31 พ.ค. 2020 เวลา 15:45 • ความคิดเห็น
สวัสดีค่ะ...ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นเหมือนกันรึเปล่า
ตอนจบมาใหม่ๆ ไฟแรง อยากทำตามที่ตัวเองเรียน เราจึงคาดหวังกับชีวิตการทำงานที่ดี และมีความสุข แต่แล้ว ครั้งหนึ่ง ฉันเคยสมัครงานในตำแหน่งที่ฉันอยากทำ เมื่อเข้าไปแล้วกลับได้ทำตำแหน่งอื่น ฉันก็มีความอึดอัดใจเวลาทำงานอยู่อย่างหนัก แต่เมื่อเป็นงานที่ฉันตั้งใจมาสมัครที่แรกแล้ว ฉันจึงเปิดใจ และทำมันอย่างเต็มที่ ฉันเรียนรู้งานจากพี่ๆ ในฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถือว่าต้องใช้เวลาหลายเดือน ในระยะเวลา 3 เดือนที่ทดรองงานนั้น มันทำให้ฉันรู้จักคำว่าสังคมมนุษย์ สังคมที่มีคนอยู่ด้วยกันมากๆ สังคมที่มีหลายฝ่าย จนบางครั้งเราไว้วางใจ และเล่าความในใจให้เขาฟัง ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าความรู้สึกของฉันที่เล่าให้คนอื่นฟังนั้น เขาจะฟังแล้วคิดอย่างไรบ้าง เขาจะไปเล่าให้ใครฟังบ้าง แต่ฉันยืดหลักของความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง
สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจระบบการจัดการงานคือ
หากผู้สอนงาน ไม่มีความเชี่ยวชาญในงาน แล้วมอบหมายให้เราทำงานแบบผิดๆ ภายหลังกลับเกิดผลกระทบกับตัวฉัน ทำให้ฉันพยายามบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องสู้ เราต้องอยู่ให้ได้ และเราเป็นคนรุ่นใหม่ เราจะทำให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันผิด และจะทำแบบนี้กับฉัน หรือคนอื่นๆ ต่อไปไม่ได้
ฉันเป็นคนตรงไปตรงมา อ้อมค้อมไม่เป็น เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก จนบางทีมันกลับเป็นภัยให้ตัวฉันเอง ฉันไม่เคยรู้เลยว่า การที่เราโดนคนที่ทำงานด่า หรือว่าเรา มันทำให้เราเสียใจมากกว่าที่เราโดนแม่ด่า มากของมากของมาก ฉันคิดว่า คนที่เริ่มทำงานแล้วอยู่ในช่วงเดียวกับฉัน อาจจะเข้าใจ
คำว่าหัวหน้า กับลูกน้อง มันมีความสำคัญมาก และการทำงานฉันคิดว่าควร เว้นระยะ ให้มีมุมส่วนตัวบ้าง หลายครั้งเราคุยกันจนถึงเรื่องภายในครอบครัว เงินเดือน โบนัส การใช้เงินต่างๆ จนเราไม่มีความเป็นตัวเอง จนกระทั่งฉันทำงานอยู่ที่นี่จนครบ 2 ปี ฉันเข้าใจแล้ว ว่ามันคือการปรับตัวให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
มันทำให้ฉันรู้ว่า การจะอยู่ร่วมกับคนอื่น จะต้อง ช่างมัน ปล่อยวาง และใจเย็น และได้รับรู้ว่าเหตุผลไม่ได้ช่วยอะไรเราสักเท่าไหร่ ความยุติธรรมที่ฉันหวังจะได้จากคนที่หวังพึ่งนั้น ไม่เคยมี ฉันเพียงแค่ต้องทำงานของตัวเอง ทำไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่มีคำว่าทีม (เพราะมันไม่เป็นทีม)
แต่ฉันก็ดีใจนะที่อย่างน้อย ในที่สุดก่อนออกจากที่นั่น ฉันก็ได้ทำงานในสายงานที่รักอยู่ 2 ปีครึ่ง ได้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์สำนักงาน ได้เรียนรู้กระบวนการเข้าหาผู้ใหญ่ ได้เรียนรู้วิธีการพูดที่ดี เรียนรู้การจัดการวางแผนงานที่ดี
เรียนรู้ว่าฉันต้องอยู่ให้ได้ พึ่งใครไม่ได้และอย่าหวังจะได้ยินคำขอโทษจากคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด
ฉันออกมาหางานอย่างโดดเดี่ยว ทั้งๆ ที่ฉันรู้ และจำได้ดี ครั้งเมื่อเดินหางานครั้งแรก มันสาหัสมาก เหนื่อย ร้อน และต้องเสียเงินเดินทางไปทุกครั้ง ซึ่งยังไม่รู้เลย ว่าเขาจะรับฉันมั้ย แต่ฉันก็ยอมสู้ ตั้งแต่วันที่ฉันเข้าใจว่า ในการทำงานไม่มีความยุติธรรม ห้ามทำงานมากเกินไป ห้ามรักงานมากเกินไป และอย่าคิดว่าการลาออกเป็นการทิ้งใคร
ฉันต้องการพบและทำงานที่ดี และตัวฉันมีความสุข เพราะฉันเคยได้ฟังคนๆ หนึ่งพูดให้ฉันฟัง เกี่ยวกับความสุขที่เขาได้ทำงาน ฉันถามเขาไปว่า "ที่นี่ได้เงินน้อยมาก ทำไมพี่ถึงยังอยู่" เขาบอกว่า "เท่าที่พี่เคยทำมา ที่นี่ดีสุด" มันทำให้ฉันมีความหวังว่า สักวันฉันต้องได้พบงานที่ถูกใจจริงๆ
ที่สุดมันก็เป็นอย่างที่คิด คืองานหายาก จนฉันท้อ และต้องว่างงาน 4 เดือนเต็มกว่าจะหางานใหม่ได้ จุดนี้มันคือบทเรียน และบททดสอบในชีวิตที่ดีมาก เหมือนได้ออกไปพบปะ เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการหลายด้าน ได้เห็นมุมมอง และทัศนคติ ของผู้สัมภาษณ์งานหลายๆ ที่ เห็นได้ชัดระหว่างองค์กรที่มั่นคง และองค์กรที่ไม่มั่นคง
ตอนนี้ฉันได้มาอยู่ที่ใหม่แล้ว แต่ที่นี่ทำให้ฉันต้องปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ และจบความกลัวทุกปัญหา คือฉันจะต้องกล้า และมีความเป็นผู้นำสูง ต้องเป็นผู้รอบรู้ในงาน ต้องเข้าใจระบบ และทำงานไว และถูกต้อง
ปัญหาบางอย่างที่ฉันได้พบจากที่เก่าก็ยังมีที่นี่ด้วย แต่ฉันต้องยอมแพ้กับคำว่า ทีมเวิร์ค ที่นี่ทำงานเป็นทีม ทุกคนมีหน้าที่ มีความกระตือรือร้น ที่จะพัฒนางานของตัวเองเสมอ
แต่การที่ฉันอยู่ที่นี่เรียกได้ว่า ต้องแลกกับทุกสิ่งด้วย
ส่วนใหญ่จะมองกันที่น้ำใจ การเห็นอกเห็นใจ การดูแลซึ่งกันและกัน ฉันต้องเรียนรู้คนที่อยู่ที่นี่ หรือนี่คือปัญหาของทุกคน การเข้างานใหม่คือการรู้จักเพื่อนใหม่ การที่จะเปิดใจรับใครหลายๆ คนเข้ามา การที่ฉันจะต้องระแวดระวังตัวให้มาก มันยากเหมือนกันนะ กว่าจะทำให้พวกเขายอมรับฉัน... ที่ใหม่นี้ ฉันทดรองงานถึง 6 เดือน โหดมาก... แต่เมื่อผ่านมาแล้วฉันรู้สึกสบายใจที่สุด และรู้แล้วว่าการที่หัวหน้า หรือผู้ที่ดูแลฉัน เรียกฉันไปเพื่อชี้แจงงาน และประเมินฉัน ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน มันคือการลองใจ พูดจี้จุดที่อ่อนที่สุดของเรา ให้เราปรับปรุงตัว จนฉันเกิดแรงผลักดันว่าฉันต้องก้าวผ่านความกลัวความเกรงต่างๆ มายืนต่อหน้าผู้คนจำนวนมากให้ได้
ที่สุดแล้วชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป และแน่นอนว่า ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่สุดท้าย ยังคงมีสิ่งที่ท้าทายอีกมากในชีวิต ที่เราต้องรีบเร่ง เรียนรู้ศึกษา ให้ทันโลกทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ หากเราโกรธเคืองใคร ก็อย่าเก็บมาคิดให้เครียด ให้หาที่ระบายอย่างอื่นเช่น ตัดผม ดูหนัง ทำเล็บ นวดตัว หรือแม้แต่พาตัวเองไปเที่ยว ไปเจอคนในหลายรูปแบบ ให้มันหลุดจากโลกความจริงไปสักพัก กายและใจเราก็จะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
สุดท้ายนี้ เราคงไม่ต้องทำงานตามสิ่งที่เราจบมาก็ได้ แค่เรารู้ว่าเราต้องทำได้ ทำได้ดีด้วย เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่มองเห็นถึงศักยภาพและความเหมาะสมของเราแล้ว ฉันขอฝากเพียงว่า เด็กในวันนั้น ต้องการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันนี้ อยากให้ทุกคนไม่ท้อ และอย่าลืมมอบความรักให้กับผู้อื่นมากๆ
ฉันเล่าเพียงเพื่อระบาย
#ดินทอแสง
โฆษณา