25 พ.ค. 2020 เวลา 12:05 • กีฬา
นี่คือจุดพีกของอัจฉริยะจอร์จ เบสต์ เขาพาแมนฯยูไนเต็ด ไปถึงแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ และคว้ารางวัลบัลลงดอร์ พร้อมได้รับฉายาว่าเป็นผู้เล่นที่เลี้ยงบอลเก่งที่สุดในโลก ติดตามกันต่อกับเบสต์ EP.5 ของเรา
ในประวัติศาสตร์ของแมนฯยูไนเต็ด มีสุดยอดนักเตะมากมาย แต่มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่ไปถึงรางวัลบัลลงดอร์ได้สำเร็จ
ได้แก่บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน, เดนิส ลอว์, จอร์จ เบสต์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ชาร์ลตัน, ลอว์ และโรนัลโด้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะจอมขยัน พวกเขาฝึกซ้อมอย่างหนัก จนพัฒนากลายเป็นผู้เล่นระดับโลก
แต่กับกรณีของเบสต์นั้นมันต่างกันเล็กน้อย
ฝีเท้าของเบสต์นั้นมันไม่สามารถอธิบายได้ คือคุณฝึกหนักอย่างเดียว ไม่สามารถเก่งได้ขนาดนี้แน่นอน
สิ่งที่เบสต์มีติดตัวมาแต่เกิดคือพรสวรรค์ระดับพระเจ้า
"จอร์จ เบสต์ เป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์มากที่สุดกว่านักฟุตบอลคนไหนที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต การคอนโทรลบอลของเขาสมบูรณ์แบบและเป็นธรรมชาติ" เซอร์แมตต์ บัสบี้ อดีตผู้จัดการทีมแมนฯยูไนเต็ด ยอมรับ
จุดพีกของเบสต์ อยู่ในช่วง 2 ซีซั่น 1966-67 และ 1967-68
เขายังหนุ่มยังแน่น สภาพร่างกายเต็มร้อย วิ่งเร็วปานจรวด และมีประสบการณ์มาพอสมควรแล้วกับลีกสูงสุด ณ วินาทีนั้น ยากมากที่จะหาคนเก่งไปกว่าเขา
ในซีซั่น 1966-67 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ล่าแชมป์ลีกสูงสุด โดยมีคู่แข่งสำคัญคือลิเวอร์พูล
แต่ปัญหาคือระหว่างฤดูกาล เดวิด เฮิร์ด กองหน้าคนสำคัญเจออาการบาดเจ็บหนักขาหัก ส่วนบ๊อบบี้ โนเบิล ดาวรุ่งฝีเท้าดีอีกคนขาหักเช่นกัน ขณะที่บ็อบบี้ ชาร์ลตัน กับ เดนิส ลอว์ ก็เหมือนจะโดนคู่แข่งจับทางได้ อะไรๆก็ดูไม่เป็นใจเลย
11 เกมแรกของยูไนเต็ด แพ้ไปแล้ว 4 เกม อยู่อันดับ 8 ของตาราง ดูเผินๆแล้วปีนี้ อาจจะยากที่จะคว้าแชมป์ได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เมื่อจอร์จ เบสต์ ในวัย 19 ก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนของทีม เขาพาปีศาจแดงชนะแบบวันแมนโชว์ เกมแล้วเกมเล่า
2
หากเพื่อนเล่นไม่ออก เขาก็เลี้ยงบอลคนเดียว ล็อกหลบคู่แข่งมันทั้งทีม เข้าไปยิงประตูเองเลยก็ได้
2
น่าแปลกคือทั้งๆที่ทุกคนรู้ว่า เบสต์ มันต้องลากเดี่ยวแน่ๆ แต่กลับไม่มีกองหลังคนไหนสกัดได้อยู่เลย การเลี้ยงบอลของเบสต์คือที่สุดแล้ว
3
คู่แข่งพยายามใช้การเล่นหนักเข้าหยุดเบสต์ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะเขาคล่องตัวจนบรรดาฮาร์ดแมนเสียบไม่โดน
"มันคือปาฏิหาริย์เลยล่ะ ถ้าคุณสอยจอร์จ เบสต์ลงได้สักครั้ง" โจ เมอร์เซอร์ ผู้จัดการทีมแมนฯซิตี้เผย
1
ในบันทึกของฮิวจ์ส แม็คอิลวานนีย์ นักข่าวจากนสพ.อ็อบเซอร์เวอร์ ที่เข้าไปชมเกมระหว่าง แมนฯยูไนเต็ด กับสเปอร์ส เขียนบรรยายเกมว่า
"เบสต์ เลี้ยงลูกจี้มาจากมุมธงสุดเส้นหลัง เขาพาลูกโยกหลบกองหลังสเปอร์สที่วิ่งถลาเข้ามาทีละคนเหมือนเล่นสกีสลาลม"
1
"1 คน 2 คน 3 คน 4 คน แล้วสับไกยิงเต็มเหนี่ยว ลูกบอลพุ่งเสยเสียบเพดานอย่างไม่น่าเชื่อ แฟนบอลทั้งสนามเฮกันกึกก้อง พวกเขาไม่ได้โห่ร้องเพราะแมนฯยูไนเต็ดยิงประตูได้ แต่โห่ร้องเพราะความมหัศจรรย์ของเบสต์"
ที่สำคัญเบสต์ไม่ได้ยิงประตูแบบนี้แค่ลูกเดียว แต่เขาทำมันทั้งฤดูกาล
1
เพื่อนร่วมทีม และผู้จัดการทีม หลายๆครั้งก็โมโหที่เบสต์ทำไมไม่ส่งบอลสักที แต่พอเบสต์สุดท้ายยิงได้ มันก็ไม่รู้ว่าจะไปตำหนิได้ยังไง
1
"ครั้งหนึ่งเบสต์เลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้ 4 ตัว แล้วทำบอลเสีย ผมโมโห ชูกำปั้นเตรียมด่า มันเล่นอะไรของมันวะ ทำไมไม่จ่ายบอลง่ายๆ" แมตต์ บัสบี้เล่า "แต่ทันใดนั้น เขาสปีดแย่งบอลกลับมา แล้วเลี้ยงหลบคู่แข่ง 4 ตัวอีกรอบนึง ก่อนชิพลูกข้ามหัวโกล์ เป็นประตูชนะให้ทีม คือเขาเล่นได้ขนาดนี้ ผมจะไปพูดอะไรได้"
1
การก้าวขึ้นมาของเบสต์ ทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นง่ายขึ้นมาก เพราะคู่แข่งต้องยอมใช้นักเตะ 2-3 คน มารุมประกบเบสต์ ทำให้คนอื่นในทีมมีพื้นที่โล่งมากในการจบสกอร์
อย่างเดนิส ลอว์ ซีซั่นก่อนยิงไป 15 ลูก แต่พอมาในซีซั่น 1966-67 เขาซัดไป 23 ประตู
แฟนบอลยุคปัจจุบันนั้น นึกไม่ออกว่าการเลี้ยงของเบสต์มันเหนือชั้นขนาดไหน เคยมีคนตั้งคำถามว่า เลี้ยงเก่งกว่าไรอัน กิ๊กส์ไหม?
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เคยใช้งานกิ๊กส์ และเคยเห็นเบสต์เล่นในช่วงพีก อธิบายว่า
"เบสต์คือปีกที่เลี้ยงบอลเหนือกว่าไรอัน กิ๊กส์ แต่มีความคมในการจบสกอร์เท่ากับอลัน เชียเรอร์" นี่คือคำนิยามที่อธิบายถึงเบสต์ได้อย่างเห็นภาพที่สุด
3
--------------------------------------------
11 เกมแรกในซีซั่น 1966-67 แมนฯยู เริ่มจากอันดับ 8 แต่จากนั้นมาอีก 8 เกม ทีมปีศาจแดงชนะ 7 เสมอ 1 พลิกขึ้นมาเป็นจ่าฝูงได้อย่างสวยงาม
จากนั้นพวกเขาก็เก็บชัยชนะมาได้เรื่อยๆ ขณะที่เกมสำคัญคือการเปิดบ้านรับมือลิเวอร์พูลของบิลล์ แชงคลีย์ ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งน่าจะเป็นเกมตัดสินแชมป์ แมนฯยูไนเต็ดก็ประคองตัว ดึงผลเสมอ 2-2 เอาไว้ได้ โดยเบสต์ ยิงในเกมนี้ไป 2 ลูก
1
เกมถึงนัดรองสุดท้าย แมนฯยูไนเต็ด บุกมาดวลกับเวสต์แฮม ที่อัพตัน พาร์ก ซึ่งเวสต์แฮมในปีนั้นมีแต่ตัวเก่งๆ ทั้งบ๊อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก 1966 รวมไปถึงเจฟฟ์ เฮิร์สต์ แฮตทริกฮีโร่ที่ยิงเยอรมัน 3 เม็ดในนัดชิงบอลโลกที่เวมบลีย์
ขอแค่ชนะแมนฯยูไนเต็ดจะได้แชมป์ และสุดท้ายทีมปีศาจแดงขยี้ไปกระจุย 6-1 โดยจอร์จ เบสต์ ยิงได้ 1 เม็ดในเกมนี้ ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
พอได้แชมป์ลีก คราวนี้เบสต์ยิ่งเล่นด้วยความมั่นใจกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงบอล
"การฝึกซ้อมในยุคนั้น หลังจากซ้อมวิ่งเพื่อรักษาความฟิตแล้ว เราจะซ้อมเกมฟุตบอลโต๊ะเล็กข้างละ 8 คน" เดวิด แซดเลอร์ นักเตะแมนฯยูไนเต็ดในยุคนั้นเผย
"ซ้อมไปได้แรกๆ เราก็ต้องเปลี่ยนกติกาใหม่ เพราะจอร์จ จะครองบอลอยู่คนเดียว และทั้งทีมก็ไม่มีใครมีปัญญาแย่งบอลจากเขาได้" คือใครที่อยู่ฝั่งเดียวกับจอร์จ เบสต์ ก็คือชนะเลย ไม่ต้องลงแข่งก็รู้ผล
2
"เราจึงเปลี่ยนกติกาใหม่ ให้ทุกคนเล่นบอลได้แค่ 2 จังหวะเท่านั้น เพื่อไม่ให้จอร์จเลี้ยงอยู่คนเดียว การครองบอลสองจังหวะจะเป็นการบีบบังคับให้จอร์จต้องจ่ายบอลให้เพื่อน แต่สิ่งที่จอร์จทำ คือแตะบอลหนึ่งครั้งเพื่อครองบอล จากนั้นในจังหวะที่ 2 เขาไม่ส่งให้เพื่อน แต่ใช้วิธีเตะชิ่งหน้าแข้งคู่ต่อสู้ ให้เด้งมาเข้าทางตัวเอง จากนั้นก็เลี้ยงบอลต่อ"
1
"คราวนี้ เราเปลี่ยนกฎเลย ให้เล่นฟุตบอลแบบวันทัช ห้ามใครครองบอล แต่ความบ้าของจอร์จคือ เตะอัดตัวประกบ เขาคำนวณให้บอลชิ่งมาเข้าทางตัวเอง พอบอลเด้งกลับมาก็เตะอัดคนต่อไปเรื่อยๆ ก่อนสุดท้ายจะยิงเปรี้ยงเข้าประตูไป มันไม่มีใครหยุดเขาได้เลย"
3
"จอร์จคืออัจฉริยะลูกหนังตัวจริง เขาเป็นนักเตะที่ฉลาดมาก และเล่นฟุตบอลด้วยสมอง"
จะเห็นได้ว่า ขนาดเพื่อนร่วมทีมซ้อมกันทุกวัน ยังเอาไม่อยู่เลย แล้วประสาอะไรกับคู่แข่งที่นานๆจะดวลกันสักที ไม่มีใครหยุดเบสต์ได้หรอก
ในทีมแมนฯยูไนเต็ดตอนนั้น เดนิส ลอว์ กับ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ได้บัลลงดอร์มาก่อนแล้ว นักเตะทุกคนในทีมจะมีความเกรงใจในบารมีของทั้งคู่
แต่กับเบสต์ ไม่ใช่แบบนั้นเขาไม่ได้เกรงกลัวบารมีของ 2 คนนั้น นั่นเพราะเบสต์ยังคงมั่นใจในฝีเท้าตัวเอง ว่าตัวเองเก่งที่สุด
"ช่วงแรกๆที่จอร์จขึ้นชั้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ เขาจ่ายบอลให้ผมบ่อยนะ แต่เวลาผ่านไป เขาก็เริ่มไม่ส่งบอล คือจะเลี้ยงตัดจากปีกเข้าในแล้วก็พยายามยิงเอง ทั้งๆที่ผมซึ่งเป็นกองหน้า เรารออยู่ในกรอบเขตโทษ เพื่อรอเขาส่งบอลมาให้ แต่เขาก็ไม่ส่ง" เดนิส ลอว์ ย้อนความหลัง
"เราทะเลาะกันเรื่องนี้ ผมถามว่าทำไมนายไม่ส่งบอลมา เขาบอกว่าอยากชนะตัวประกบให้ได้ ก็เลยต้องเลี้ยงบอล"
1
"ผู้จัดการทีมเคยเตือนจอร์จไปแล้ว ว่าเขาทำเกินหน้าที่ของปีก ซึ่งจอร์จไม่เถียง แต่พอลงสนามเขาก็เล่นแบบเดิม"
1
ไม่ใช่แค่กับลอว์เท่านั้น แม้แต่บ็อบบี้ ชาร์ลตันผู้เยือกเย็น ก็มีปัญหากับเบสต์เช่นกัน
"ในสมัยเป็นนักเตะเยาวชน ที่แมนฯยูไนเต็ด เราจะสอนกันว่า เมื่อเพื่อนร่วมทีมได้บอล จงทำตัวให้มีค่า ไปวิ่งทำทางเพื่อให้เพื่อนเล่นได้ง่าย จำเอาไว้ว่าคนที่ครองบอลนั้นต้องการให้เราไปช่วยเสมอ" บ็อบบี้ ชาร์ลตันเผย
1
"นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอด และผมก็เล่นแบบนี้ทุกครั้ง คือใครได้บอล ผมจะวิ่งไปช่วย เพื่อเป็นตัวเลือกให้เขา คือเขาจะไม่ส่งก็ได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นทางเลือก เผื่อว่าเขาตันแล้ว ไปต่อไม่ได้"
1
"แต่กับจอร์จคุณลืมไปได้เลย นั่นเพราะคุณจะวิ่งฉีกไปแบบไหน เขาไม่มีวันส่งให้คุณ เขาจะตะลุยไปคนเดียวไม่สนใจใครทั้งนั้น ไม่รู้กี่ครั้ง ที่ผมตะโกน 'จอร์จ ส่งมา!' แต่ก็นั่นล่ะ เขาก็เลี้ยงบอลไปอีกทาง"
1
"มีอยู่เกมนึง ที่เราเล่นกับฟอเรสต์ จอร์จได้บอลริมเส้น และโดนโจ วิลสันประกบติดเอาไว้ ท่าทางจะไปต่อไม่ได้แล้ว จิตใต้สำนึกของผมบอกว่า 'ไปช่วยต่อบอลให้จอร์จหน่อย' แต่ผมก็คิดอีกที ผมจะวิ่งไปทำไมวะ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่า จอร์จมันไม่ส่งให้แน่ๆ อีกอย่างเรานำอยู่ตั้ง 3 ลูก และมันก็จะจบเกมแล้ว ปล่อยจอร์จมันเล่นไปคนเดียวเถอะ"
2
"ผมมองดูจอร์จโดนคู่แข่งไล่บี้ ผมก็บอกตัวเอง 'อย่าไป บ็อบบี้ แกจงยืนดูอยู่เฉยๆ' แต่สุดท้ายเมื่อเห็นเขาจะเสียบอลแล้ว ผมก็อดไม่ได้สปรินท์เข้าไปช่วย แล้วตะโกนว่า 'ส่งบอลมา!'"
1
"แต่สุดท้าย ก็เหมือนที่จิตใต้สำนึกของผมบอกนั่นแหละ จอร์จกระชากหลบตัวประกบ แล้วเลาะเส้นเข้าไปยิงเองอยู่ดี มันไม่ยอมส่ง!"
4
ฤดูกาล 1967-68 เป็นปีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของจอร์จ เบสต์
เขายิงประตู 28 ลูกในลีกสูงสุด คว้าดาวซัลโวไปครองได้อย่างเหนือชั้น รวมถึงคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักข่าวอังกฤษอีกด้วย
ขณะที่ในเวทียุโรป รายการที่แฟนๆปีศาจแดงใฝ่ฝันมาตลอด คือยูโรเปี้ยนคัพ นั่นเพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีทีมในอังกฤษ ได้แชมป์มาก่อนเลย
แมนฯยูไนเต็ด ฝ่าฟันมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ต้องเจอกับทีมแกร่งจากโปรตุเกส เบนฟิก้า ที่มี "ยูเซบิโอ" ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า
เกมนี้ทีมปีศาจแดง มีเรื่องให้กลุ้มก่อนออกสตาร์ต เมื่อเดนิส ลอว์ เจ็บหัวเข่าลงสนามไม่ได้ เท่ากับว่าความกดดันจึงตกมาอยู่ที่จอร์จ เบสต์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
นัดนี้เบนฟิก้าวางแผนมาได้ดีมาก พวกเขาสั่งให้ฮุมเบอร์โต้ เฟอร์นันเดส ไล่ประกบเบสต์แบบไปไหนไปด้วย และให้เตะหนักๆจนเบสต์กลิ้ง
1
"จอร์จเล่นไม่ได้ดั่งใจ เขาไม่สามารถโชว์เทคนิคเฉพาะตัวได้เลย แถมนัดชิงมันมีอากาศร้อนมาก ซึ่งสภาพแบบนี้ ไม่เหมาะกับคนที่ใช้พลังในการเลี้ยง เพราะมันจะเหนื่อยง่าย และมีความผิดพลาดมากขึ้น เกมนี้ไม่เข้าทางจอร์จเลย" บ๊อบบี้ ชาร์ลตันเล่า
1
เกมเป็นไปอย่างสูสี แมนฯยูไนเต็ด ขึ้นนำ 1-0 จากลูกโหม่งเฉือนๆของบ๊อบบี้ ชาร์ลตัน นาทีที่ 53
แต่ นาที 79 ไฆเม่ กราซ่า ตีเสมอให้เบนฟิก้าเป็น 1-1
โมเมนตัมพลิกกลับมาเป็นของเบนฟิก้า ยูเซบิโอ ได้ดวลตัวต่อตัวกับอเล็กซ์ สเต็ปนีย์ นายทวารแมนฯยูไนเต็ด แต่ดันยิงไปติดเซฟแบบน่าเหลือเชื่อ คือถ้าเขายิงไป เกมก็โอเวอร์ตรงนั้นแล้ว
1
สุดท้ายจบ 90 นาที เสมอ 1-1 แต่บรรยากาศนั้นเป็นฝั่งแมนฯยู ที่กดดันกว่ามาก เพราะเกมนี้เล่นที่เวมบลีย์ ดังนั้นจึงมีแฟนเข้ามาให้กำลังใจล้นหลาม นับแสนคน
1
ความหวังของกองเชียร์ เป็นแรงกดดันให้แมนฯยู คว้าแชมป์ให้ได้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเลย
ท่ามกลางความสับสน นกหวีดช่วงต่อเวลาพิเศษดังขึ้น ในนาทีที่ 92 ไบรอัน คิดด์ ส่งบอลให้จอร์จ เบสต์ ที่เงียบมาทั้งเกม
เมื่อได้บอล จอร์จ ใช้ทักษะทั้งหมดที่ตัวเองมี เขาเลี้ยงกระชากผ่านกองหลังเบนฟิก้า 2 คน จนหลุดเดี่ยวไปดวลตัวต่อตัวกับนายทวาร โชเซ่ เอ็นริเก้
ทั้งๆที่มีมุมเปิดกว้าง แต่เบสต์ใจเย็น ล็อกหลบอีกครั้ง จนหน้าโกล์ไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียวก่อนยิงเข้าไป ให้แมนฯยูนำ 2-1
1
หลายคนเคยวิจารณ์เบสต์เรื่องการเลี้ยง ว่าจะเลี้ยงจนเอาแชมป์เลยหรือไง ก็นี่ไง เขาเอาแชมป์ได้ด้วยการลากเลื้อยจริงๆ
1
เมื่อแมนฯยูนำ 2-1 คราวนี้เบนฟิก้าก็หมดกำลังใจ และโดนยิงอีก 2 ลูกรวด จบเกมแมนฯยูชนะ 4-1 เป็นสโมสรอังกฤษทีมแรกที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ
ไม่ต้องสงสัยเลย ด้วยฟอร์มแบบนี้ ทำให้จบฤดูกาลนั้น จอร์จ เบสต์ ได้รางวัลบัลลงดอร์ เขาคือนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
ไม่แปลกเลย ที่ชั่วโมงนั้น ใครๆก็บอกว่าเบสต์ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก แม้จะไม่เคยดวลกับเปเล่ แต่ก็เชื่อกันว่า จอร์จ เบสต์ ไม่เป็นรองแน่ๆ
ด้วยฟอร์มเหนือเทวดาในปี 1966-1968 นี่เอง จึงทำให้มี Quote อันลือลั่นที่ทุกคนรู้จักกันดี
Maradona - Good
Pele - Better
George - BEST!
(จบ Part 5)
โฆษณา