29 พ.ค. 2020 เวลา 10:48 • ท่องเที่ยว
เชียงใหม่ Alone EP.2 : ขึ้นดอยสุเทพกับสาวจีนแท้ ผู้พูดไทยคล่องยิ่งกว่าน้ำในคลองที่ไหล (เกี่ยว? 😆)
ความเดิมตอนที่แล้ว ......
พอเราเลือกได้แล้วว่าบ่ายที่เหลือนี้เราจะไปไหน เราเลยบอกพี่เจ้าของที่พักไปว่า "งั้นหนูไปเส้นดอยสุเทพค่ะพี่" แล้วมันก็มีเสียงผู้หญิงตอบกลับมาว่า "ไปดอยสุเทพเหรอคะ ขอไปด้วยได้ไหม" (คือพี่เจ้าของเป็นผู้ชาย)
ต่อ...
เราเลยเงยหน้าขึ้นมองอย่างไว แล้วก็เจอสาวน้อยนางหนึ่งค่ะ เราก็มองด้วยความงง คือไม่แน่ใจว่าพูดกับเราเหรอวะ รู้จักกันไหมเนี่ย แต่ทบทวนแล๊วทบทวนอีก ก็ไม่มีหน้านางจำไว้ในสมองส่วนไหนเลยน่ะสิ 555
แต่ก็นั่นแหละ ที่ตรงนั้นมันไม่มีใครแล้ว นอกจากเรา พี่เจ้าของ และนาง แถมนางยังพูดเรื่องเดียวกับที่เราพูด และยังส่งยิ้มแป้นมาที่เราอีกด้วย 🤣
จะทำยังไงได้ล่ะ...เป็นคนสวยใจทราม เอ้ย ใจงาม ก็ต้องยิ้มกลับ แล้วตอบไปว่า "ใช่ค่ะ กำลังจะไปดอยสุเทพ" และ "ไปด้วยกันไหมคะ" (นางงามสุด)
นางก็บอกอย่างไว "ไปด้วยค่าา"
สรุปก็ได้เพื่อนใหม่ (แบบไม่ได้ตั้งใจ) ร่วมเดินทางในวันนั้นไปโดยปริยาย 😄
สาวน้อยนางนี้ นางตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าหมวยๆ แค่เห็นก็จะรู้เลยว่ามีเชื้อสายจีนแน่นอน คือถ้าบ้านเราก็สาวไทยเชื้อสายจีนนั่นแหละ
สอบถามชื่อและอายุอานามกันแล้ว ก็สรุปว่านางชื่อ "ชิงชิง" เราเป็นพี่ นางเป็นน้อง นางก็พูดคะพูดขาไพเราะทุกคำ 555 เอ็นดูนางเลย
หลังจากนั้นเราสองสาวก็ออกตะลอน มุ่งสู่เส้นทางไปดอยสุเทพ โดยมีเราเป็นคนขับมอร์ไซด์ นางเป็นคนซ้อนและดู map ไปด้วย
* อยากเพิ่มเติมเป็นความรู้ (นี่เคยสับสน) : คำว่า "ขี่" กับ "ขับ" อันไหนใช้กับมอร์ไซด์ คือมันใช้ได้ทั้งคู่นะคะ ไม่ผิด "ขี่" มันคือกิริยาการเอาขาคร่อม เห็นภาพชัดเจนถ้าใช้กับมอร์ไซด์หรือจักรยาน แต่ "ขับ" มันคือการบังคับให้เคลื่อนไป (จะขี่แต่ไม่ขับก็กระไรอยู่ 55)
ภาพจาก : https://travel.kapook.com/view209762.html (Edited by : ยาจก)
ในช่วงที่นั่งมอร์ไซด์ฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงๆจากในเมืองจนขึ้นบนเขา เราก็มีการทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆ สอบถามเรื่องราวของแต่ละฝ่ายว่าเป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร
และมันก็มีเรื่อง surprise เราจนได้ค่ะทุกค๊นนน ....
เชื่อไหมคะ ว่าเราไม่ได้เอะใจอะไรเลย ว่านาง "ไม่ใช่คนไทย"
คือสำเนียงนางมันมีความแปลก เหมือนอาม่าพูดไทยอยู่บ้าง แต่เราไม่ได้แปลกใจอะไร คิดว่าอาจเป็นเด็กที่บ้านเป็นคนจีนสายตรง บ้านพูดภาษาจีนกันไรงี้ เลยอาจติดสำเนียงแบบคนจีนพูดไทยมาบ้าง
แต่ที่ไหนได้หลังจากพูดคุยกันสักพัก (จะถึงดอยสุเทพอยู่ละ 555) เราถึงได้รู้ว่านางเป็นสาวจีนแท้ 100% บินตรงมาจากประเทศจีน! พึ่งเรียนจบ! เลยมาเที่ยวคนเดียว! ชอบประเทศไทยมากกก
ซึ่งนอกเหนือจากสำเนียงแล้ว ที่เหลือนางใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้ดีมาก เรียบเรียงประโยคถูกต้องแทบทุกอย่าง นางฟังเราพูดเข้าใจแม้เราจะพูดเร็วก็ตาม และนางตอบโต้ได้อย่างเข้าใจจริงๆ แบบไม่บอกไม่รู้ว่าไม่ใช่คนไทย
ซึ่งจากการสอบถามนางว่าทำไมพูดภาษาไทยได้ดีขนาดนี้ นางบอกว่า "ชอบดูละครไทย" ค๊าาทุกค๊นน
นางเริ่มดูละครไทยมา 3 ปี (นางชอบพี่หมาก พี่ณเดชน์ พี่มาริโอ้ 55) เรียนภาษาไทยมาจากละครล้วนๆ
คือโคตรเทพอ่ะ นับถือจริงๆ ซึ่งเราย้อนมองมาที่ตัวเรา ดูซีรี่ส์เกาหลีมาจะ 5 ปีละ ได้แค่คำว่า อันยองฮาเซโย 😅
และนางยังมีบอกด้วยนะว่า "ถ้าพี่จะอธิบายอะไรเป็นภาษาอังกฤษให้หนูฟัง ไม่ต้องเลยนะคะพี่ เพราะหนูเข้าใจภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษ" นี่ก็ขำเลย 🤣🤣
หลังจากเม้าท์มอยกันเพลินๆตามก้นรถแดงมาสักพัก รถแดงเขาก็แวะข้างทางค่ะ ไอ้เราก็หักออกขวาไม่ทัน เขาจอด เราก็เลยต้องหยุดตามไปโดยปริยาย 😆 แต่มันทำให้เราก็ได้แวะจุดแรกกันค่ะ
จุดที่ 1 : จุดชมวิววังบัวบาน
เป็นจุดชมวิวเมืองเชียงใหม่ มองเห็นได้ไกลลิบ ที่นี่จะอยู่ก่อนถึงพระธาตุดอยสุเทพจ่ะ
ซึ่งตรงนี้จะมีของกินพวกผลไม้ ข้าวโพด อาหารกินเล่นขายด้วยนะคะ เสมือนเป็นจุดแวะพักเติมพลังเบาๆ พวกเราก็จัดข้าวโพดไปคนละฝักเช่นกัน ไม่ได้หิวนะ แต่บรรยากาศพาไป 555
จะบอกว่าจากที่พื้นราบแดดร้อนเปรี้ยง พอขึ้นมาบนเขา ฝนก็ปรอยมาให้หนาวเย็นชุ่มฉ่ำเฉยเลย งงมากแม่
ที่นี่นอกจากจุดชมวิวแล้ว ก็ยังมีน้ำตกวังบัวบานด้วยนะคะ เผื่อใครมีเวลาอยากแวะไปแช่เท้าเย็นๆก็ได้เช่นกัน ส่วนพวกเราเย็นพอละค่ะ เลยขอ skip 😂
ภาพจาก : https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/863770/
ภาพจาก : IG ของ @king_philip
หลังจากอิ่มหนำกับข้าวโพดร้อนๆใต้สายฝนแล้ว เราก็ไปกันต่อค่ะ
ความตั้งใจแรกเลยคือเราจะมาวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารกัน แต่ไปๆมาๆมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะทุกค๊น สรุปวันนี้พวกเราได้แวะวัดพระธาตุฯเป็นที่สุดท้ายต่างหาก 55
คือตอนที่เราตัดสินใจมาเส้นดอยสุเทพ เราตั้งใจจะมาไหว้พระธาตุเท่านั้น เพราะพี่เจ้าของที่พักบอกว่าถ้ามาเชียงใหม่ก็ควรไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพสักครั้ง ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่ 😆 โดยที่เราไม่รู้เลยเว้ยว่ามันมีที่เที่ยวตามเส้นทางนี้เยอะมากกก เราคิดว่าถนนคงไปสุดที่วัดพระธาตุฯ
แต่พอขี่รถมาถึงหน้าวัดพระธาตุฯ ปรากฏว่า เฮ้ยยย มันมีถนนไปต่อว่ะ เราก็เลยคุยกับน้องชิงชิงว่างั้นเราตามถนนไปก่อนเนอะ ไปดูว่าข้างหน้ามันมีอะไร
เราก็ขี่ต่อไปตามถนนเลยค่ะ แล้วเราก็เจอป้ายบอกว่าถ้าไปต่อก็จะไป "พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์" เราก็อ่ะ ไปที่นี่แหละ
เอาเข้าจริง พอมาถึงหน้าพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อีนี่ก็ยังไม่หยุดค่ะคุณขา 😅 ก็มันมีทางไปต่อนี่คะทุกค๊นน ทำไงล่ะก็ขี่ต่อไปเลย 55
และทางที่ซิ่งไปต่อมันคือทางไป "ดอยปุยยยย" เป็นดอยมีชื่อที่เราคุ้นหูกันดีมาก แต่เราไม่เคยรู้เลยว่ามันอยู่ที่นี่ 🤣
แต่ทางไปดอยปุยเป็นถนนลาดยางที่ไม่ได้ดีมากเด้อ ค่อนข้างแคบ คดเคี้ยว ลาดชันบางช่วง และเป็นหลุมเป็นบ่อพอสมควร (เหมือนคนละโลกกับถนนที่ผ่านมาเลยจ่ะ 🤣) นี่ต้องระวังสุดๆ ฝนก็ยังปรอย แถมมีหมอกจางๆ แต่สุดท้ายเราก็ไปถึงกันโดยรอดปลอดภัยนะเออ
จุดที่ 2 : ดอยปุย
ดอยปุยเป็นที่อยู่ของหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งค่ะ อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย บนดอยจะมีอากาศหนาวเย็นและชื้นเกือบตลอดทั้งปี เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ป่าสน และดอกไม้เมืองหนาวที่ชาวเขาปลูกไว้
เมื่อ พ.ศ. 2512 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จทอดพระเนตรหมู่บ้านนี้ ซึ่งในช่วงนั้นชาวบ้านยังคงปลูกฝิ่น และทอผ้าพื้นเมือง แต่มีฐานะยากจนอยู่ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้น เพื่อศึกษาวิจัยพืชเมืองหนาว และส่งเสริมให้ปลูกพืชทดแทนฝิ่น เช่น ผลไม้ ผัก ไม้ดอก ถั่วแดง กาแฟ เป็นต้นค่ะ
ภายในหมู่บ้านก็จะมีร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีทั้งที่ผลิตเองภายในหมู่บ้านและนำมาจากที่อื่นวางขายให้แก่นักท่องเที่ยวค่ะ และถ้าใครต้องการเช่าชุดชาวเขาใส่ถ่ายรูป ก็มีให้เช่าตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าเลยนะคะ 😆
ภาพจาก : https://www.emagtravel.com/archive/doi-pui.html
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจบนดอยปุย หลักๆก็มี...
》สวนดอกไม้ดอยปุย : เป็นสวนเล็กๆที่เขาปลูกพืชเมืองหนาวไว้ ตอนเราไปฝนกำลังปรอย (สิงหาคม) บรรยากาศดีมากกก ดอกไม้สีสันสดใส มีน้ำหยดตามดอกตามใบ งามสุด! ตรงส่วนนี้มีค่าเข้าชมคนละ 10 บาทค่ะ
》บ้านม้ง : เดินชมวัฒนธรรม สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวเขา
》ร้านขายสินค้า ของฝาก : สินค้าที่นิยมขายก็มี เสื้อผ้าชาวเขา ตัด เย็บ ปัก แบบ handmade (จะบอกว่าราคาค่อนข้างถูกมากกก ถ้าไม่ติดว่าอยู่ไกล ก็อยากจะรับมาขายเลยทีเดียว 555) นอกนั้นก็มีพวกชาจีน กับเครื่องเงินด้วยค่ะ
ภาพจาก : http://unseentourthailand.com/2018/01/26/doipui/
พอฟินกับบรรยากาศดอกไม้กลางสายฝน อินกับวิถีชุมชนชาวเขา พร้อมได้เสื้อผ้ากลับไปฝากบิดามารดรคนละตัวสองตัวแล้ว เราก็พร้อมไปกันต่อละค่ะ
เรากลับมาที่นี่ ที่ที่เราเลือกจะเลยผ่านไปก่อนในตอนแรก 😅
จุดที่ 3 : พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
โอ๊ยยย จะบอกว่าวิวสวยมากกก ดอกไม้ ต้นไม้หลากหลายพันธุ์ โดยเฉพาะใครที่เป็นสาย "ดอกกุหลาบ" ที่นี่เลยค่ะ คุณสามารถมาทำหน้าสวยๆแข่งกับดอกกุหลาบที่เบ่งบานหลากสีหลากสายพันธุ์ได้เลย
มาที่นี่แล้วคุณจะรู้สึกว่า "คุณเป็นเสมือนเจ้าหญิงกำลังเดินเล่นในทุ่งดอกไม้" ยังไงอย่างงั้นเลยแหละ 555
ภาพจาก : https://maypleblog.wordpress.com/พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์/
พระราชนิเวศน์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ของตำบลสุเทพค่ะ (“ดอยบวกห้า” เป็นชื่อเรียกตามคำพื้นเมืองนะคะ ดอยหมายถึงภูเขา บวกหมายถึงหนองน้ำ ห้าหมายถึงต้นหว้า หมายความว่า ที่ยอดดอยแห่งนี้มีหนองน้ำอุดมไปด้วยต้นหว้าขึ้นปกคลุมอยู่) โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างที่นี่ขึ้นในปี พ.ศ. 2504
เพื่อใช้เป็นที่ประทับในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงงาน และเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือ รวมทั้งเพื่อรับรองพระราชอาคันตุกะที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในโอกาสต่างๆด้วยค่ะ
ภาพจาก : http://www.bhubingpalace.org/
ว่ากันว่าการที่ทรงเลือกสร้างที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็เนื่องจากมีอากาศเย็นสบาย ภูมิประเทศสวยงาม อีกทั้งเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน ผู้คนยังดำรงรักษาจารีตขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามไว้อยู่ค่ะ
ซึ่งเนื้อที่โดยรอบพระตำหนักจริงๆประมาณ 400 ไร่ แต่แบ่งเป็นบริเวณที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมประมาณ 200 ไร่ค่ะ (เพียงแค่นี้เดินทั้งวันก็ยังไม่ทั่วเลยจ่ะแม่จ๋า 55)
แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ สำหรับผู้ที่อยากไปให้ทั่วจริงๆ เขามีบริการรถไฟฟ้านำเที่ยวจ่ะ 300 บาท/คัน (นั่งได้ไม่เกิน 3 คน)
และสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ควรรู้ในการเข้าไปเยี่ยมชมที่นี่ก็คือ "การแต่งกายให้เหมาะสม" ค่ะ ห้ามสวมกางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม และเสื้อแขนกุด นะคะคู๊ณ
ยิ่งตอนนี้เขางดให้บริการยืมคืนเสื้อผ้าแล้ว (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 เป็นต้นไป) ดังนั้นถ้าใครไม่แต่งกายให้ถูกต้องก็ไม่ได้เข้านะจ๊ะบอกเลย (นี่ใส่กางเกงขาดเข่าไป เกือบไม่ได้เข้าเช่นกัน 555 ดีที่ชิงชิงมีผ้าพันคอ เลยยืมมาพันเอวปิดรอยขาดไว้ 😂)
ส่วนข้อแนะนำอื่นๆสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในลิงค์ที่แป๊ะไว้ใน "เพิ่มเติมท้ายโพสต์" นะคะ
จุดที่ 4 : วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
สุดท้ายเราก็มาถึงที่นี่สักทีค่ะ หลังจากไปสแหล๋นแต๋น (ภาษาไรเนี่ย 😂) มาจนจะทั่วดอยละ 555
แต่ก่อนที่จะได้ไปเหยียบบันไดวัด ความพีคของวันก็เกิดขึ้นเอาฤกษ์เอาชัย...รถล้มค่ะทุกค๊นนนน 😂
เหตุเกิดจากจะจอดรถ แล้วพื้นมันลาดเอียง (มันเป็นทางลงเขา) ขาข้างที่จะเตะเอาขาตั้งลง มันดั๊นแตะไม่ถึงพื้น (ขาสั้นด้วยแหละ 55) ล้มเลยจ่ะ เราไม่เจ็บนะ แต่น้องชิงชิงได้แผลที่เท้าเลย 🙏🙏
เอ้อออ ขึ้นดอยปุยที่ทางอย่างโหดก็ไม่ล้ม ดั๊นมาล้มหน้าวัดที่เป็นทางลาดยางอย่างดี อนาจจิต 55 ยังไงใครที่จะไปก็ระวังเรื่องนี้กันด้วยน๊าาา
ภาพจาก : http://phuwrinthrpantadi872.blogspot.com/2019/02/blog-post_83.html
อ่ะ มันคงจะเป็นเวรเป็นกรรมอะไรสักอย่าง 55 เรามาไหว้พระธาตุกันดีกว่า...
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ค่ะ เป็นสถานที่สำหรับนมัสการพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เพื่อสิริมงคลของชีวิต
วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1927 (จ.ศ. 746) ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์มังราย
ตามตำนานเล่าว่า พญากือนาได้ใช้ช้างอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่
โดยพญากือนาทรงตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทายว่าหากช้างเชือกนั้นหยุดลงตรงที่ใด ก็จะให้สร้างพระธาตุขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งช้างเชือกดังกล่าวได้มาหยุดลงตรงยอดดอยสุเทพแห่งนี้ โดยทำทักษิณาวรรตสามรอบก่อนที่จะล้มลง (ตาย)
ดังนั้นพญากือนาจึงทรงรับสั่งให้สร้างพระบรมธาตุอันเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ ณ ยอดดอยสุเทพ อยู่คู่ฟ้าคู่ดินเชียงใหม่มานับแต่นั้นมาค่ะ
และว่ากันว่า..หากมาสักการะและอธิษฐานขอพรพระธาตุดอยสุเทพ จะมีแต่ความสำเร็จสมหวังดังปรารถนา แคล้วคลาด ผ่านอุปสรรคนานาไปได้ (พอรู้เยี่ยงนั้น "สายขอ" จะพลาดได้เยี่ยงไรเล่าท่าน 55)
ภาพจาก : http://phuwrinthrpantadi872.blogspot.com/2019/02/blog-post_83.html
แต่...ก่อนที่ยูจะขึ้นไปถึงพระธาตุได้นั้นนนน....ยูต้องผ่าน "บันไดนาค 7 เศียร" ให้ได้ก่อนนะจ๊ะ 555
บันไดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของวัดพระธาตุดอยสุเทพเลยค่ะ เป็นทางให้ประชาชนขึ้นไปสักการะพระธาตุ มีถึง 306 ขั้นเลยทีเดียว (นี่เดินขึ้นก็เล่นเอาหอบเลยค่ะ 😂)
แต่สำหรับใครที่ไม่สะดวกเดิน อยากเก็บแรงไว้เดินรอบพื้นที่ชั้นบนแทน ทางวัดก็มีรถรางไฟฟัาให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น. ในราคาขึ้น-ลง คนละ 20 บาท (สำหรับคนไทย) และ 50 บาท (สำหรับชาวต่างชาติ) ค่ะ
นอกจากจะเป็นที่สักการะของผู้คนจากทั่วสารทิศในช่วงเวลาปกติแล้ว ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพยังมีการจัดงาน "ประเพณีเตียวขึ้นดอย" เพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุเป็นประจำทุกปีด้วยนะคะ โดยจัดขึ้นในช่วงวันวิสาขบูชาค่ะ
ในงานจะมีขบวนแห่น้ำสำหรับสรงพระธาตุ โดยมีพระสงฆ์ สามเณร และพุทธศาสนิกชนจากชุมชนต่างๆ มาร่วมขบวนกันอย่างมากมายเลย
พอตระเวนไหว้สักการะจนทั่วทุกมุมของวัดแล้ว ก็ได้เวลาอันสมควรกลับที่พักกันแล้วแหละค่ะ ก่อนที่มันจะมืดจะค่ำไปมากกว่านี้ (ขาสั้นแล้ว ตายังไม่ดีด้วย 555)
วันนี้หมดแรงค่ะ เดิน เดิน และก็เดิน 😅 กินข้าวที่ตลาดแถวที่พักเสร็จ ก็สลบกันอย่างสงบทั้งคู่
มาเจอกันใหม่พรุ่งนี้นะค๊าาทุกคนน เราจะไปตะลอนเชียงใหม่ด้วยกันต่อค่ะ
ยาจก
เพิ่มเติมท้ายโพสต์
-ข้อแนะนำเมื่อเข้าชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา