปดได้มั้ง”
ความหลัง
เมื่อได้ฟังแบบนั้น Sharron ก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรขึ้นมา Susan จึงเล่าต่อไปว่า “สามีของฉันเขาอายุ 22 ปี ตั้งแต่ครบกันมาฉันไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะเป็นคนที่ชอบใช้ความรุนแรง จนเมื่อเราแต่งงานกันได้ 6 ปี
แล้วเราก็ยังมีลูกชายที่น่ารักด้วยกันถึงสามคน จนกระทั่งคืนหนึ่ง เราสองคนทะเลาะกันหนักมาก สามีของฉันเริ่มทุบตีฉันอย่างทารุณ เขาต้อยฟันหน้าของฉันหลุดไปเกือบหมด หลังจากที่ตั้งสติได้
ฉันก็รีบคว้าเสื้อผ้า และก็ออกจากบ้านนั้นมา หลังจากนั้นเราก็ได้หย่ากัน โดยศาลพิจารณาให้สามีของฉันเป็นคนเลี้ยงดูลูก ๆ ของเรา เพราะตอนนั้นฉันเพิ่งอายุได้ 19 ปี และไม่อะไรมาค้ำประกันได้เลยว่าจะดูแลลูก ๆ ได้ หลังจากการพิจารณาคดีสิ้นสุดลง
ผลตัดสิน
ฉันก็ได้แต่ยืนทึ่ง แล้วมองดูสามีพาลูก ๆ ของฉันเดินจากไป มากกว่านั้นพวกเขายังตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างของฉันกับลูกอีกด้วย”
“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของฉันก็เหว่งคว้าง ฉันเลยเริ่มดิ้นรนทำงานทุกอย่าง ซึ่งงานหลัก ๆ ในตอนนั้นของฉันก็คือการเป็นพนักงานเสริฟ
ช่วงนั้นของฉันแย่มากเพราะตลอดทั้งสัปดาห์ ฉันกินได้แค่นมกับแครกเกอร์ไม่กี่ชิ้น แต่สิ่งที่ทรมานมากกว่าการกินก็คือชีวิตที่ดูไร้อนาคตของฉันนี้แหล่ะ ฉันออกมาอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ คนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าฉันคิดถึงลูก ๆ ที่วิ่งซุกซนไปมาของฉันมาก ฉันอยากได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขาใจจะขาด”
เริ่มต้นใหม่
หลังจากนั้น เสียงของ Susan ก็เงียบไปชั่วขณะ แล้วเธอก็ถอดหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เช็ดน้ำตาออกจากแก้ม แล้วก็เล่าต่อไปว่า
“ฉันใช้ชีวิตต่อจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้แต่งงานใหม่ แล้วฉันก็มีลูกสาว เธอกลายเป็นเหตุผล และคำตอบของการมีชีวิตอยู่ของฉัน จนกระทั่งเธอไปมหาวิทยาลัย เวลานั้นฉันเหมือนถูกโยนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งไม่มีผิด
ฉันไม่รู้เลยว่าฉันควรจะทำอะไร ยังไง ต่อไป จนกระทั่งแม่ของฉันป่วยหนักและต้องผ่าตัดเอาเนื้องอกออกจากร่างกาย เวลาฉันคิดตลอดเลยว่า ฉันอยากที่จะดูแลแม่ของฉันให้ได้ดีกว่านี้ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปเรียนต่อเกรดแปดให้จบ ตอนนั้นมันยากยิ่งกว่าการปืนขึ้นภูเขาสูงชันลูกใหญ่ เสียอีก
กลับไปทำตามฝัน
อีกทั้งลูกสาวของฉันก็ยังเคยแอบหัวเราะฉันอยู่บ่อย ๆ แล้วก็ยังพูดแซว ๆ กันด้วยนะว่า ‘หน้าที่ของเราเหมือนสลับกันเลยนะคะแม่ หนูทำงาน ส่วนแม่ก็เรียน’
แล้วเสียงของ ซูซาน ก็เงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็เริ่มพูดต่อไปว่า “และในที่สุด ฉันก็ได้รับประกาศนียบัตรว่าจบการศึกษาตอนอายุได้ 46 ปี”
เมื่อได้ฟังแบบนั้น น้ำตา ของ Sharron ก็ไหลลงมาอาบแก้มของ เธอ อย่างไม่ขาดสาย แล้ว Susan ก็เล่าต่อไปว่า
สะเทือนใจ
“ ซึ่งเมื่อฉันได้มา ขั้นตอนต่อไปที่แสนยากเย็นที่สุดสำหรับฉันก็คือ การเข้าเรียนในโรงเรียนพยาบาล ซึ่งมันเป็นเวลาสองปีแห่งความท้อแท้และสิ้นหวัง ฉันร้องไห้ทุกวันเพราะมันเรียนหนักและยากมาก
ฉันอยากจะลาออกอยู่หลายครั้ง แต่ครอบครัวของฉันก็ห้ามไว้ได้เสมอ ตอนนั้นฉันจำได้เลยว่า วันหนึ่ง จู่ ๆ ลูกสาวของฉันก็ตะโกนถามฉันขึ้นมาว่า 'แม่รู้ไหมว่ามนุษย์เรา มีกระดูกอยู่ในร่างกายทั้งหมดเท่าไร’
ทันทีที่ได้ฟังแบบนั้น ฉันก็ได้แต่คิดกับตัวเองว่า ‘ฉันต้องรู้ทั้งหมดนั้นเลยหรอ ตอนนี้ฉันอายุ 46 แล้วนะ ฉันไม่สามารถจำทั้งหมดนั้นไม่ได้หรอก!’
ชีวิตติดขัด
แม้จะแอบคิดแบบนั้น แต่ฉันก็ทำ ฉันพยายามจดจำและเรียนรู้ทุกอย่างให้หนักขึ้นมากขึ้น แล้วเธอรู้ไหม Sharron ในตอนท้ายฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะบรรยายความรู้สึกตอนที่ฉันได้รับหมวกและเข็มกัดสำเร็จหลักสูตรพยาบาลให้เธอฟังอย่างไรดีเลย
เธอไว้เพียงแค่ว่า วันนั้นฉันดีใจจนแทบบ้าเลยแหล่ะ” ทันทีที่ Susan พูดจบ เธอก็ได้เหลือบไปเห็นจานข้าวที่เย็นชื่ด กับน้ำแข็งที่กำลังค่อย ๆ ละลาย ของ Sharron
แล้วเธอก็พูดต่อไปว่า “ Sharron เธอไม่ต้องยอมทนเป็นคนที่ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวแบบนี้ก็ได้นะ เธอทำงานอยู่ในโรงพยาบาล เธอจะปล่อยให้ตัวเองฟกช้ำดำเขียวแบบนี้ได้ยังไงกัน”
เบื้องหลังของชีวิต
Sharron ที่ได้ฟังแบบนั้น ก็เริ่มยิ้ม แล้วเธอก็เช็ดน้ำตาออก ที่ตอนนี้เริ่มมีคาบมาสคาร่าเปรอะเปื้อน ออกด้วยผ้าเช็ดปาก พร้อมทั้งพูดขึ้นมาว่า “ ฉันไม่เคยรู้มาก่อน เลยว่า เธอเคยผ่านเรื่องที่แสนเจ็บปวดมามากมายขนาดนี้ เพราะเธอดูไม่เหมือนคนเคยผ่านเรื่องเลวร้ายแบบนั้นมาเลย”
Susan จึงยิ้มแล้วตอบว่า
“ เพราะที่ผ่านมาฉันคิดมาโดยตลอดว่า เรื่องยุ่งเหยิง และปัญหาที่เข้ามาในชีวิตของฉัน มันก็คือบทเรียนที่ช่วยให้ตัวของฉันได้พัฒนา และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงขึ้นยังไงล่ะ
แต่ว่านะ Sharron เธอจะช่วยฉันกับฉันได้ไหมว่าเธอจะไปเริ่มเรียนเพื่อเป็นพยาบาลอย่างที่เธอฝัน และนำความรู้เหล่านั้นมาช่วยเหลือคนอื่นที่เขาต้องการต่อไป เรามาข้ามผ่านภูเขาลูกนี้ไปด้วยกันนะ”
คำขอ
Sharron จึงให้สัญญากับ Susan ไปในวันนั้น และอีกไม่กี่ปีต่อมา เธอก็กลายเป็นพยาบาลเต็มตัว อีกทั้งยังได้ทำงานเคียงข้างเพื่อนของเธอจนกระทั่ง Susan เกษียณ ออกไป
แต่ Sharron ก็ยังคงไม่เคยลืมเพื่อนร่วมงานของเธอคนนั้นได้ และยังคงรักษาสัญญาที่เหลือของเธอต่อไป
ซึ่งในตอนนี้ Sharron ก็นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร โดยจับมือคนหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรอยฟกช้ำทั่วทั้งร่างกาย อีกทั้งยังมีสภาพจิตใจที่ย้ำแย่ไม่ต่างจากเธอเมื่อหลายปีก่อนเลย ซึ่งแน่นอนว่าเธอก็ได้พูดกับหญิงคนนั้นไปว่า “มันไม่คำว่าสายเกินไปหรอก เรามาข้ามผ่านภูเขาลูกนี้ไปด้วยกันนะ”
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “ชีวิตไม่เคยมีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น”
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄
โฆษณา