5 มิ.ย. 2020 เวลา 12:39
ข้อคิดจาก The Shawshank Redemption
“Fear can hold you prisoner. Hope can set you free.”
“ความกลัวจะกังขังตัวเรา แต่ความหวังจะปลดปล่อยเราเป็นอิสระ”
14
ที่มา https://alphacoders.com/
และแล้วก็ได้โอกาสมาแชร์ความรู้สึกสำหรับหนังที่ผมชอบที่สุด
“The Shawshank Redemption” ออกตัวก่อนว่าบทความนี้จะไม่ได้เน้นที่การรีวิวหนังเรื่องนี้
3
แต่ตรงกันข้าม สิ่งที่ผมอยากแชร์ให้คือ ข้อคิดจากหนังล้วนๆครับ (อาจจะมีเปิดเผยเนื้อหาสำคัญบ้าง spoiler alert !) หากใครยังไม่ได้ดูแนะนำให้ไปดูก่อนนะครับ
เพราะผมเชื่อว่าหลังจากดูจบ คุณจะสามารถเพิ่ม List หนังเรื่องนี้ เป็นอีกหนังดีเรื่องหนึ่งได้เลยทีเดียว
ตอนหนังเข้าฉายปี 1994 ผมยังไม่มีโอกาสได้ดู เพราะคิดว่าดูไม่รู้เรื่อง (ฮา) ตอนนั้นแค่ 7 ขวบเอง แต่โตขึ้นมีโอกาสได้ดู พบว่า….เห้ย! เราพลาดหนังดีๆเรื่องนี้ไปได้ไงตั้งนาน
ชอว์แชงค์ มิตรภาพ ความหวัง ความรุนแรง (The Shawshank Redemption) เป็นภาพยนตร์ดราม่าอเมริกัน ในปี 1994 เขียนบทและกำกับโดยแฟรงก์ ดาราบอนต์ สร้างจากเรื่องสั้น เรื่อง Rita Hayworth and Shawshank Redemption ของสตีเฟน คิง (เจ้าพ่อนิยายสยองขวัญ)
นำแสดงโดย Tim Robbins แสดงเป็น แอนดี้ ดูเฟรย์ (Andy Dufresne) และ Morgan Freeman แสดงเป็น เอลลิส "เรด" เรดดิง (Ellis "Red" Redding)
The Shawshank Redemption
หนังเรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 7 สาขา ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ,นักแสดงชายยอดเยี่ยม (Morgan Freeman) ,บทดัดแปลงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ,ถ่ายภาพยอดเยี่ยม ,ตัดต่อยอดเยี่ยม ,เพลงสกอร์ยอดเยี่ยม และเสียงยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้รับรางวัลใด ๆ ช่างโชคร้ายจริงๆ เพราะดันฉายปีเดียวกับ The Forrest Gump (แต่ส่วนตัวผมแอบชอบ Shawshank มากกว่า นิดนึง)
เรื่องราวของแอนดี้ ดูเฟรย์ นายธนาคารที่ติดคุกข้อหาฆ่าภรรยาและชู้ตาย
เขาถูกส่งมายังคุกชอว์แชงค์ ที่นั่นเขาได้พบกับเพื่อนนักโทษผิวดำผู้เป็นมิตรอย่าง เรด และเจอกับผู้คุมจอมโหดอย่าง แฮดเล่ย์ (Clancy Brown) ซึ่งทารุณกรรม และฆ่านักโทษได้อย่างง่ายดาย กับ พัสดีแซมมวล นอร์ตัน (Bob Gunton) ผู้ทุจริตและไม่เคยจริงใจกับใคร และที่นี่เอง ที่ดูเฟรย์ได้พบกับมิตรภาพที่แท้จริงพร้อมๆ กับบทเรียนชีวิตที่เขาจะไม่มีวันลืม
ที่มา https://www.pinterest.com/
จริงๆเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างธรรมดามาก เรื่อยๆ เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง “แต่ไม่มีการใช้เวลาไปอย่างปล่าวประโยชน์เลย” ตั้งแต่เริ่มชอว์แชงค์ ก็ดึงดูดคุณให้ติดตามจนไม่สามารถละสายตาไปจากจอแม้แต่เศษเสี้ยววินาทีเลยทีเดียว “มิตรภาพ ความหวัง ความรุนแรง” เป็นคำจำกัคความที่แสดงออกถึงหนังได้อย่างดี
1. ข้อคิดความรุนแรง
หนังเรื่องนี้จะแสดงด้านมืดของคุกได้อย่างชัดเจน ทันทีที่เข้าไปอยู่ไม่ว่าคุกนั้นจะคือที่ไหนสิ่งที่เราต้องเจออยู่ตลอดก็คือ ศัตรู และ สิ่งผิดกฏหมายในคุก สถาพของคนที่กระทำความผิดจนต้องเข้าไปสู่เรือนจำ ว่าจะเจออะไรบ้าง ความรุนแรงที่ถูกกระทำจากผู้คุม หรือแม้แต่เพื่อนนักโทษด้วยกัน เพราะฉนั้นเราคงไม่ต้องจินตนการต่อว่าในชีวิตจริงก็คงไม่ได้ต่างอะไรกับในหนัง เผลอๆอาจจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ ถ้าต้องเจอการใส่ร้ายจากคนที่ทำผิด โดนเพื่อนร่วมคุกตุ๋ย โดนรังแกโดยผู้คุม และถูกขังเดี่ยวนานถึง 2 เดือน
ที่มา https://www.pinterest.com/
2. ข้อคิดมิตรภาพ
ข้อนี้จะตรงกันข้ามจากข้อแรก เพราะเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เรื่องนี้ถ่ายทอดมิตรภาพระหว่าง แอนดี้ ดูเฟรย์ กับ เรด ได้อย่างซาบซึ้ง หรือแม้แต่มิตรภาพของนักโทษด้วยด้วยกันเอง เช่น ฉากที่ทำงานอยู่นั้นผู้คุมได้พูดถึงเรื่องเงินมรดกที่ได้รับแต่ก็ไม่อยากเสียภาษีเยอะ แอนดี้จึงลองเสี่ยงชีวิตเดินเข้าไปเพื่อเสนอทางหลีกเลี่ยงภาษีเพื่อแลกกับเบียร์เย็นๆ ให้เพื่อนร่วมงานของเขากิน สะท้อนมิตรภาพระหว่างเพื่อนได้ดีเลยทีเดียว
ที่มา https://www.pinterest.com/
และอีกสิ่งหนึ่งที่ชอบคือ การที่แอนดี้ ดูเฟรย์ ได้อภิสิทธิ์ในคุกเพราะช่วยงานผู้คุมและพัสดี แต่เค้าใช้อภิสิทธิ์นั้นเพื่อแบ่งปัน ทำเพื่อคนอื่น ผมว่าสิ่งที่เราทำเพื่อคนอื่นนี่แหละครับ คือการที่จะได้มิตรภาพจากคนเหล่านั้นมาอย่างแท้จริง เพราะฉนั้น “จงเลือกคบคนดี แล้วเขาจะนำพาเราไปสู่เรื่องที่ดีเช่นกัน”
อยากให้คนไทยทุกคนได้ดูเรื่องนี้กันจริงๆ
ที่มา https://www.pinterest.com/
3. ข้อคิดสุดท้ายแต่สำคัญที่สุด ในการใช้ชีวิตของผมทุกวันนี้คือ “ความหวัง” คำสั้นๆแต่มีความหมาย
มีฉากหนึ่งในหนังที่เรดกล่าวถึงบรู๊คนักโทษสูงวัยคนหนึ่ง ที่ได้รับการปล่อยตัว เมื่อรู้ว่าจะถูกปล่อยตัวบรู๊ค ถึงกับเอามีดจี้คอเพื่อนนักโทษ เพื่อที่จะไม่ต้องออกไป .. เขาติดคุกอยู่นาน 50 ปี เป็นนักโทษชั้นดี ได้รับการเคารพนับถือ เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด และเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้…ทันทีที่เขาเดินออกจากประตูเรือนจำ ขึ้นรถเมล์กลับมาที่บ้าน ในเวลา 50 ปีที่ผ่านไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เขาทำอะไรไม่ถูก กลัวที่จะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่มีความหวังในการอยู่ต่อไป สุดท้ายบรู๊คก็ได้ผูกคอตาย...
ที่มา https://www.pinterest.com/
"This is all he knows. In here, he's an important man. He's an educated man. Outside, he's nothing."
"ที่นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้จัก ในนี้ เขาเป็นคนสำคัญ เป็นคนมีความรู้ แต่ข้างนอกนั่น เขาไม่มีอะไรเลย"
"These walls are funny. First you hate them, then you get used to them. Enough time passes, you get so you depend on them. That's institutionalized."
"กำแพงนี้มันน่าช่างขำ ตอนแรกคุณก็เกลียดมัน ต่อมาคุณก็เริ่มชิน เวลาผ่านไปคุณก็รู้สึกว่าชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับมัน นั่นแหละ ที่เรียกว่ายึดติดสถาบัน"
ส่วนอีกฉากพีคคือ เมื่อแอนดี้ออกมาจากคุกขังเดี่ยว เขาได้คุยกับเรดถึงความหวัง สิ่งที่เขาจะทำ ที่ๆเขาจะไปหลังจากได้รับอิสรภาพ แต่เรดท้วงเขาว่าความหวังเป็นเรื่องอันตราย อาจทำให้คนบางคนถึงกับบ้าไปได้ แต่แอนดี้เถียงว่าชีวิตคนเราถ้าไม่พยายามอยู่ ก็ตายไปซะ ตอนนี้ทำให้เกิดจุดสงสัยว่าแอนดี้จะเลือกอะไร เพราะคืนนั้นแอนดี้ไปขอเชือกยาวหกฟุตที่เพื่อนอีกคนด้วย
จากฉากนี้ทำให้เรื่องพัฒนาไปสู้จุดคลายแม็กซ์คือ แอนดี้ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะหนี และเขาก็หนีสำเร็จโดยการวางแผนและเพียรพยายามมา 20 ปี
ที่มา https://www.pinterest.com/
เรื่องปิดโดยให้เรดออกมาจากคุกได้ และออกตามหาสิ่งที่แอนดีซ่อนไว้เป็นจดหมายและเงิน ข้อความในจดหมายช่วงหนึ่งน่าสนใจมา ความว่า “ความหวังเป็นสิ่งที่ดี และสิ่งที่ดีไม่มีวันตาย”
และสุดท้ายเรดก็ตัดสินใจไปตามหาแอนดี้และพบกัน
ซึ่งจบแบบนี้ทำให้ย้ำว่า “ความหวังไม่มีวันตายจริงๆ”
ที่มา https://www.pinterest.com/
ที่มา https://www.pinterest.com/
... กลับมาที่ในโลกแห่งความจริง ตอนนี้คุณติดในอยู่ในกำแพงนั้นหรือเปล่า? คุกของคุณอาจไม่ได้ชื่อ Shawshank มันอาจเป็นโรงเรียน? หน้าที่การงาน? คำว่าข้าราชการ? หน้าตาทางสังคม? ฯลฯ ถ้าคุณต้องออกมาอยู่ข้างนอก คุณจะฆ่าตัวตายเหมือนบรู๊คไหม?
สถาบัน เป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องให้มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ข้างในนั้น คุณเป็นคนสำคัญ...ได้...ก็ดี
แต่อย่าให้ถึงกับว่า "ถ้าออกมาข้างนอก คุณไม่มีอะไรเลย"
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร จงมีความหวังอยู่เสมอ!!
The Shawshank Redemption
ที่มา https://hcgart.com/
โฆษณา