8 มิ.ย. 2020 เวลา 08:31 • ไลฟ์สไตล์
เคล็ด (ไม่) ลับ สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
cr. https://bit.ly/3cFLp6f
สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ หากจะพูดเรื่องของความมั่นใจในตนเองนั้น แต่ละคนก็จะมีความมั่นใจในระดับมากน้อยแตกต่างกันออกไป บางคนก็มั่นใจในเรื่องที่ตนเองรู้และถนัดเป็นอย่างมากสามารถอธิบายได้ละเอียด ให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีอีกหลายคนที่ขาดความมั่นใจ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความรู้ความชำนาญในด้านนั้นๆก็ตาม ในบทความนี้ เราจะพามาดูกันครับว่า การเพิ่มความมั่นใจให้ตนเองนั้นส่วนใหญ่เขาทำอะไรบ้าง
1. เอาชนะความกลัว (Beat the Fear)
cr. https://bit.ly/2AcTzWp
คนเรามักจะมีความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายในจิตใจด้วยกันทุกคน จนทำให้สมองสั่งการเสมอว่า เมื่อไรก็ตามที่เผชิญหน้ากับความกลัว เราต้องหาทางหลีกหนี ไปให้พ้นจากจุดๆนั้นให้เร็วที่สุด
ตัวอย่างเช่น  หากเราเป็นคนที่กลัว เรื่องการพูดต่อหน้าสาธารณะชน หรือคนหมู่มาก และเมื่อได้รับมอบหมายให้ต้อง พูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ เช่นที่ประชุม ที่มีผู้บริหาร หรือ เพื่อนร่วมงานอยู่ด้วยแล้ว ความกลัวที่มีจะกระตุ้นให้เรา เกิดอาการประหม่าจนทำให้ พูดผิด ๆ ถูก ๆ ลิ้นสั่นรัว จับใจความไม่ได้ และในที่สุดข้อมูลที่เราเตรียมมา ก็จะไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อที่ประชุมในที่สุด เพราะเราไม่สามารถควบคุมตัวเอง ให้เรียบเรียงความคิดหรือวิธีพูดของเราให้อยู่ในสภาพปกติได้
💡เคล็ดลับ : หากคุณเป็นคนที่กลัวการพูดต่อหน้าคนหมู่มาก (Glossophobia) ให้ลองทำตามเคล็ดดังนี้ครับ
✒ศึกษาเรื่องที่จะพูด - ทำความเข้าใจหัวข้อที่จะพูด หรือสิ่งที่จะต้องทำ เพื่อเป็นการเตรียมการและซักซ้อม
✒รู้จักผู้ฟัง - หากรู้ว่ากลุ่มคนฟังของเราเป็นช่วงวัยแบบไหน ก็ไปค้นคว้าครับว่า แต่ละกลุ่มวัยวิธีการพูดต่อหน้าจะต้องปฏิบัติเช่นไร
✒ฝึกพูดกับตัวเองหน้ากระจก - การฝึกพูดต่อตัวเองหน้ากระจก จะทำให้เราเห็นตัวเอง ณ เวลานั้นที่พูดว่ามีลักษณะอย่างไร
✒น้ำเสียง - น้ำเสียงที่พูดต้อง เสียงดัง ฟังชัด แต่ก็ไม่ดังจนเกินไป พูดด้วยความมั่นใจ ในสิ่งที่เราซ้อมหรือเตรียมมา
✒อย่าท่องจำทุกคำพูด - การท่องจำไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีเอาเสียเลย เพราะหากเราลืมคำใดคำหนึ่งไป จะทำให้สมองเราทำงานติดขัดทันที เพราะเราจะปะติดปะต่อ ประโยคถัดไปไม่ได้ ดังนั้นควร จำเฉพาะ key word หลัก ๆ หัวข้อหลัก ๆ ก็พอครับ
✒พักผ่อนให้เพียงพอ - ก่อนวันพูดจริง ควรพักผ่อนมาก ๆ เพื่อให้ ร่างกายได้คลายความกังวลใจอย่างเต็มที่
2. หยุดวิตกกังวล (Don't be Panic)
ความกังวล เป็นปฏิกิริยาอย่างหนึ่ง ที่ร่างกายตอบสนองต่อความเครียด จนทำให้มีอาการกลัวและวิตกกังวลขึ้นมาเป็นพัก ๆ โดยไม่มีสาเหตุ หรือมีอาการ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออก เจ็บหน้าอก รู้สึกสำลัก เวียนหัว คลื่นไส้หรือท้องปั่นป่วน หนาวสั่นหรือร้อนวูบวาบ มือเท้าชา เป็นต้น อาการของการวิตกกังวล (Panic) ไม่ใช่เป็นโรคร้ายแรงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายกายและใจซะมากกว่า
เคล็ดลับ : หากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่วิตกกังวล จากเรื่องใดเรื่องใดหนึ่ง ควรหาคนที่รับฟังและปรึกษาได้ แสดงความเห็นใจซึ่งกันและกันและให้คำอธิบาย ทางเลือกที่ง่ายอีกทางหนึ่งคือ การออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายครับ หมั่นฝึกทำสมาธิ นั่งนิ่ง ๆ เป็นประจำ อันนี้ก็ช่วยได้ครับ
3. ออกห่างจาก Toxic Person
cr. shorturl.at/GIKW4
Toxic Person ถ้าแปลตรง ๆ คือ คนมีพิษ เอ๊ะ เราจะตายไหมนะ ถ้าอยู่ใกล้เขา ฮา ๆ ๆ ตรงนี้ไม่ได้แปลตรง ๆ เช่นนั้นครับ แต่ก็อุปมาอุปมัยได้ประมาณนั้น จริง ๆ แล้ว Toxic Person คือ คนที่มีสภาวะจิตใจ ความคิดความอ่าน ค่อนไปในทางลบ หรือมีอคติ ต่อคนอื่น ๆ ต่อสิ่งแวดล้อม รอบ ๆ ตัวเขาซะส่วนมาก ซึ่งคนแบบนี้มักจะมีอยู่หลายประเภท เช่น ชอบโอ้อวด ชอบโชว์พาวเวอร์ ชอบบงการผู้อื่น ขี้อิจฉา และชอบหลอกลวงผู้อื่น เป็นต้น
ถ้าในชีวิตประจำวันรอบตัวคุณ มีคนเหล่านี้อยู่ และต้องเจอทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เพื่อนร่วมงาน (ที่ไม่สนิท) หัวหน้างาน (อันนี้ก็ตามหน้าที่) หากเจอแบบนี้ สิ่งที่อยากจะขอแนะนำคือ
✒แสดงความรู้สึกตรง ๆ - บอกให้เขารู้ถึงความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมา ณ ตอนนั้น เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าเราไม่ใช่คนที่จะมาพูดจา ถากถางหรือดูถูกได้ง่าย ๆ
✒กำหนดและรักษาขอบเขต - ยิ่งเป็นที่ทำงานเดียวกัน หากไม่มีความเกี่ยวข้องในสายงานก็ดีไป แต่ถ้า้องติดต่อคุยงานกันประจำ อาจจะต้อง คุยให้ชัดครับว่าเรามีขอบเขตแค่ไหนคิดบวก(แต่ไม่ใช่คิดที่จะบวกกับพวกเขานะครับ อันนี้เดี๋ยวงานจะงอก)
✒ไม่ต่อความยาวสาวความยืด - เมื่อมีปากเสียงกัน หากใช้เหตุผลอธิบายแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ ให้เราเดินออกมาจากตรงนั้นเลยครับเมื่อ เย็นลงแล้วค่อยกลับมาปรับความเข้าใจกันใหม่
" คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิต พาไปหาผล "
4. ทิ้งคำว่า " เป็นไปไม่ได้ " ออกไปจากชีวิต
cr. shorturl.at/isPXY
การจะขายสินค้า ให้กับลูกค้าที่ไม่เคยใช้สินค้านี้เลย คุณคิดว่าลูกค้าเขาจะกล้าซื้อสินค้านี้จากคนขาย ที่ไม่มีความมั่นใจในสินค้าไหมครับ ฉันใดก็ฉันนั้น การที่คนเราจะให้ใครเชื่อได้ ก่อนอื่นเราก็ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และสิ่งที่จะทำเสียก่อน ก่อนที่จะให้คำอื่นมาเชื่อในตัวเรา
คำว่า " เป็นไปไม่ได้ " มักจะมาจากคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เวลาที่ต้องทำอะไรที่รู้สึกว่าตัวเองเสี่ยง หรือรู้สึกถึงความไม่แน่นอน หรือมั่นคง คำ ๆ นั้นก็จะผุดมาในหัวของเราเสมอ ตราบใดที่ไม่มีความเชื่อมั่นใด ๆ ในสิ่งที่เราจะทำ คำว่า "เป็นไปไม่ได้" ก็จะมาหลอกหลอนเรา อย่างไม่หยุดหย่อนแน่ ๆ
💡เคล็ดลับ : หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า เป็นไปไม่ได้ ด้วยการลองทำสิ่งนี้ดูครับ
✏- หากงานของคุณเป็นคนที่ต้องนำเสนอหรือขายสินค้าให้กับผู้คนอยู่บ่อย ๆ ผมขอแนะนำว่า ลองศึกษาคุณสมบัติและรายละเอียดสินค้าของคุณ อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วจงเติมความมั่นใจกับตัวเองบ่อย ๆ ว่า ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ หากเราตั้งใจที่จะขาย ลองหาเวลาว่างให้ตัวเอง ได้ศึกษาและทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นเล่นดนตรี เล่นโยคะ หรือแม้กระทั่งการออกไปข้างนอกดู เพื่อให้รู้ว่าในโลกนี้ ยังมีอะไรที่เป็นไปได้อีกเยอะ
✏- ลองหัดทำอาหารด้วยตัวเองทานดูก็ได้ครับ แม้ว่ารสชาติที่ทำมันออกจะ
แย่แค่ไหนก็ตาม อย่าปิดกั้นความรู้ความสามารถตัวเองครับ เพราะถ้าคุณมี
ความคิดแบบนั้น ก็เท่ากับคุณดูถูกตัวเองมาก ๆ ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิดหรอกครับ ทุกอย่าง ล้วนมาจากการเรียนรู้และฝึกฝน ลองหาเมนูง่ายๆแล้วฝึกทำดูครับ แล้วคุณจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองขึ้นมาอีกเล็กน้อย ว่า อย่างน้อยก็ทำอาหารทานเองได้
✏มองทุกอย่างให้เป็นแง่บวก อะไรที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เราลอง ๆ มองมุมกลับดูว่า ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ ค่อย ๆ คิดพิจารณา เมื่อจิตใจคุณสงบมากพอจะรู้ว่า คุณอาจมองเห็นสิ่งที่มองข้ามไปก็ได้ครับ
✏ ลองเขียน สิ่งที่คุณอยากทำ แล้วเช็คลิสต์ดูว่า มีสิ่งใดที่เป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้บ้าง แล้วมานับดูว่า สิ่งไหนจะมากกว่ากัน แต่สิ่งที่อยากทำ ต้องสอดคล้องและคำนึงถึงความเป็นจริง ณ ปัจจุบันนะครับ ไม่ใช่เขียนมาว่า อยากเป็นคนที่มีพลังวิเศษเพื่อจะได้ใช้พลังนั้นทำอะไรก็ได้ แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่อยากทำนะครับ แต่มันคือการเพ้อฝันครับ (ซึ่งผมเองก็เคยคิดเช่นกันครับ ฮะ ฮาฮา)
5. อัพเดท ข่าวสารต่าง ๆ รอบตัวเสมอ
cr. shorturl.at/duHT4
" รู้อะไรไม่รู้เท่ารู้วิชา รู้รักษาเอาตัวรอดเป็นยอดดี " บทประพันธ์ตอนหนึ่งในเรื่อง พระอภัยมณี ที่แต่งโดย สุนทรภู่ สื่อถึงการมีความรู้ติดตัวและสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตได้ประจำวันได้ และรู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ด้วยการใช้ความรู้ สติปัญญาที่มีเพื่อพาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย
ในยุคที่บ้านเมืองเต็มไปด้วย ข้อมูล ข่าวสารที่ลอยอยู่ในอากาศมากมาย โดยมีสิ่งที่เชื่อมข้อมูลเหล่านั้นไว้ด้วยกันในลักษณะเครือข่าย (Network) เป็นกลุ่มก้อนปริมาณมหาศาล และเราก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ด้วย อินเตอร์เน็ต (Internet)
ย้อนไปสมัยก่อนที่เรายังไม่มีอินเตอร์เน็ต เราต้องการรู้ข้อมูลเรื่องอะไร ก็ต้องเข้าไปที่ ห้องสมุดของโรงเรียน หรือไม่ก็ห้องสมุดประจำท้องถิ่น ถึงจะได้ข้อมูลเหล่านั้นมา หรือบางอย่างที่ไม่มีในหนังสือ เราก็ต้องไปยังแหล่งพื้นที่นั้น ๆ แบบเฉพาะเจาะจง และเรื่องกว่าเราจะได้ข้อมูลหรือหัวข้อที่ต้องการมาครบ อาจต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ
หากเทียบกับการเข้าถึงข้อมูลในปัจจุบัน เราสามารถค้นหาและเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเวลาเปิด-เวลาปิด มาเป็นอุปสรรคอีกต่อไป เพราะสิ่งที่เราอยากจะรู้ อยากอ่าน มันถูกบรรจุไว้ใน เครือข่ายความรู้ ที่อาศัยอินเตอร์เน็ต เป็นตัวเชื่อมการเข้าถึงด้วยเพียงปลายนิ้วสัมผัส บนอุปกรณ์การสื่อสารชิ้นเล็ก ๆ ที่เราเรียกว่า โทรศัพท์มือถือ หรือ แม้กระทั่ง คอมพิวเตอร์ก็ทำได้เพียงแค่ป้อนข้อมูลที่อยากรู้แล้ว คลิก ก็จะมีข้อมูลมากองตรงหน้ามหาศาลเลยทีเดียว
ดังนั้นหากคุณต้องการเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ต้องหมั่นอัพเดทข้อมูลข่าวสารบ้านเมือง หรือสิ่งรอบตัวอยู่เสมอๆ ด้วยการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องล้าหลังทางด้านความรู้ และความคิดอยู่เสมอ ๆ เพราะเรามีโอกาสที่จะเจอผู้คนมากมาย หนึ่งในนั้น เราอาจได้ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยน ทัศนคติ ความรู้ด้วยก็ได้ ซึ่งบางครั้งคู่สนทนาของเราอาจจะชอบคุยกับคนที่มีความรู้ ในเรื่องเดียวกันพอ ๆ กับเขาก็เป็นได้ หรืออย่างน้อย ๆ พอรู้บ้างก็ยังดี เพราะการที่เราจะคุยอะไรกับใครแล้วไม่รู้รายละเอียด ข้อมูลที่จะคุยเลยแม้แต่น้อย จะทำให้การสนทนาครั้งนั้น จบลงอย่างรวดเร็วแล้วเราก็จะไม่ได้อะไรเลย รวมถึงอาจสร้างความอึดอัดใจให้กับคู่สนทนาด้วยเช่นกัน
💡คำแนะนำ: หมั่นอัพเดทข่าวสารเสมอๆ เช่น
✏- อัพเดทข่าวสารบ้านเมือง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง : เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ในกรณีที่คุณไม่มีเวลาในการติดตามข่าวรายวัน เว้นเสียแต่หากอยากรู้รายละเอียดลึก ๆ เราค่อยไปหาอ่านเฉพาะข่าวนั้น ๆ เพิ่มเติม
✏- หมั่นเติมความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ : โดยอาจเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ปกติทั่วไปที่อยู่รอบตัว เช่น เรื่องต้นไม้ ที่ควรและไม่ควรนำมาวางไว้ในห้องนอนหรือในบ้าน หรือแม้กระทั่ง แหล่งช๊อปปิ้ง เสื้อผ้า ราคาถูก อะไรทำนองนี้ครับ เพราะถ้าคุณมีโอกาสได้คุยกับคนหลากหลายวัย ผมเชื่อว่าการมีข้อมูลเหล่านี้ติดไว้ในลิ้นชักความทรงจำของเรา มันคงไม่เปลืองพื้นที่เท่าไรหรอกครั แต่มันทำให้เรามีสเน่ห์ดูเป็นคนรอบรู้ เข้ากับผู้คนได้หลากหลายวัย และทำให้เราได้มิตรเพิ่มง่ายขึ้นอีกด้วย
- ปัดฝุ่นความรู้ เรื่องที่คุณรู้หรือถนัดบ้าง : อย่างน้อย ๆ จะได้เช็คว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรืออัพเดทไปจากเดิมหรือไม่
6. ดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
cr. shorturl.at/yBOZ2
การที่คนเราจะดูดีมีความมั่นใจ น่าเชื่อถือได้นั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า เรื่องสุขภาพก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น ๆ ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เพราะการที่เรามีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็จะเป็นสิ่งเกื้อหนุนให้ผลจากการกระทำนั้น ๆ ดีตามไปด้วย
หากคุณต้องไปพบลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่งได้รับเชิญให้ไป นำเสนองานบริษัท ซึ่งคุณเองก็เป็นมือทองอยู่แล้ว ด้วยความรู้ความสามารถในงานที่คุณมี แต่ ! จะเป็นอย่างไรถ้าหาก คุณมีบุคลิกภาพ หรือสุขภาพที่ไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย เช่น ผมที่รกรุงรัง หน้าตาที่หม่นหมอง ท่าทางการแสดงออกไม่ว่าจะยืน นั่ง หรือการพูดจา ที่ดูไม่ค่อยจะเหมาะกับงานคุณสักเท่าไร ต่อให้ข้อมูลที่คุณ พกไปด้วย จะแน่นแค่ไหน แต่ด้วยบุคลิกภายนอก ที่ลูกค้าพบคุณครั้งแรก แต่ First Impression กลับหายไปทันที เพียงเพราะ หน้าตาดูอิดโรย
ตาคล้ำ ผอมซูบ นั่งไหล่ห่อ ตอบคำถาม วกไปวนมา การพูดจาไม่ชัดเจน น้ำ เสียงสั่นเครือ มันอาจจะทำให้สินค้าของคุณ หมดความน่าเชื่อถือไปโดย ปริยายด้วยก็เป็นได้
ดังนั้นการดูแลตัวเองให้ดีอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นกฏทองอีกข้อหนึ่งใน การเสริมสร้างให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น และการมีสุขภาพที่ดีนั้นก็ต้องดีทั้งภายนอกและภายใน ไม่ใช่ดีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งครับ
คำแนะนำ: ดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น
🏃♂️ออกกำลังกาย - อย่างน้อย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไปเพื่อให้ร่างกายได้ขับเหงื่อเอาของเสียออกจากร่างกาย และยังช่วยให้หัวใจสูบฉีดทำงานอย่างเต็มที่ การออกกำลังกายก็มีหลากหลายออกไป เอาตามที่ตนเองถนัด และไม่ขัดต่อสุขภาพของตนเองครับ เช่น การเดิน การวิ่ง กระโดดเชือก หากกิจกรรมไหนที่มีความเสี่ยงต่อหัวเข่า เพราะคุณเป็นคนกระดูกข้อมีปัญหา ก็หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรง หรือมีแรงกระแทกบริเวณนั้น แต่ให้หาวิธีการอื่น ๆ แทนครับ
🥦🍉- ทานผัก ผลไม้ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ : ข้อนี้ง่ายสุดครับ แต่สำหรับบางท่านก็อาจจะทำได้ยากเพราะพฤติกรรม การกินอาหารของแต่ละคนก็จะต่างกันออกไป แต่เราก็ต้องฝึกรักษาสมดุลของปริมาณอาหารให้เท่า ๆ กันเพื่อผลดีในระยะยาวครับ
🛐- สวดมนต์ นั่งสมาธิ : เพื่อให้จิตใจเราสงบร่มเย็น หากภายในเราสงบนิ่งมากพอ ก็จะทำให้เรามีสติ พอมีสติ ก็จะทำให้เราคิดและพิจารณาไตร่ตรองเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ละเอียด รอบครอบมากยิ่งขึ้นด้วยครับ
📃- การฝึกพูดหน้ากระจกด้วยโทนน้ำเสียงน่าฟัง ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป การฝึกเช่นนี้จะทำให้เราดูมีอารมณ์ร่วมขณะสนทนา ไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป และทำให้ผู้ฟังหรือคู่สนทนาให้ความจดจ่อหรือสนใจมาที่สิ่งที่เราพูดนั่น
7. เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
cr. shorturl.at/NVW15
เคยสังเกตไหมครับว่า ทำไมคนเราชอบเที่ยวป่า เที่ยวเขา หรือที่ ๆ เป็นธรรมชาติที่รายล้อมไปด้วยสีเขียวมันมีข้อดียังไง และเกี่ยวข้องอะไรกับการเพิ่มความมั่นใจของคนเรา จากงานวิจัยต่าง ๆ ได้พูดถึงข้อดีหลายข้อของการที่คนเราได้ออกไปท่องเที่ยวหรือใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ แม้จะเป็นแค่เวลาสั้น ๆ นั้นก็เพื่อให้ร่างกายและสมองได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันงดงามรอบตัว ไม่เพียงแต่ร่างกายที่ฟื้นตัว แต่สมองก็สดชื่นด้วย นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนว่าทำไมการท่องเที่ยวธรรมชาติ หรือการอยู่บนพื้นที่สีเขียว ๆ จำนวนมาก มันมีข้อดีอย่างไร มาดูตัวอย่างจากงานวิจัย กันครับเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นดังตัวอย่าง
💻- นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ สหราชอาณาจักร วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพวะของชาวเมือง 10,000 คน และใช้แผนที่ความละเอียดสูงบันทึกที่อยู่ของผู้ให้ข้อมูลในช่วงเวลากว่า 18 ปี พบว่า ผู้อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวมากกว่ามีความทุกข์ทรมานทางจิตใจน้อยกว่า แม้จะตัดตัวแปรเรื่องรายได้ การศึกษา และการจ้างงาน (ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ) ออกแล้วก็ตาม
💻- ปี 2009 ทีมนักวิจัยชาวดัตช์พบว่า ผู้อาศัยอยู่ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรรอบพื้นที่สีเขียวมีอัตราการเกิดโรค 15 โรคต่ำลง เช่น ภาวะซึมเศร้าวิตกกังวล
โรคหัวใจ เบาหวาน หืด และไมเกรน
⛰- การเดินป่า 15 นาที ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาอย่างเห็นได้ชัด ทีมนักวิจัยญี่ปุ่นที่นำโดย โยชิฟุมิ มิยะซะกิ มหาวิทยาลัยชิบะ ส่งอาสาสมัคร 84 คนไปเดินเล่นในป่าเจ็ดแห่ง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจำนวนเท่ากัน เดินอยู่ตามย่านกลางใจเมือง ปรากฏว่ากลุ่มที่เข้าป่ามีฮอร์โมนเครียดหรือคอร์ติซอลลดลงร้อยละ 16 ความดันโลหิตลดลงร้อยละ 2 และอัตราการเต้นของหัวใจลดลงร้อยละ 4
คำแนะนำ : เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
🏡- หากเราอยู่ห้อง หรือคอนโดที่ถูกจำกัดเรื่องขนาดพื้นที่ ทำให้ไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ใบหญ้า เหมือนบ้าน แนะนำให้หาต้นไม้เล็ก ๆ มาปลูกบริเวณหลังระเบียงห้องครับ เพื่อให้มีสีเขียวอยู่บ้างครับ วางต้นไม้เล็ก ๆ ไว้ที่โต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งที่บ้าน หรือที่ออฟฟิต
👞 - เดินเท้าเปล่า บนพื้นหญ้าสีเขียว บ่อยๆให้ได้อย่างน้อย สัปดาห์ละครั้ง : การเดินเท้าเปล่าบนหญ้าช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ร่างกายถ่ายเทความเครียดออกจากร่างกายและยังช่วยชะลอความแก่ด้วยครับ อีกทั้งยังเป็นการปล่อยพลังงานไฟฟ้าสถิตที่อยู่ในร่างกายเราออกไปสู่พื้นดินด้วยครับ เพราะว่า คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทีวี ตู้เย็น กระติกต้มน้ำร้อน ฯลฯ ล้วนเป็นสาเหตุของไฟฟ้าสถิตในตัวเรา ดังนั้นการมีไฟฟ้าสถิตในตัวเองมากไป นอกจากจะทำให้เครียดแล้วยังทำให้เราเกิดไฟช็อตในร่างกายได้ง่ายด้วย เช่น แตะโดนอะไรที่เป็นโลหะ ไม่ว่าจะเป็นรั้วบ้าน ประตูรถ ประตูในสำนักงาน รถเข็นซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ คุณจะต้องโดนไฟช็อตนั่นเองครับ
มาถึงช่วงสรุปส่งท้ายบทความนะครับว่า สิ่งที่ช่วยให้คนเรามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น การเอาชนะความกลัว การยุดความวิตกกังวล การออกห่างจากคนที่ไม่พึงประสงหรือ Toxic Person ละทิ้งคำว่า เป็นไปไม่ได้ออกไปจากชีวิต อัพเดทข่าวสารรอบตัวเสมอ ดูแลสุขภาพตัวเองประจำ และการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่หยิบยกมานะครับ ในความเป็นจริงยังมีอีกหลายวิธีในการเพิ่มความมั่นใจครับผม
หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ผิดพลาดไป ต้องขออภัย และน้อมรับ คำติ และคำชม ด้วยครับ
📒🖊By The Anonymous Pen [ TAP] เพจ Brain Boost Up
📰ขอบคุณแหล่งข้อมูล
โฆษณา