13 มิ.ย. 2020 เวลา 23:00 • ธุรกิจ
Strategic Planning คืออะไร และ สำคัญกับองค์กรอย่างไร ?
ทำไมถึงได้ยินทีมบริหารพูดกันบ่อยจัง ?
วันนี้ได้มีโอกาสไปเทคคอร์สเกี่ยวกับ Strategic Planning หรือการวางแผนกลยุทธ์องค์กรมา ก็สนุกดีน้ะ เลยอยากย่อยมาแชร์ให้เพื่อนๆอ่านกัน
Strategic Planning หรือการวางแผนกลยุทธ์ อันนี้คงไม่ต้องอธิบายถึงความหมายเค้ามากเนอะ เพราะมันตรงตัวเลยคือ การวางแผน !
ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนดีกว่า ว่าทำไม Strategic Planning ถึงสำคัญ ?
- Focus การที่ทำให้องค์กรมี direction ที่เหมือนกันและก้าวหน้าเนี่ย สำคัญมาก แล้วมันจะไม่สามารถออกมาจากฝ่ายไหนได้เลยถ้าไม่ใช่ฝ่ายบริหาร
การ focus ที่ดีจะทำให้เรารู้ว่า ส่วนไหนควรจะโฟกัส หรือ ส่วนไหนควรจะต้องกระจายงาน
- Enthusiasm การวางแผนกลยุทธ์ที่ดี ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิด direction น้ะ แต่ว่า พนักงานเองถ้าเห็นเป้าหมายที่จะเกิดขึ้นยิ่งใหญ่เนี่ย ความตื่นเต้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เค้าทำงานได้ดีขึ้น
- Risk and Opportunity นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยค้นหาว่า ยังมีโอกาส และความเสี่ยงอะไรที่บริษัทต้องเจออีกบ้าง เชื่อว่าทุกๆคน มีทรัพยากรจำกัด เช่น เงินที่จำกัด ทำให้จ้างพนักงานได้จำกัด การที่เราไม่วางแผน หรือวางแผนแต่ไม่มองถึงข้อนี้เนี่ย อายหยา.....เสียทรัพยากรเปล่าๆแน่แท้
2
Strategic Planning เกิดขึ้นกันได้อย่างไรน้ะ ?
- หลักๆคือการแบ่งการทำงานทั้ง รายบุคคลและ เป็นทีม
เพราะว่า การที่เราแบ่งกันไปทำรายบุคคลจะทำให้ได้ไอเดียที่หลากหลาย แล้วจึงกลับมา brainstorm
- จากนั้นก็จะรวบรวมออกมาเป็น Initiative แล้วทำการลำดับความสำคัญ
อันนี้เป็นภาพที่อธิบาย process แบบง่ายๆน้ะ
ภาพข้างล่างคือ Initiatives หรือ Project นั้นเอง
อันนี้ตัวอย่างน้าาา
ปล. ไม่ใช่แค่เรารู้ว่าจะต้องทำโปรเจคอะไรนะ แต่ว่า เราจ้องรู้ด้วยว่า ทำเริ่มทำอันไหนเป็นอันดับแรกๆ? ต้องการเมื่อไร ? และทำไม ?
1
Strategic Environment หรือ กลยุทธ์สำหรับการวางแผน เพื่อเข้าใจสถานการณ์ของบริษัท และ คู่แข่ง มีอะไรบ้าง ?
ถ้าเราพูดชื่อมาเนี่ย เพื่อนๆร้องอ้อออ !! กันแน่นอนนน อ้ะ ไปดูกัน
1. PORTER's 5 Forces
ท้าด๊าาา อันแรกเลย จะเป็นกลยุทธ์ไหนไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ พี่ Porter นี้เอง มาๆ เราอธิบายสั้นๆ
- Rival : คือ เพื่อนๆต้องวิเคราะห์ว่า คู่แข่งดำเนินกลยุทธ์อย่างไร Focus อันไหน แล้วเค้าเด่นอะไร ? ซึ่งก็จะเป็นการ analyse อีกทั้ง 4 อย่างนี้เอง
- Threat of New entry : ไหนดูสิว่า เพื่อนๆเป็นคนแรกที่เข้ามาเล่นตลาดนี้ หรือ เป็นคนหลังๆแล้ว ? ตรงนี้ละ จะทำให้เราสามารถสร้างความ competitive ได้
- Threat of sub : แล้ว เอ....มีสินค้าไหนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเพื่อนไม๊ ? แล้วถ้ามีเนี่ย เค้าจะต้องการของเพื่อนๆอยู่อีกไม๊ ? แบรนด์ไหนที่เป็นคู่แข่ง?
- Buyer Power : ตอนนี้ ตลาดที่เพื่อนๆกำลังจะลงเล่นเนี่ย ใหญ่มากไม๊ ? แล้วถ้าเพื่อนๆ กระโดดเข้ามาเล่นเนี่ย เราจะสามารถเป็นใหญ่ในกลุ่มผู้บริโภคนี้ได้ไหม ?
- Supplier : ถ้าเราเป็นพ่อค้าคนกลางแล้ว ผู้ผลิตสินค้าให้เรา position เค้าเป็นยังไง ? คุณภาพ ? เค้าสามารถทำให้เราเติบโตได้ไหม ?
2. วิเคราห์ SWOT
คงจะไม่พ้นเลยกับวิธีการวิเคราะห์ตัวเองอย่างดีและเบสิคที่สุดอย่าง SWOT
จริงๆ ควรจะทำในทุกๆ Project ด้วยนะ
เราขอสรุปแทนการอธิบายเนอะ เพราะความหมายน่าจะไม่ยาก
- เราหา Weakness เพื่อที่จะหา Strength ที่สามารถเข้ามาแก้ไขได้
- เราหา Opportunities และ Threats เหมือนเป็นแง่บวก แง่ลบที่ถ่วงกัน และทำให้เราเห็นภาพมากขึ้น เช่น Opp เราคือ บริษัท A ที่ขายของเหมือนเรากำลังล้มละลาย แต่ Threats คือ มีบริษัท B ที่เป็นเจ้าใหญ่เพิ่งมา takeover ไป ก็จะทำให้เราเห็นภาพที่ครบเครื่องขึ้น และต้องหากลยุทธ์มาแก้ทาง
Strategic Direction ที่มาเป็นอันดับต่อไป
หลังจากที่เราวิเคราะห์ทั้งตัวเอง และคู่แข่งแล้ว ถึงเวลากำหนด direction ที่แน่นอน และเตรียมตัวสื่อสาร !
ถ้าพูดถึง Direction เพื่อนๆจำ Vision and Mission ได้ไม๊เอ่ยย ?
เอาง่ายคือๆ เป็นจุดยืนของบริษัท และ สิ่งที่บริษัทมุ่งหมายจะทำ
 - เช่น Amazon Mission คือเค้าต้องการสร้าง value อะไร... ซึ่งก็คือเป็นแหล่งขายของที่ถูกที่สุด และ Vision คือสิ่งที่บริษัทมองเห็นและต้องการจะเป็น
www.clearvoice.com
- Expedia Group ที่มาชัดเจนในเรื่องของ "การเชื่อมต่อโลกทั้งใบด้วยเอื้อมมือ" ตรงนี้ก็จะแตกต่างจาก Amazon ไปหน่อย เพราะ Expedia เค้าต้องการทำให้เรื่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ง่ายๆ จึงนำเสนอในรูปแบบที่สั้น และมีอันเดียว
ปล. อย่าลืมว่า สิ่งที่เราพูดมาและ promise ต้องไม่ใช่สิ่งเวอร์เกินนะเพื่อนๆ
หลังจากที่เราคลอด Mission and Vision แล้ว บริษัทต้องกำหนด Goals and Guiding principle ออกมาเพื่อให้ พนักงานสามารถปฏิบัติตามได้
Core Competencies สมรรถนะหลักขององค์กร ! คืออะไร ?
พูดมาขนาดนี้ ใช่แล้ว เจ้านี้จะเป็นสิ่งต่อไปที่เราต้องมองต่อกันนะ
- คือการที่เรามองว่า เรามีจุดแข็งอะไร และจุดอ่อนอะไร ซึ่งจะต่างกับ SWOT นะ ตรงที่ เราจะหันมาสนใจในเรื่องของ
>> Product quality
>> Innovation ability
>> Supple chain efficient (อันนี้เราแอบมีอธิบายในบทความที่แล้วน้า)
>> Technology Infrastructure อันนี้สำคัญมากในยุคสมัยนี้
เช่นนนๆ
- ถ้าเรานึกถึง Starbucks เนี่ย Core competence ของเค้าก็คือ Quality of coffee beans and service with barista knowledge และ บรรยากาศสุดแสนจะน่านั่งทำงานของ สตาร์บัคทุกสาขา
- หรือ P&G ที่ Core คือเรื่องของการตลาด Marketing และ Product development ที่พัฒนาออกมาเรื่อยๆตามความต้องการของลูกค้า (และทีม R&D ที่แข็งแกร่งนั้นเอง)
(from David McGuinness)
ที่มากกว่านั้นคือ เราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า "ส่วนไหนคือที่จุดเสี่ยง หรือจุดควรจะหลีกเลี่ยง(avoid) เนื่องจาก Core Competencies ของเราไม่ได้เด่นด้านนั้น"
พอแค่นี้ก่อนเนอะ เราคิดว่าอันนี้คือ 3 อย่างที่เป็นหัวใจหลักๆ ของ Company Strategic Planning
การที่เพื่อนๆเข้าใจในเรื่องตรงนี้มากขึ้น อาจจะทำให้เพื่อนๆเข้าใจเหตุผลของการตั้งเป้าหมายๆต่างในบริษัทได้ โดยเฉพาะ การเปลี่ยน SP ในช่วง Covid นี้
จริงๆมันมีอีกนะที่ลงลึกลงไป เราพูดสั้นๆให้ฟัง เป็นไอเดียเน้อะ
เพื่อนๆจำ Initiatives ตอนแรกที่เราพูดถึงได้ไม๊เอ่ยย ?
นั้นแหละ คือสิ่งที่เราต้องกลับมาแวะดู เพราะ สิ่งนี้ต้องเกิดไปคู่กัน
เราต้องดูว่า อะไรควรทำก่อน ควรทำทีหลัง ?
- โดยมีวิธีมากมายที่เป็นตัวช่วยเช่น Strategic filter, 2x2 Matrix, multiple diversity view,
โดยวิธีที่เราเองชอบในการจัดการความสำคัญของงานหรือ priority list คือ เจ้า ตารางด้านล่างนี้ (2x2 Matrix) เรามี 2 แบบให้เป็นไอเดียน้า
อันนี้เราใช้ตลอดเลย และทำให้เราจัดการงานได้ดีขึ้นด้วยนะ เหมาะกับเพื่อนๆที่ชอบ Multitask to-do list
ส่วนอันนี้ คือ การที่เรา identify และ prioritize ความสำคัญของแต่ละ Project
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์และคุ้มค่าเวลาอ่านของเพื่อนๆน้าา :)
References :
- ประสบการณ์ของผู้เขียนเองที่เจอในองค์กรข้ามชาติที่ทำงานอยู่จ้า
โฆษณา