13 มิ.ย. 2020 เวลา 01:34
อดทนในสิ่งที่ไม่สามารถจะทนได้
ญี่ปุ่นกำลังจะเปิดประเทศอีกครั้ง ประเทศไทยก็เป็นรายชื่อแรกๆที่ประเทศญี่ปุ่นน่าจะเปิดให้เข้าไปเที่ยว ผมและครอบครัวก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอเพราะเป็นประเทศที่เราต้องไปเที่ยวทุกปีมาตั้งแต่ลูกสาวยังเล็กๆ คนไทยส่วนใหญ่ก็คงเป็นเหมือนผมที่ชอบไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นที่มีทุกอย่างรวมกันทั้งเทคโนโลยี วัฒนธรรมที่ลุ่มลึก ผู้คนที่สุภาพ บ้านเมืองที่เจริญ ธรรมชาติที่สวยงาม และอาหารการกินที่อร่อย
แต่สำหรับผม เวลานึกถึงญี่ปุ่นที่ไร ก็มักจะนึกเรื่องหนึ่งที่คิดทีไรก็เสียวไส้แทนคนญี่ปุ่น ที่ถ้าในวันนั้นการตัดสินใจเปลี่ยนไปนิดเดียว ชาติญี่ปุ่นทั้งชาติก็อาจจะไม่เหลือให้เราชื่นชมและชอบอย่างวันนี้แน่ๆ เรื่องราวในประวัติศาสตร์หลายต่อหลายเรื่องมักจะเป็นเช่นนี้เวลาเรามองย้อนกลับไป มักจะอดคิดไม่ได้ถึงตัวละครในวันนั้นที่ต้องแบกความรับผิดชอบ อดทนต่อการถูกหยามเกียรติและต้องกลืนเลือดไม่รู้เท่าไหร่จึงจะผ่านเวลาที่เจ็บปวดอันแสนยาวนานนั้นมาได้ เรื่องราวที่ผมนึกถึงคือวันที่พระเจ้าจักรพรรดิต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติญี่ปุ่น… เป็นหนึ่งวันหลังจากระเบิดปรมาณูลูกที่สองทำลายเมืองนางาซากิและคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก
ในตอนนั้นเป็นปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ใช้ความรุนแรงขั้นสูงสุดต่อญี่ปุ่นเพื่อยุติสงครามด้วยการออกประกาศปอตสดัม เรียกร้องให้ญี่ปุ่นซึ่งกำลังถอยร่นอย่างหนัก ยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข มิเช่นนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจะทำลายล้างญี่ปุ่นจนหมดสิ้น แต่ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยโดยชาวญี่ปุ่นถูกอบรมให้สละชีวิตจนคนสุดท้ายเมื่อพันธมิตรบุกยึด พันธมิตรจึงแสดงแสนยานุภาพด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกที่ฮิโรชิมาและนางาซากิคร่าชีวิตผู้คนเป็นแสนคน แต่ชาวญี่ปุ่นก็ยังนิ่งไม่ยอมแพ้ เพราะทั้งชาติเตรียมตัวตายพร้อมกันไว้อยู่แล้ว
ในตอนนั้นที่กองบัญชาการสงครามสูงสุดของญี่ปุ่นเตรียมตัดสินใจครั้งสุดท้าย โดยฝ่ายรัฐบาลพลเรือนสามคนเห็นควรยอมแพ้เพื่อรักษาชาติและชีวิตผู้คนไว้ แต่ฝ่ายทหารอีกสามเสียงไม่เห็นด้วย ต้องการสละชีวิตทุกชีวิตเพื่อรักษาเกียรติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคนญี่ปุ่น คะแนนเสียงที่เท่ากันสามต่อสาม ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิจะมีพระราชวินิจฉัยชี้ขาดทางใดทางหนึ่ง ผลก็จะเป็นไปตามนั้น
หลังจากที่ทุกคนกราบบังคมทูลรายละเอียดต่างๆแล้ว สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิได้มีพระราชดำรัสวินิจฉัย ซึ่งผมยกมาจากหนังสือฉากญี่ปุ่นที่เขียนโดยหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า..
“ ..ในภาวะเช่นนี้ ถ้าหากประเทศเราถูกโจมตี ชาวญี่ปุ่นก็จะต้องพากันล้มตายไปสิ้น ถ้าหากเป็นดังนั้นแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะมอบราชอาณาจักรนี้ให้แก่ผู้ที่จะมาสืบราชสมบัติต่อจากเราไปได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องตัดสินใจ
..เราจำต้องอดทนในสิ่งที่เราไม่สามารถจะทนได้..
เราจึงต้องยอมรับปฏิบัติตามประกาศปอตสดัมของฝ่ายข้าศึก”
หลังจากนั้น เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ทุกคนจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งมีพระราชดำรัสให้ยอมแพ้และยุติสงคราม มีทหารหลายนายฆ่าตัวตายด้วยความรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติ ความเศร้าหมองปกคลุมไปทั้งประเทศ
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์เขียนปิดตอนนี้ไว้ว่า ..สิ่งที่พระเจ้าจักรพรรดิมิได้มีพระราชดำรัสบอกแก่คนญี่ปุ่นก็คือ คนญี่ปุ่นทุกคนนั้นรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
…….
ที่ผมอยากเล่าเรื่องนี้นอกจากจะเป็นเรื่องหวาดเสียวเวลาที่ผมคิดถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว หลายๆคนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจนี้อาจจะต้องมีการตัดสินใจที่สำคัญและจำต้องอดทนในสิ่งที่แทบจะไม่สามารถทนได้ อาจจะจำต้องปิดกิจการที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน หรือต้องหยุดงานที่รักที่สร้างมากับมือ แต่การตัดสินใจที่ดูเหมือนเป็นบทสิ้นสุดของทุกอย่าง อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ที่เริ่มสร้างกันใหม่จากซากปรักหักพังก็ได้ ตราบใดที่ยังมีความหวัง มีแรงกำลังอยู่ เหมือนกับชาติญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวจากซากสงครามจนกลายเป็นประเทศที่ดูสมบูรณ์แบบจนเราอยากไปเที่ยวเป็นอันดับต้นๆอย่างตอนนี้
สงครามเศรษฐกิจนั้น เวลาพ่ายแพ้แล้วดูเหมือนจะสิ้นสุดลงตรงนั้น แต่ถ้าเปรียบเทียบว่าสงครามรอบนี้มีความคล้ายกับสงครามอื่นๆแล้ว ความพ่ายแพ้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่ไม่มีวันจบ (infinite game) แพ้แล้วก็ยังมีวันพรุ่งนี้ให้เริ่มใหม่ เราอาจจะแพ้เกมทางธุรกิจในรอบนี้ แต่แบรนด์ก็ยังอยู่ ทีมงานก็ยังอยู่หรืออย่างน้อยตัวเรา ทักษะที่เรามีก็ยังอยู่ ยกนี้แพ้ ยกหน้าก็ยังมีให้เริ่มใหม่ เราอาจสูญเสียอะไรก็ได้แต่ขออย่าเสียกำลังใจ ผมเลยอยากเอาเรื่องราวของชาวอาทิตย์อุทัยที่พ่ายแพ้จนแทบไม่เหลืออะไรแต่วันนี้ก็กลับมาได้อย่างสง่างามมาเตือนใจกันว่าสงครามจบเป็นแค่บทหนึ่งเท่านั้น การฟื้นฟูและกลับมาได้ก็เป็นบทต่อไปในชีวิตได้เช่นกัน..
……
..พระอาทิตย์ตกแล้วก็ขึ้นได้อีก
หม่อมคึกฤทธิ์สรุปเป็นบทส่งท้ายถึงญี่ปุ่น ชาติแห่งพระอาทิตย์ ที่หลังสงครามต้องถูกเหยียดหยาม ต้องอดทน ต้องเริ่มฟื้นฟู ร่วมใจสร้างชาติกันใหม่ได้อีกครั้ง...
โฆษณา