16 มิ.ย. 2020 เวลา 08:49 • ความคิดเห็น
เมื่อจีนเตรียมทุ่ม 200,000 ล้านเหรียญ
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่แมวยุคดิจิทัล
1
"แมวขาวแมวดำไม่สำคัญขอให้จับหนูได้เป็นพอ" คำกล่าวอมตะของผู้นำจีนอย่างเติ้ง เสี่ยวผิง จะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อหนูยุคใหม่วิ่งอยู่บนอากาศ แมวขาวแมวดำหรือจะสู้แมวดิจิทัล
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยประกาศ (เมื่อปี 2017) จะทำจีนให้เป็นผู้นำโลกในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในอีก 30 ปีข้างหน้า แม้จะดูเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ (แต่หลายสิ่งก็เกิดได้ เพราะพลังแห่งความฝันใช่ไหมละ) ถึงวันนี้จีนลงมือทำอะไรบ้างไปแล้วบ้าง? เราตามไปดูกัน
1) ทฤษฏี "แมวขาวแมวดำ"
แนวคิดที่ตกผลึกของเติ้ง เสี่ยวผิง เพื่อปฏิรูปประเทศของจีน โดยการใช้โมเดลผสมผสานระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยมโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจการค้า ซึ่งเกิดจากการได้พบเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศอื่นๆ หลังจากที่ได้ออกไปเยี่ยมเยียนประเทศในภูมิภาคต่างๆ จึงตระหนักว่าถ้าจีนยังทำตัวเหมือนเดิมไม่เชื่อมต่อกับคนอื่นจีนจะยิ่งเสื่อมถอย
จีนเคยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจรุ่งเรือง เมื่อไหร่ก็ตามที่จีนเปิดประเทศ เช่น ในสมัยราชวงศ์ถังที่เปิดเส้นทางสายไหมติดต่อสัมพันธ์กับนานาประเทศสมัยนั้น ทำให้จีนมีความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่
ความคิดเปิดประเทศของเติ้ง แม้จะมีการถูกตั้งคำถาม แต่สำหรับเค้ามันคือการเปิดรับอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยี เงินทุนเพื่อพัฒนาประเทศ ถ้ามีสิ่งแปลกปลอดก็แค่กำจัดออกไป (ไม่จำเป็นต้องปิดหน้าต่างทั้งหมด)
นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดการเป็นผู้นำของโลกในด้านต่างๆของจีน ส่งต่อใน DNA ของผู้นำรุ่นต่อๆมา
แล้วจีนเตรียมพร้อมสำหรับยุคแมวดิจิทัลอย่างไร??
2) ลงทุนสร้างที่รากฐาน
ในการจะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีได้นั้น มีองค์ประกอบพื้นฐานที่จะต้องลงทุนอยู่สองส่วน หนึ่งคือการลงทุนวิจัย อีกหนึ่งคือการสร้างคน
องค์ความรู้จากการวิจัย จะทำให้คุณได้เห็น มีมุมมองที่แตกต่างออกไป สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้ ส่วนการสร้างคนก็เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้นเอง
....
การลงทุนใน R&D ของจีนขยายตัวแบบก้าวกระโดดทุกปี และกำลังจะแซงเบอร์ 1 ตลาดกาลอย่างอเมริกา (US) ในเร็วๆนี้
โดยจีนมีอัตราการลงทุนใน R&D เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% ต่อปี
ขณะที่สหรัฐขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี
ในด้านการเตรียมพร้อมกำลังคนที่มีความชำนาญในด้านเทคโนโลยีระดับสูงของจีน (อาจจะด้วยจำนวนคนในอีกมิติ)ก็พุ่งขึ้นสูงมาอีกด้วย (การศึกษาในระดับปริญญาของหลายๆประเทศนี้ขึ้นอยู่กับพึ่งพานักเรียนของจีนเยอะเลยทีเดียว)
โดยจีนสามารถผลิตแรงงานที่จบทางด้านเทคโนโลยีได้ถึง 1.65 ล้านคนต่อปี มากกว่าสหรัฐถึงเกือบ 2 เท่า
ข้อมูลในปี 2017 ที่ตีพิมพ์ใน Forbe
3) สร้างความรู้แล้ว ต้องนำไปขาย(ให้ได้)
เมื่อมีการลงทุนสร้างรากฐานผ่านงานวิจัยและคน จนสะสมองค์ความรู้ สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือนำออกไปใช้ประโยชน์ สร้าง impact ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณภาพชีวิต กระบวนการที่ว่าสามารถทำได้หลากหลายวิธี แต่วิธีหนึ่งที่นิยมกันในปัจจุบันคือ การตั้งบริษัทขนาดเล็ก (ที่เราคุ้นในชื่อ startup) ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำความรู้ต่างๆมาใช้
วิธีการดูว่านวัตกรรมถูกนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์ได้มากน้อยขนาดไหน อาจจะสามารถวัดได้จากจำนวนเงินลงทุนที่เหล่า startup ได้รับเพื่อไปดำเนินกิจการ ซึ่งผู้นำของโลกในสร้างบริษัทขนาดเล็กจนเติบโตก็คือสหรัฐ โดยแหล่งรวมพลของเหล่า startup ชื่อดังก็อยู่ที่ Silicon Valley
ถ้ามองดูในตัวเลขการลงทุนใน startup จะพบว่าปัจจุบันจีนมีสัดส่วนการลงทุนที่สูสีมากขึ้นคือประมาณ 2 ใน 3 ของเงินลงทุนที่เกิดขึ้นใน Silicon Valley ในช่วงปี 2012-2018 แม้ว่าตัวเลขนี้จะไม่ใช่การชี้ว่าใครแพ้ใครชนะ แต่มันบ่งบอกถึงคุณภาพของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมของจีนว่าได้รับการยอมรับและมีโอกาสที่จะสร้างกำไรให้กับนักลงทุนทั่วโลกได้จริง
เงินลงทุนที่เกิดขึ้นใน startup hub เปรียบเทียบจีนกับUS Cr:CB Insights
4) Made in China 2025 - ขายได้ และต้องขายได้เยอะๆ
คือนโยบายที่ส่งเสริมการนำไปใช้ของเทคโนโลยี โดยสร้าง
ดีมานด์ขึ้นมา เพื่อให้เกิดการขยายตัวและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท/startup ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ เพราะขายได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องขายได้เยอะๆด้วย
โดยตั้งเป้าที่จะให้บริษัทต่างๆในจีนใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศให้ได้ 70% ภายในปี 2025 โดยเน้นไปที่กลุ่มของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร 5G, หุ่นยนต์, และการบิน
5) ลงทุนเพิ่ม technology infrastructure
สร้างเทคโนโลยีแล้ว ขายให้ได้มากๆแล้ว แต่จะเป็นฐานะผู้นำ จีนต้องสร้างโครงสร้างที่จะดึงดูดและรองรับผู้นำในด้านเทคโนโลยีทั่วโลกให้เข้าสู่เครือข่ายของจีน
การประกาศเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านเหรียญในอีก 5 ปีข้างหน้าในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีขั้นสูง โดยรวมมือกับบริษัทชั้นนำทั้งภายในและนอกของจีน เช่น China mobile, Huawei, Tencent Holding, Lite-On technology ก็เพื่อให้จีนพร้อมที่จะเชื่อมโยงและเเลกเปลี่ยนเทคโนโลยี
ซึ่งในแผนนี้ทางจีนจะสร้างเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั่วประเทศจีนภายใน 2025 การสร้างเมืองต้นแบบกว่า 20 เมืองในการทดลองใช้ AI แบบเต็มรูปแบบ หรือการสร้างโครงข่ายรถไฟทั้งธรรมดาและความเร็วสูง เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4000 กิโลเมตร
เงินลงทุนสองแสนล้านของจีนกระจายลงในเรื่องต่างๆ Cr:Bloomberg
ยุทธศาสตร์การพัฒนาชาตินั้นต้องเกิดจากการวางเป้าหมาย และมีขั้นตอนหรือเป้าในแต่ละช่วงให้ชัดเจน การที่จีนจะขึ้นเป็นผู้นำในด้านต่างๆนั้น ผ่านการเตรียมการแบบเป็นขั้นตอน มองย้อนไปได้กว่า 40 ปีก่อน
เป้าหมายที่ประธานาธบดีสี จิ้นผิ่งตั้งไว้นั้น อาจจะไม่ได้ยากที่จะเป็นจริงอีกต่อไป ในยุคที่แมวเคลื่อนที่ด้วยแบตเตอรี่ วิ่งเร็วกว่าแสง กระโดดได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
อีกหน่อยสินค้า Made in China อาจจะหมายถึงคุณภาพสุดยอดก็เป็นได้ใครจะไปรู้?!
China is an innovation superpower. This is why, www.weforum.org
บันทึกทูตไทย: ที่มาของ ทฤษฎี ‘แมวดำ-แมวขาว’ ของเติ้ง เสี่ยวผิง,
China bets on $2tn high-tech infrastructure plan to spark economy, Nikkei Asian Review, June 1, 2020
โฆษณา