11 มิ.ย. 2020 เวลา 17:11
ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ (2017)
2
เมื่อ3 หนุ่มหัวขโมย บังเอิญเข้าไปหลบในร้านของชำร้าง แต่พวกเขากลับได้รับจดหมายที่เขียนเข้ามาปรึกษา แต่ปรากฏว่าจดหมายที่ว่านั้นถูกส่งมาจากอดีตเมื่อ 32 ปีก่อน
1
คำเตือน ⚠️ บทความนี้เป็นการเปิดเผยเนื้อ หาทั้งหมดของเรื่อง Spoil
1
ฤดูร้อน ปี 1969 ณ ร้านขายของชำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีบริการพิเศษจากคุณลุงนามิยะเจ้าของร้านชำ นอกจากจะขายสินค้าแล้ว คุณลุงยังรับตอบปัญหาที่มีคนเขียนเข้ามาโดยทิ้งจดหมายไว้ทางประตูหน้าร้าน และจดหมายตอบกลับโดยเฉพาะฉบับที่เป็นปัญหาจริงจัง จะถูกวางไว้ในกล่องนมเก่าข้างๆร้านแทน
1
ปี 2012 โคเฮ อัตสึยะ โชตะ ชายหนุ่มวัยรุ่น 3 คน ที่เพิ่งเข้าไปขโมยเงินจากบ้านพักของนักธุรกิจคนหนึ่ง หลังจากทำสำเร็จ สามหนุ่มได้หนีเข้าไปอยู่ในร้านชำของคุณลุงนามิยะ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นร้านชำร้างไปแล้ว ทั้งสามวางแผนว่าจะหลบในร้านจนกว่าจะเช้า
ระหว่างนั้นเอง ได้มีจดหมายฉบับหนึ่งตกลงมาจากช่องประตูร้าน อัตสึยะพยายามมองลอดออกไป แต่ไร้วี่แววของคนที่ส่งเข้ามา แม้จะเดินออกไปดูข้างนอก เขากลับได้พบแต่ความว่างเปล่า
ทั้งสามบังเอิญเห็นบทความจากหนังสือเก่าในบ้าน เล่าถึงการตอบจดหมายของคุณลุงนามิยะ จึงได้เปิดอ่านจดหมายดู ปรากฎว่าเนื้อหาในจดหมายถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 1980 หรือ 32 ปีก่อน
พวกเขาคิดว่ากำลังมีใครบางคนล่วงรู้ถึงแผนการ และกำลังแกล้งพวกเขาอยู่ ทั้งสามจึงตัดสินใจหนีออกจากร้าน แต่ข้างนอกกลับเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีต และทั้งสามไม่สามารถหนีไปได้ จึงกลับมาปักหลักที่เดิม
ทั้งสามอ่านเนื้อหาในจดหมายอีกรอบ จดหมายถูกเขียนโดย มัตสึโอกะ หรือนามปากกา นักดนตรีร้านปลา เด็กหนุ่มวัย 22 ในตอนนั้น ซึ่งมีความฝันเป็นนักดนตรีอย่างแรงกล้า จนตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยที่โตเกียว
โชตะเป็นคนเขียนตอบจดหมายไป ว่าการเป็นนักดนตรีเป็นเรื่องเพ้อฝัน มีคนแค่กลุ่มน้อยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ และแนะนำให้เขาสืบทอดกิจการร้านปลาของที่บ้านต่อไป
มัตสึโอกะไม่ยอมแพ้ เขาเขียนจดหมายเข้ามาอีกว่าต้องการสานฝัน และอนาคตของร้านปลาเล็กๆนั้นก็ไม่แน่นอนเช่นกัน คราวนี้โชตะได้สบประมาทความสามารถของเขา และชี้ให้เห็นว่า 3 ปีที่ผ่านมาน่าจะเพียงพอต่อการพิสูจน์ตนเองแล้ว
คืนต่อมา มัตสึโอกะ เขียนจดหมายเข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ได้มานั่งเล่นดนตรีหน้าร้านให้ทั้ง 3 คนฟังด้วย ซึ่งทำนองเพลงนั้น พวกเขารู้จักดี และรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับมัตสึโอกะ แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกเขาได้ จึงได้ตอบกลับในจดหมายฉบับสุดท้ายว่า ความพยายามของเขาจะไม่เปล่าประโยชน์ ชื่อของเขาและเพลงของเขา จะถูกจดจำไว้แน่นอน
ปรากฏว่าหลังจากนั้น พ่อของมัตสึโอกะได้ล้มป่วยจากการทำงานหนัก แต่เขากลับสนับสนุนให้ลูกชายได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองฝันเต็มที่ มัตสึโอกะจึงกลับไปโตเกียว
แปดปีต่อมา ในปี 1988 มัตสึโอกะได้ไปเล่นดนตรี ณ สถานสงเคราะห์เด็กมารุโคเอ็น และได้เล่นเพลงที่เขาแต่งเองด้วย เย็นวันนั้น รถไฟที่เขาจะโดยสารเกิดเสีย มัตสึโอกะจึงต้องนอนพักค้างคืนที่นั่นแทน
เซริ เด็กหญิงคนหนึ่งในสถานสงเคราะห์ ชอบเพลงของเขามาก และจำทำนองได้ตั้งแต่ครั้งแรก มัตสึโอกะได้บอกว่าเขาแต่งเอง และตั้งชื่อว่า REBORN และบอกอีกว่า เขาพยายามจะเป็นนักดนตรี เหมือนที่พ่อของเขา ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ได้สนับสนุนให้เขาได้ทำตามความฝัน
กลางดึกคืนนั้นเอง ได้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง ทุกคนหนีออกมาได้ทัน ยกเว้นทัตสึโอะคุง น้องชายของเซริ มัตสึโอกะเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วย จนเด็กชายออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ตัวเขากลับติดอยู่ในกองเพลิงแทน
ในปัจจุบัน เซริ ได้กลายมาเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง เธอได้นำเพลง REBORN มาทำใหม่ และเล่าถึงคุณมัตสึโอกะเจ้าของเพลงในทุกครั้งที่เล่นเพลงนี้ เพลงของมัตสึโอกะจึงยังมีชีวิตต่อมาอีกยาวนาน แม้ว่าตัวเขาเองจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ในการตอบจดหมายของคุณลุงนามิยะ มีหลายๆครั้งที่เจอกับเหตุการณ์ที่คิดไม่ตก วันหนึ่งคุณลุงได้รับจดหมายจากนามปากกา Green River ซึ่งเธอตัดสินใจปรึกษาเรื่องลูกในท้อง ที่จะต้องเกิดมาโดยไม่มีพ่อ ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะเก็บไว้ดีไหม
ลูกชายของคุณลุงที่แวะมา และขอให้พ่อไปอยู่ด้วย เพราะสุขภาพเริ่มไม่สู้ดี ให้คำแนะนำว่าควรเอาออก จะได้ไม่ลำบากเกินไป แต่คุณลุงกลับแย้งว่า เรื่องเอาเด็กออก คุณ Green River น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่คงอยากได้คำปรึกษาที่เป็นไปในแนวทางอื่นมากกว่า
ต่อมา คุณลุงนามิยะ ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อน ขณะเข้าพักอยู่ที่โรงพยาบาล ก็ได้อ่านข่าว แม่ลูกขับรถตกน้ำ แม่เสียชีวิต แต่เด็กทารกอายุ1 เดือน รอด ตำรวจไม่พบร่องรอยการเหยียบเบรก จึงสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เขาได้นำข่าวนี้ให้ลูกชายดู และชี้ให้เห็นชื่อคนขับ คาวาเบะ มิโดริ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Green River ซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกับในจดหมาย
คุณลุงนามิยะ กล่าวกับลูกชายว่า ถ้าคนที่อ่านจดหมายที่ตอบไป ทำตามแล้วรู้สึกแย่ หรือเป็นทุกข์ล่ะ ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย พร้อมกับขอร้องลูกชายให้พากลับไปที่ร้านของชำ ถือว่าเป็นคำขอสุดท้าย จากคนป่วย ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
เพราะหมู่นี้คุณลุงมักฝันแปลกๆ ว่าได้รับจดหมายจากอนาคตอีกหลายสิบปี ที่เขียนว่าบอกเล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปจากการอ่านจดหมายตอบกลับจากคุณลุง
เมื่อถึงร้านของชำ คุณลุงนามิยะ ได้มอบพินัยกรรม ให้แก่ลูกชาย 1 ฉบับ ซึ่งเขาได้เปิดอ่านขณะรออยู่ในรถ เนื้อหาด้านในระบุว่า เมื่อครบรอบวันตายปีที่ 33 ของคุณลุงนามิยะ ขอให้ปิดประกาศให้คนที่เคยได้รับจดหมายตอบกลับ เขียนจดหมายเล่าความเปลี่ยนแปลงของชีวิตตนเอง และความรู้สึกอย่างสัตย์จริง แล้วส่งมาที่ประตูเดิมของร้านขายของชำ
1
ขณะที่คุณลุงนามิยะ นั่งอยู่ในร้าน เขากลับต้องประหลาดใจเมื่อจดหมายจากอนาคตถูกส่งมาหาคุณลุงในตอนนี้จริงๆ และยังได้เจอกับ วิญญาณ ของ อากิโกะ หญิงสาวที่เคยรักกับเขาในอดีตอีกด้วย
ในบรรดาจดหมายที่ส่งมา มีจดหมายฉบับหนึ่ง จากเอโกะ ที่เล่าถึงชีวิตของเธอที่เติบโตมาในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ทุกคนบอกเธอว่าแม่จากไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เธอยังเล็ก
วันหนึ่งขณะเอโกะเรียนอยู่ มัธยมปีที่4 และต้องหาข่าวในอดีตในปีที่ตัวเองเกิด เพื่อทำรายงาน ก็ได้พบว่า แม่ของเธอเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย เธอรู้สึกแย่มาก จึงได้ขึ้นไปที่ดาดฟ้าของตึกและกระโดดลงมา
เธอรอดชีวิตมาได้ ขณะที่พักอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อนสนิทของเธอ ที่เติบโตมาด้วยกัน อย่างเซริ ได้มาเยี่ยมเธอ และพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เอโกะได้บอกกับเซริว่า เธอควรจะตายไปพร้อมกับแม่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ที่เธอเกิดมา มันเป็นเรื่องผิดพลาดของแม่เท่านั้น
เซริยื่นจดหมายที่ได้จากสถานสงเคราะห์ ซึ่งเป็นของที่แม่ของเอโกะเคยเก็บไว้ นั่นคือจดหมายตอบกลับของคุณลุงนามิยะนั่นเอง เนื้อความในจดหมายตอบกลับว่า ชีวิตของพ่อแม่ ก็คือการได้เห็นลูกมีความสุข หากคิดว่าไม่มีความพร้อมที่จะทำให้ลูกมีความสุข ก็ไม่ควรเก็บเขาไว้
เซริย้ำกับเอโกะว่า แม่ของเอโกะเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ แสดงว่าต้องตั้งใจมีเอโกะ และคิดว่าพร้อมที่จะทำให้เอโกะมีความสุขด้วย แม่ของเธอคงไม่มีทางคิดฆ่าเธอแน่นอน
ซึ่งต่อมา เอโกะก็พบว่า เซริพูดถูก เพราะเพื่อนของแม่เอโกะ ก็เป็นพยานให้เช่นกันว่า ในวันนั้นแม่ของเธอทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ ขณะที่จะพาเอโกะซึ่งเป็นไข้ไปหาหมอ จึงเผลอหลับไปจนขับรถตกน้ำ
เอโกะยังเสียใจ เพราะถ้าเธอไม่เกิดมา แม่คงไม่ตาย แต่เซริชี้ให้เธอเห็นว่า เซริเองพยายามมีชีวิตให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทน คุณมัตสึโอกะที่เคยสละชีวิตตัวเองเพื่อน้องชายเธอ และเธอก็ไม่อยากเสียคนที่รักไปอีก โดยเฉพาะเอโกะ เซริเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่าอนาคตที่รออยู่ ต้องสดใสอย่างแน่นอน
เอโกะยังได้เขียนว่า ทุกครั้งที่นึกถึงแม่ เธอจะพยายามใช้ชีวิตให้ดี ตอนนี้เธอพูดได้เต็มปากว่า ดีใจที่ได้เกิดมา และลงท้ายจดหมายว่า จากลูกสาวของคุณ Green River ซึ่งคุณลุงนามิยะก็ตื้นตันใจมาก ที่ได้รับรู้เรื่องนี้ ว่าการตัดสินใจตอบจดหมายของเขา เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หลังจากนั้นจดหมายฉบับใหม่ก็ถูกส่งเข้ามา แต่หน้ากระดาษนั้นมีแต่ความว่างเปล่า
รุ่งเช้า คุณลุงนามิยะได้รับคำตอบว่าลูกชายว่า เมื่อคืนไม่เห็นมีใครมาส่งจดหมายแม้แต่คนเดียว คุณลุงยิ้ม และชูปึกจดหมายให้ดูว่า เพราะเป็นจดหมายจากอนาคต และยังสงสัยอีกว่าอนาคตในอีกหลายสิบปี จะเป็นอย่างไร
ด้าน โคเฮ อัตสึยะ โชตะ ก็ได้รับจดหมายฉบับใหม่ จากปี1980 จากคนที่ใช้นามปากกาว่า ลูกสุนัขหลงทาง เธอทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ในช่วงกลางคืนก็รับทำงานเป็นโฮสต์ที่บาร์ด้วย ได้เขียนเข้ามาปรึกษาว่ามีลูกค้าเสนอซื้อร้าน และเงินก้อนใหญ่ให้ แลกกับการเป็นภรรยาลับ และเธอก็ต้องการเงินนั้นไปให้ผู้มีพระคุณ จึงคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี
โคเฮและโชตะคิดจะเขียนจดหมายตอบ แต่อัตสึยะไม่ใส่ใจ และพูดถึงชีวิตของคนที่ทำงานบาร์ว่าสุดท้ายก็ล้มเหลว มีลูกลูกก็กลายเป็นคนไร้ค่าเช่นกัน
โชตะพูดแทงใจดำอัตสึยะว่า เพราะแม่ของเขาทำแบบนั้นใช่ไหม
ทั้งคู่เริ่มทะเลาะกัน อัตสึยะระเบิดอารมณ์ออกมาว่า โชคชะตาจะเปลี่ยนกันได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร จนในที่สุด อัตสึยะก็ขอเป็นคนตอบจดหมายเอง
ผู้มีพระคุณของคุณลูกสุนัขหลงทาง หรือชื่อจริงว่า ฮารุมิ คือพ่อแม่บุญธรรมของเธอซึ่งแก่มากแล้ว เธอจึงอยากตอบแทนทั้งคู่ให้ดีที่สุด วันหนึ่งขณะเดินผ่านร้านของคุณลุงนามิยะ เธอก็เกิดสนใจเรื่องจดหมายขึ้นมา และได้พบกับคุณมัตสึโอกะ หรือนักดนตรีร้านปลา ในวันนั้นด้วย ซึ่งเขาได้บอกเธอว่า ร้านปิด แต่ดูเหมือนว่ามุมให้คำปรึกษาจะเปิดอยู่
อัตสึยะ ได้ตอบกลับไปว่า ไม่ควรยอมเป็นภรรยาลับ เพื่อแลกกับเงินและการได้มีร้านเป็นของตัวเอง ฮารุมิ ตอบกลับว่า เธอเคยเป็นเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์มาก่อน ตอนที่เธออยู่ประถม คู่สามีภรรยาสูงอายุ ก็รับเธอมาเลี้ยง แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะถูกจำนอง เธอจึงอยากจะตอบแทนให้มากที่สุด ถ้ากิจการดำเนินไปได้ด้วยดี เธอก็จะคืนเงินแก่ลูกค้าทีหลัง
อัตสึยะเขียนจดหมาย บอกถึงสิ่งที่ต้องทำถ้าหากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เขาบอกให้เธอตั้งใจทำงานในสำนักงาน และเรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ไปด้วย มื่อมีเงินเก็บ ให้ซื้อห้องในอพาร์ทเม้นต์ย่านตัวเมืองไว้ ราคาขึ้นก็ขาย และขยับขยายซื้อที่แพงขึ้น แต่ปี 1990 จะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ และจะมีสิ่งใหม่ๆเข้ามาแทนที่ เช่น อินเตอร์เน็ต
เมื่อฮารุมิ ทำตามนั้น ชีวิตเธอก็ประสบความสำเร็จจริงๆ กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ พ่อแม่ของเธอก็ได้บ้านคืน ในปี1988 เธอเห็นข่าวไฟไหม้ สถานสงเคราะห์มารุโคเอ็น จึงได้แวะไปเยี่ยมเยือนและให้ความช่วยเหลือตั้งแต่นั้นมา
ครูใหญ่ ได้เล่าถึง อากิโกะ ผู้เป็นพี่สาวของเขา สมัยสาวๆ อากิโกะเคยหนีตามชายคนรัก แต่เพราะบ้านของเขามีฐานะกว่า สุดท้ายเธอจึงต้องถูกส่งกลับมา เธอเป็นผู้ก่อตั้ง มารุโคเอ็น อากิโกะเสียชีวิตจากโรคหัวใจสมัยยังสาว และให้คำสัญญาไว้ว่า จะปกป้องทุกคนจากข้างบน ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต (ชายคนรักของอากิโกะ ก็คือคุณลุงนามิยะนั่นเองค่ะ)
ปี 2012 อัตสึยะ โคเฮ และโชตะ ได้รู้เรื่องที่มีนักธุรกิจจะมาปรับปรุงสถานสงเคราะห์ เพื่อทำม่านรูดและร้านปาจิงโกะ จึงวางแผนเข้าไปปล้นบ้านของเธอในคืนนั้นแต่กลับเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เพราะสาเหตุที่เธอมา มารุโคเอ็น เพราะพบว่าผู้อำนวยการคนใหม่ ได้ยักยอกเงินของสถานสงเคราะห์
อัตสึยะ โคเฮ และโชตะ ได้รู้ว่า วันนี้คือวันเดียวกับที่คุณลุงนามิยะจากไป และประกาศผ่านเว็บว่า ขอให้ทุกคนส่งจดหมายกลับมาในวันครบรอบการตายของเขา อัตสึยะจึงลองส่งกระดาษเปล่าเข้ามาในร้าน ซึ่งเป็นฉบับเดียวกับที่คุณลุงได้รับในคืนสุดท้ายที่มาที่ร้านนั่นเอง
2
โชตะตะหงิดใจว่า มารุโคเอ็นและร้านชำของคุณลุงนามิยะ ต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกันแน่ๆ อัตสึยะจึงถามว่า ทำไมถึงพามาหลบที่นี่ โชตะตอบว่า ตอนที่สะกดรอยตามนักธุรกิจมา เขาเห็นเธอหยุดและจ้องมองมาที่ร้านนี้
ทั้งสามรู้สึกแปลกใจ ลองค้นนามบัตรและกระเป๋าของเธอ ก็พบกับจดหมายที่เธอเขียนให้คุณลุงนามิยะในวันครบรอบการตาย จึงได้รู้ว่า เธอคือ ฮารุมิ หรือคุณลูกสุนัขหลงทางนั้นเอง อัตสึยะเสียใจที่พวกเขาทำไม่ดีกับเธอลงไป
เวลาใกล้รุ่งสางพอดี โชตะและโคเฮ รีบวิ่งออกไปยังบ้านของคุณฮารุมิ อัตสึยะได้เปิดกล่องนม และพบจดหมายตอบกลับจากคุณลุงนามิยะ ขอบคุณเรื่องจดหมายกระดาษเปล่าของเขาที่ท้าทายน่าดู และขอให้เขาที่รู้สึกว่างเปล่าเหมือนกระดาษแผ่นนี้ แต่งแต้มชีวิตตัวเองให้ดี
อัตสึยะร้องไห้ออกมา ขณะวิ่งสุดชีวิตตามโคเฮ และโชตะไป ทั้งสามไปหยุดอยู่หน้าบ้านของคุณฮารุมิ ที่เพิ่งคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสร็จ และตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอ
1
ต่อมา ทั้งสามเลือกที่จะสานฝันตัวเองให้สำเร็จ อัตสึยะได้เข้าเรียนแพทย์ โชตะได้เป็นวิศวกร และโคเฮก็ได้เป็นเชฟอย่างที่หวัง คุณฮารุมิเองก็ได้รับเขียนจดหมายให้คำปรึกษาเช่นเดียวกับที่คุณลุงนามิยะเคยทำ
บทความนี้ขอทิ้งท้ายด้วยคำคมจากอัตสึยะที่เข้ากับเรื่องนี้จริงๆ โดยเฉพาะตอนจบ "ทิวทัศน์ที่คุณมองอยู่ในตอนนี้ คือทิวทัศน์ที่คุณเลือก และไขว่คว้ามันมาด้วยตัวเอง"
โฆษณา