30 พ.ค. 2020 เวลา 16:13 • ธุรกิจ
" PE ratio " คืออะไร ?? (ต่อ)
โดยใน Ep. นี้ผมจะมาแสดงให้เห็นว่าทำไมเราถึงจะใช้ PE ratio ในการคำนวณราคาที่ควรจะเป็น ของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้
หุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์ SET (600กว่าตัว) จะมีชื่อย่อต่างๆมากมาย เช่น CPALL,AOT,SCC,.. ถูกซื้อขายกันในราคาขึ้นๆลงๆ แล้วแต่อารมณ์ของนักลงทุนช่วงนั้น แต่จริงๆแล้วเบื้องหลังของชื่อย่อเหล่านี้ มีบริษัทอยู่เบื้องหลัง ที่จะคอยทำเงิน และจ่ายเป็นเงินปันผลออกมา
ในการกำหนดราคาของหุ้นแต่ละตัวนั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือกำไรที่บริษัทสามารถทำได้ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต
โดยได้นำข้อมูลราคากับกำไรของหุ้น CPALL(ร้านสะดวกซื้อ 7-11) ย้อนหลัง 8 ปี (ตั้งแต่ต้นปี 2012) มาเทียบให้ดูแนวโน้มว่า ราคากับกำไร จะไปในแนวทางเดียวกัน
โดยเส้น สีฟ้า คือ ราคาหุ้น
สีส้ม คือ กำไรต่อหุ้น
ราคาหุ้น เทียบกับ กำไร ของหุ้น CPALL (ย้อนหลัง 8 ปี )
อีกตัวอย่างเป็นข้อมูลราคากับกำไรของหุ้น CPN(ห้างเซนทรัล) จะเห็นได้ว่า ราคากับกำไรก็ จะไปในแนวทางเดียวกันเหมือนกัน
ราคาหุ้น เทียบกับ กำไร ของหุ้น CPN (ย้อนหลัง 8 ปี )
จะมีช่วงปลายๆ ที่ราคาตกลงมาเพราะเป็นช่วงวิกฤต COVID-19 ที่นักลงทุนคาดการณ์ไปล่วงหน้าแล้วว่า พอห้างปิด กำไรของบริษัทจะตกลงมาดังนั้น นักลงทุนจึงให้ราคาที่ถูกลง แต่ถ้ากำไรกลับมาได้ ราคาก็จะกลับมาเอง(ส่วนใหญ่ราคาตลาดจะขึ้นหรือลงก่อนกำไร ดังนั้นนักลงทุนที่ฉลาดจะต้องรู้ว่าปัจจัยใดที่มากระทบกับบริษัทนั้น เป็นปัจจัยถาวร หรือปัจจัยชั่วคราว)
ซึ่งก็จะสอดคล้องว่าเราสามารถซื้อหุ้นที่ให้กำไรดี และดีอย่างนั้นไปในหลายๆปีข้างหน้า(ไม่ใช่ดีแค่ปีสองปีนะ) มาในราคาที่เหมาะสม มันจะเป็นคล้ายๆเครื่องผลิตเงินให้กับเราได้ในอนาคตระยะยาว ^^
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็จะมีหุ้นบางตัวที่ราคากับกำไร ไม่ได้สอดคล้องกัน และเกิดช่องว่างระหว่างราคากับกำไรค่อนข้างมาก (แต่ผมไม่ขอบอกชื่อหุ้นดังกล่าว เนื่องจากหุ้นตัวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นโอกาสในการซื้อ แต่มีความเสี่ยงและกำไรอาจจะตกลงมาทำให้ราคาตอนนี้ที่ต่ำกว่ากำไรมาก อาจเรียกได้ว่าไม่ใช่หุ้นที่ถูก) ดังรูปด้านล่าง
หุ้น....ที่ราคา กับ กำไร ไม่ได้สอดคล้องกัน
ซึ่งเราก็ต้องมาดูแล้วว่าทำไม ?? ถึงราคาหุ้นได้ตกลงมา เกิดจากปัจจัยชั่วคราวหรือเป็นปัจจัยถาวรที่จะมากระทบกับกำไรของบริษัท ถ้าเราเช็คแล้วว่าปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมา ดันเป็นปัจจัยชั่วคราวมากระทบกับบริษัทแค่ในระยะสั้น(ไม่เกินปีถึงสองปี) และ PE ตอนนั้นไม่ได้แพงจนเกินไป(ไม่เกินประมาณ15เท่า) ก็แสดงว่าเราเจอหุ้นที่เข้าข่ายว่าอาจจะลงทุนได้
ผมจะลองยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ ให้นักลงทุนทุกคนลองนึกตามว่า ถ้าเราต้องการจะร่วมลงทุนกับเพื่อนสักคนหนึ่ง คำถามในใจแรกเราก็คงจะไม่พ้นที่ว่า ทำธุรกิจอะไร มั่นคงไหม กำไรได้ประมาณเท่าไหร่ และเราจะได้ผลตอบแทนกลับมาประมาณเท่าไหร่เทียบกับเงินที่ต้องจ่ายไป
ซึ่งแน่นอนว่าเราจะไม่ร่วมลงทุนกับเพื่อนโดยที่ผลตอบแทนเทียบกับราคาที่เราต้องจ่ายเราแทบไม่ได้อะไรเลย แต่กลับคิดแค่ว่า จะมีคนที่สติไม่ดีกว่าเรา มาขอซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้นกว่าราคาที่เราจ่ายให้กับเพื่อนไปในตอนแรก ....ซึ่งในตลาดหุ้นมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ เราจะได้โอกาสในการซื้อหุ้นในราคาที่ถูก กำไรเติบโต แต่กลับถูกนักลงทุนมองข้าม หรือกลัวข้อเสียบางประการ โดยที่เราจะต้องคิดต่อว่าปัจจัยเหล่านี้ เป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ไม่ได้ส่งผลกระทบระยะยาวกับกำไรของบริษัท(ต้องแยกให้ออกนะครับว่าอันไหนปัจจัยชั่วคราว อันไหนถาวร)
และหลังจากที่เราได้หุ้นราคาถูกมาครอบครองแล้ว ยังไงต่อ.....
ก็จะมีสองทางหลัก
1.หุ้นขึ้น ..เราก็แค่ขายในราคาที่เราตั้งใจไว้(โดยราคาในใจเราเปลี่ยนได้เสมอจะเพิ่มหรือลดก็ได้ ตามผลประกอบการ หรือปัจจัยพื้นฐานที่จะส่งผลกระทบกับกำไรของบริษัท)
2.หุ้นลง ..โดยถ้าเราซื้อมาในราคาที่ถูกแล้วนั้น ส่วนใหญ่ จะได้ปันผลที่ดี หรือต่อให้ปันผลไม่ดี บริษัทเก็บไปลงทุนต่อเยอะ เราก็เลือกบริษัทที่เค้าสามรถนำไปลงทุนต่อยอดให้เงินเรางอกเงยอยู่แล้ว(สุดท้ายปันผลก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว) ซึ่งผมก็จะไม่ขายหุ้นตัวนั้นออกมา หรือถ้าเห็นว่าราคาลงมาเยอะ แถมพื้นฐานเท่าเดิมหรือดีขึ้น(ต้องมั่นใจระดับหนึ่ง) ผมก็อาจจะหาเงินมาลงทุนเพิ่ม
สรุป หุ้นทุกตัวราคากับกำไรจะไปในแนวทางเดียวกัน แต่ช่วงเวลาส่วนใหญ่จะไม่มาทับกันพอดี บางทีราคาก็อยู่สูงกว่ากำไร บางทีกำไรก็อยู่สูงกว่าราคา ดังนั้นนักลงทุนควรจะซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรจะเติบโตขึ้นไปได้ในอนาคต แล้วราคาก็จะค่อยๆปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
ฝากกดไลค์ กดติดตาม แล้วก็ถ้าอยากให้เพื่อนๆเห็นกดแชร์นะครับ เพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนบทความของตัวผู้เขียนต่อไปนะครับ ..ขอบคุณครับ ^^
Page : Stocky investor
Picture reference : ภาพโดยผู้เขียนเอง
โฆษณา