16 มิ.ย. 2020 เวลา 06:02 • ความคิดเห็น
รีวิวหนังสือ: กาลครั้งหนึ่งใน “จีนยุคใหม่” (Once Upon A Time in New China)
มีคำกล่าวว่า ผู้ที่สามารถครอบครองข้อมูลได้มากที่สุด ก็จะเป็นผู้นำ เป็นผู้ชนะ ในศึกแห่งยุค AI นี้ จึงมีคำกล่าวเปรียบเทียบกันไว้ว่า ‘Data is the new oil’
และประเทศที่เอาจริงเอาจรังกับเรื่องการเก็บรวบรวมข้อมูลนี้ที่สุด และมี Setting ที่เอื้อต่อ Data Flow มากที่สุดก็คือ ประเทศจีนยุคใหม่
เราอาจเคยได้ยินมาว่า ประเทศจีนเป็นประเทศอันดับต้นๆในโลกในด้าน Cashless Society โดยเฉพาะวิถีชีวิตชาวเมืองที่แทบไม่พกเงินสดแล้ว ผู้คนจ่ายเงินผ่าน Alipay หรือ WeChat กันหมด สั่งซื่อของ Online กันมากมาย
Cashless กันจนกระทั่งว่าขอทานก็ต้องพกมือถือ ไม่งั้นจะไม่ได้เงิน!
แต่เคยสงสัยกันมั้ยครับ ว่าการที่ธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ความนิยมในการใช้ Application เพื่อความสะดวกสะบายต่างๆ โมเดลธุรกิจต่างๆ ที่เป็นแบบ Sharing Economy กันมากขึ้น ทำให้ชีวิตคนจีนจริงๆเปลี่ยนไปแค่ไหน?
ทุกอย่างย้ายไปอยู่ในมือถือ (Online) และธุรกิจห้างร้านต่างๆ (Offline) จะไหวมั้ย?
และ ถ้า Online มันช่วย Generate Data ได้มากมาย มันเอาไปประยุกต์ใช้ได้ยังไง? หรือแค่เก็บข้อมูลไว้เก๋ๆ เอาไปอวดคนอื่นเฉยๆว่าเรามี Big data?
หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นครับ
นอกจากหนังสือจะให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าจีนยุคใหม่เขาไปกันถึงไหนแล้วนั้น เนื้อหาสำคัญในเล่มที่อ่านสนุกไม่แพ้กัน ก็คือประเด็นของ “การลงทุน” ครับ
เช่น ในเล่มจะมีบอกว่า Business model ต่างๆนั้นมีเอกลักษณ์ยังไง ตลาดของธุรกิจนี้ใหญ่แค่ไหน มีโอกาสเติบโตมากน้อยเพียงใด และหลายๆอันก็มี “ราคาหุ้น” ณ ขณะนั้น มาให้เราพิจารณาเลยครับ ซึ่งคาดว่าจะถูกใจนักลงทุนที่กำลังหาโอกาสใหม่ๆ ในโลกของ Disruptive Technology นี้อยู่แน่ๆ
สรุป Key Messages
จีนยุคใหม่ คือยุคของข้อมูล ที่มีการประสานกันระหว่าง Online และ Offline Data ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ
ข้อมูลในโลก Online ที่เกิดจากการใช้มือถือทำธุรกรรมต่างๆ เช่น จ่ายเงิน สั่งของ สั่งอาหาร จะทำให้ AI ได้วัตถุดิบในการประมวลผลข้อมูลมากขึ้น ข้อมูลนี้มีอำนาจหลายอย่าง เช่น ทำให้เจ้าของสินค้าและบริการรู้ว่าสินค้าไหนเป็นที่นิยมมากขึ้น ทำให้รู้ว่าผู้บริโภคคนนั้นๆ ชอบสิ่งใด ไม่ชอบสิ่งใด มีประโยชน์ในการนำเสนอโฆษณาผลิตภันฑ์
ข้อมูลในโลก Offline ก็จะถูกเก็บได้ง่ายขึ้น เช่น ในกรณีการใช้ Sharing Bike ที่จะมีการเก็บข้อมูลว่าผู้ใช้นั้นใช้งานบ่อยแค่ไหน มีความซื่อสัตย์มั้ย ซึ่งส่งผลต่อ Social Credit Scoring ที่ยิ่งมีมากยิ่งดีและสะดวกกับผู้ใช้งาน หรือในกรณีการซื้อขายของที่ร้าน ถ้าทำผ่าน Cashless ก็จะได้รู้ทั้งว่าผู้ซื้อเป็นกลุ่มไหน และของที่ขายดีคืออะไร ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อมูล Online และ Offline จึงทำงานเกื้อกูลกัน ผู้ที่ชนะในเทคโนโลยี (และธุรกิจ) จึงเป็นผู้ที่สามารถทำให้ทั้งสองอย่างนี้ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ติดตาม update บทความ และรีวิว + สรุปหนังสือได้ที่ :
โฆษณา